สตม.แถลงจับผู้ต้องหาแชร์ลูกโซ่สัญชาติจีน 2 ราย ตามหมายจับประเทศจีน โดยการโฆษณาชวนเชื่อเหยื่อให้สนใจมาสมาชิกและลงทุนกับ บริษัทเพื่อสะสมแต้มในการเก็งกำไร สร้างความเสียหายมูลค่า 4 พันล้านบาท ส่วนอีกคดีจับแก๊งอาชญากรข้ามชาติชาวโคลัมเบีย เคยก่อคดีโจรกรรมเพชรมาแล้ว หลังพ้นโทษ เตรียมกลับมาก่อเหตุซ้ำอีก
วานนี้( 3 พ.ย.) ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.ศักดา ชื่นภักดี รรท.ผบช.สตม.พร้อมด้วย พล.ต.ต.วราวุธ ทวีชัยการ ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.เฉลิมพล จินตรัตน์ รองผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชัยวุฒิ จันทร์สมบูรณ์ ผกก.1 บก.สส.สตม. พ.ต.อ.ทิฆัมพร ศรีสังข์ ผกก.2 บก.สส.สตม. และ พ.ต.ท.ธวัชชัย นรินรัตน์ สว.กก.๑ บก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงการณ์จับกุมผู้ต้องหาข้ามชาติสองคดี
คดีแรก ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ทำการจับกุมตัว นายลู่ เหว่ย (LU Wei) อายุ 47 ปี และ นางเฉิน เฮา (CHEN Hao) อายุ 35 ปี สัญชาติจีนผู้ต้องหาตามหมายจับศาลเมืองชังเต๋อ มลฑลหูหนาน ประเทศจีน ในคดี “หลอกลวงและฉ้อโกง(แชร์ลูกโซ่)”โดยผู้ต้องหามีพฤติกรรมจัดตั้งบริษัททางอินเตอร์เน็ตชื่อว่า American Mining Industry จดทะเบียนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายสินค้าประเภทอัญมณีรวมไปถึงหินอาพันในราคาที่สูงให้แก่สมาชิก อีกทั้งมีการโฆษณาชวนเชื่อด้วยการให้ประชาชนที่สนใจมาสมาชิกและลงทุนกับ บริษัทเพื่อสะสมแต้มในการเก็งกำไร โดยอ้างว่าในอนาคตทางบริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา แต้มที่สะสมของบริษัทจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ อีกทั้งสมาชิกแต่ละคนที่สามารถหาสมาชิก ใหม่เข้ามาร่วมลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนตามสัดส่วนที่บริษัทกำหนด
พ.ต.อ.ทิฆัมพร กล่าวว่า ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทางการของประเทศจีนทำการสืบสวน ทราบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้หลบเข้ามายังประเทศไทย เพื่อที่จะมาหาสมาชิกแชร์ลูกโซ่ ทางฝ่ายสืบสวนจึงได้วางแผนเข้าจับกุมได้ที่ โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านห้วยขวางกทม.ทั้งนี้แก๊งค์แชร์ลูกโซ่ดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศจีนมากกว่า 4,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายมากกว่า 80,000 คน
จับแก๊งค์ข้ามชาติฉกเครื่องเพชร
สำหรับคดีที่สอง เจ้าหน้าที่ทำการจับกุมนายมิเกล แอนโทนี คอร์โดบา โรดริเกซ อายุ 50 ปี สัญชาติโคลัมเบีย และนายวิคเตอร์ เอ็ม คอร์เทซ อายุ 31 ปี สัญชาติกัวเตมาลา โดยการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.สส.สตม. ได้สืบทราบมาว่ากลุ่มแก๊งอาชญากรข้ามชาติแก๊งค์นี้มีพฤติกรรมเข้ามาในประเทศไทยเพื่อก่ออาชญากรรม โดยนายมิเกลฯ และนายวิคเตอร์ฯ เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจับกุมมาแล้วเมื่อปี 2553 ขณะพยายามลักสร้อยคอทองคาฝังเพชรมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท จากร้านขายเครื่องเพชรแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าดิโอสยาม เมื่อพ้นโทษและถูกส่งกลับประเทศแล้ว ได้หลบหนีเข้ามาในประเทศอีกครั้ง
พ.ต.อ.ธวัชัย กล่าวว่า จากการสืบสวนทราบว่าการเข้ามาของแก๊งค์นี้อาจจะกลับเข้ามาพยายามจะก่อเหตุอีกครั้ง และเชื่อว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งอเมริกาใต้ที่ก่อเหตุลักเพชรจากนักธุรกิจเครื่องเพชรชาวจีนที่นำเครื่องเพชรเข้ามาร่วมงานแสดงเครื่องเพชร ขณะกำลังจะนำเครื่องเพชรกลับประเทศจีน เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา จึงได้ติดตามสืบสวนจนจับกุมได้ภายใน ซ.สุขุมวิท 13 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. ซึ่งหลังจากนี้จะประสานกับร้อยเวรเจ้าของคดีรวบรวมพยานหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
เบื้องต้นแจ้งข้อหา เข้าและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือหลบหนีเข้าเมือง ก่อนส่ง พงส.บก.สส.สตม.ดาเนินคดีต่อไป
ด้านพล.ต.ท.ศักดา กล่าวว่า ขอฝากให้ประชาชนช่วยสังเกตชาวต่างชาติที่มาพักอาศัยใกล้บ้านเรือนท่านหากพบพฤติกรรมไม่เหมือนนักท่องเที่ยวหรือไม่มีงานทำแน่นอน หรือน่าสงสัย ขอให้แจ้งข้อมูลสายด่วนสานักงานตรวจคนเข้าเมือง 1178 หรือwww.inv.immigration.go.th เพื่อให้ เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ
วานนี้( 3 พ.ย.) ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.ศักดา ชื่นภักดี รรท.ผบช.สตม.พร้อมด้วย พล.ต.ต.วราวุธ ทวีชัยการ ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.เฉลิมพล จินตรัตน์ รองผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชัยวุฒิ จันทร์สมบูรณ์ ผกก.1 บก.สส.สตม. พ.ต.อ.ทิฆัมพร ศรีสังข์ ผกก.2 บก.สส.สตม. และ พ.ต.ท.ธวัชชัย นรินรัตน์ สว.กก.๑ บก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงการณ์จับกุมผู้ต้องหาข้ามชาติสองคดี
คดีแรก ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ทำการจับกุมตัว นายลู่ เหว่ย (LU Wei) อายุ 47 ปี และ นางเฉิน เฮา (CHEN Hao) อายุ 35 ปี สัญชาติจีนผู้ต้องหาตามหมายจับศาลเมืองชังเต๋อ มลฑลหูหนาน ประเทศจีน ในคดี “หลอกลวงและฉ้อโกง(แชร์ลูกโซ่)”โดยผู้ต้องหามีพฤติกรรมจัดตั้งบริษัททางอินเตอร์เน็ตชื่อว่า American Mining Industry จดทะเบียนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายสินค้าประเภทอัญมณีรวมไปถึงหินอาพันในราคาที่สูงให้แก่สมาชิก อีกทั้งมีการโฆษณาชวนเชื่อด้วยการให้ประชาชนที่สนใจมาสมาชิกและลงทุนกับ บริษัทเพื่อสะสมแต้มในการเก็งกำไร โดยอ้างว่าในอนาคตทางบริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา แต้มที่สะสมของบริษัทจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ อีกทั้งสมาชิกแต่ละคนที่สามารถหาสมาชิก ใหม่เข้ามาร่วมลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนตามสัดส่วนที่บริษัทกำหนด
พ.ต.อ.ทิฆัมพร กล่าวว่า ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทางการของประเทศจีนทำการสืบสวน ทราบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองคนได้หลบเข้ามายังประเทศไทย เพื่อที่จะมาหาสมาชิกแชร์ลูกโซ่ ทางฝ่ายสืบสวนจึงได้วางแผนเข้าจับกุมได้ที่ โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านห้วยขวางกทม.ทั้งนี้แก๊งค์แชร์ลูกโซ่ดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศจีนมากกว่า 4,000 ล้านบาท และมีผู้เสียหายมากกว่า 80,000 คน
จับแก๊งค์ข้ามชาติฉกเครื่องเพชร
สำหรับคดีที่สอง เจ้าหน้าที่ทำการจับกุมนายมิเกล แอนโทนี คอร์โดบา โรดริเกซ อายุ 50 ปี สัญชาติโคลัมเบีย และนายวิคเตอร์ เอ็ม คอร์เทซ อายุ 31 ปี สัญชาติกัวเตมาลา โดยการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ กก.1 บก.สส.สตม. ได้สืบทราบมาว่ากลุ่มแก๊งอาชญากรข้ามชาติแก๊งค์นี้มีพฤติกรรมเข้ามาในประเทศไทยเพื่อก่ออาชญากรรม โดยนายมิเกลฯ และนายวิคเตอร์ฯ เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจับกุมมาแล้วเมื่อปี 2553 ขณะพยายามลักสร้อยคอทองคาฝังเพชรมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท จากร้านขายเครื่องเพชรแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าดิโอสยาม เมื่อพ้นโทษและถูกส่งกลับประเทศแล้ว ได้หลบหนีเข้ามาในประเทศอีกครั้ง
พ.ต.อ.ธวัชัย กล่าวว่า จากการสืบสวนทราบว่าการเข้ามาของแก๊งค์นี้อาจจะกลับเข้ามาพยายามจะก่อเหตุอีกครั้ง และเชื่อว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งอเมริกาใต้ที่ก่อเหตุลักเพชรจากนักธุรกิจเครื่องเพชรชาวจีนที่นำเครื่องเพชรเข้ามาร่วมงานแสดงเครื่องเพชร ขณะกำลังจะนำเครื่องเพชรกลับประเทศจีน เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา จึงได้ติดตามสืบสวนจนจับกุมได้ภายใน ซ.สุขุมวิท 13 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. ซึ่งหลังจากนี้จะประสานกับร้อยเวรเจ้าของคดีรวบรวมพยานหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
เบื้องต้นแจ้งข้อหา เข้าและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือหลบหนีเข้าเมือง ก่อนส่ง พงส.บก.สส.สตม.ดาเนินคดีต่อไป
ด้านพล.ต.ท.ศักดา กล่าวว่า ขอฝากให้ประชาชนช่วยสังเกตชาวต่างชาติที่มาพักอาศัยใกล้บ้านเรือนท่านหากพบพฤติกรรมไม่เหมือนนักท่องเที่ยวหรือไม่มีงานทำแน่นอน หรือน่าสงสัย ขอให้แจ้งข้อมูลสายด่วนสานักงานตรวจคนเข้าเมือง 1178 หรือwww.inv.immigration.go.th เพื่อให้ เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ