xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่”มาเหนือเมฆเบรกตีข่าว“แม้ว”กลบขี้ซูเอี๋ยชง คสช.เด้งอสส.ฟันโกงข้าว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปมถอดถอน “ยิ่งลักษณ์-สมศักดิ์-นิคม” วุ่นไม่เลิก “พรเพชร” ดอดคุย“ประยุทธ์” แต่ปัดขอคุมเข้มสภาฯช่วง สนช.ถกวาระ ทำเสียงแข็งไม่กดดัน ลั่น คสช.สั่งไม่ได้ ด้าน “นายกฯตู่” คำรามแกนนำ กปปส.-นปช.อย่ากดดัน ขู่พูดไม่รู้เรื่องยกระดับมาตรการอุดปาก วอนยุติความขัดแย้ง ก้าวพ้นกับดักประชาธิปไตย โทษสื่อตีข่าว “นช.แม้ว” เกินพอดี ซัดอย่าให้พื้นที่คนผิด กม. “บิ๊กป้อม” เบ่งกล้ามเตือนระวังปาก รับไม่ได้คนสร้างความแตกแยก ยกโพลอ้าง ปชช.ยังหนุน อุบลากยาวอัยการศึก “สมชาย” ยก กม.ป.ป.ช.ระบุให้ สนช.รับสำนวนถอดถอน “นิคม-สมศักดิ์” ปูดอัยการฯมีธงไม่ฟ้องโกงจำนำข้าว ยุ คสช.เปลี่ยนหัว อสส.อีกรอบ “ถาวร” แจงไม่เคยขู่ แค่ย้ำหน้าที่ สนช.ควรทำเพื่อชาติบ้านเมือง

วานนี้ (3 พ.ย.) เมื่อเวลา 09.45 น.ที่ห้องรับรองตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เข้าหารือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 ที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน และนายพรเพชรเข้าร่วมประชุมด้วย โดยหารือร่วมกันเป็นเวลาประมาณ 20 นาที

“พรเพชร” ปัดขอ “บิ๊กตู่” คุมเข้มถกถอดถอน

จากนั้นเวลา 11.10 น. นายพรเพชร เปิดเผยว่า ตนเดินทางมาร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติเท่านั้น ไม่ได้เป็นการหารือเพื่อขอ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ช่วยดูแลความสงบช่วงที่มีการพิจารณาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีโครงการรับจำนำข้าว และ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และ นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว.โดยมิชอบ ที่ออกมาเคลื่อนไหวกดันแต่อย่างใด

นายพรเพชร กล่าวต่อว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ไม่ได้กดดันการทำหน้าที่ สนช.แต่อย่างใด เพราะรู้ดีว่าต้องพิจารณาไปตามหลักความถูกต้อง หลักความยุติธรรม เพราะบ้านเมืองเราต้องอาศัยความถูกต้อง ความยุติธรรมเป็นหลัก ส่วนความถูกใจนั้นจะให้ถูกใจใครทุกคนคงไม่ได้ และไม่มีอะไรที่จะฝากถึงกลุ่มคนเหล่านี้ ยืนยันว่า สนช.ทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ คิดถึงแต่ความถูกต้อง และหลักความยุติธรรม หนักแน่น หากจะทำให้เกิดความไม่พอใจกับบางฝ่ายก็ต้องขออภัยด้วย เพราะคงทำให้ถูกใจทุกคนไม่ได้

ลั่น สนช.ทำงานอิสระ-คสช.สั่งไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีคณะกรรมาธิการวิสามัญ (วิป) ประจำ สนช.บางรายระบุว่า อาจจะรับเรื่องไว้พิจารณาก่อนแล้วค่อยมาพิจารณาตามกฎหมาย นายพรเพชร กล่าวว่า คงเป็นเพียงความเห็นของ สนช.เท่านั้น ถือเป็นสิทธิที่จะออกความเห็นอย่างไร เพราะการทำงาน สนช.เป็นอิสระ ส่วนตนก็ต้องแล้วแต่ที่ประชุม สนช.ว่าจะมีความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวอย่างไร หน้าที่ของตนคือ ให้ข้อมูล ให้สมาชิกทราบอ่างครบถ้วนว่าเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่า ทาง คสช.ไม่สามารถสั่งการดำเนินการใดๆเกี่ยวกับการพิจารณาถอดถอนของ สนช. นายพรเพชร กล่าวว่า “ยังไม่เคยสั่ง ไม่จำเป็นต้องสั่งด้วย ยังไม่เคยสั่ง”

เมื่อถามย้ำว่ามีความกังวลหรือไม่ว่าเรื่องการถอดถอนนักการเมืองจะกลายมาเป็นปมทความขัดแย้งทางการเมืองอีก นายพรเพชร กล่าวว่า นั่นเป็นประเด็นที่สื่อมวลชนพูดกัน ส่วนตนนั้นยังไม่เคยพูด ทั้งนี้ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องการรักษาความสงบบริเวณรัฐสภาในวันที่มีการประชุม สนช.เพื่อพิจารณาวาระถอดถอน

นายกฯขู่หากมีป่วนใช้อำนาจเต็มที่

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มการเมือง 2 ฝ่ายออกมาเคลื่อนไหวกดดัน สนช. ในการพิจารณาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายสมศักดิ์ และนายนิคมว่า ก่อนหน้านี้ คสช.และฝ่ายความมั่นคง ได้เชิญฝ่ายต่างๆมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง ซึ่งตอนเชิญมาคุยก็รู้เรื่องทุกที แต่พอออกไปก็ไปพูดอีก เมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องหามาตรการอื่นต่อไป แต่ต้องระมัดระวัง เพราะไม่อยากไปจำกัดอะไร และอยากขอร้องให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจ และช่วยลดแรงกดดันบ้าง ไม่เช่นนั้นก็เดินไปไหนไม่ได้ เราพยายามให้โอกาสทุกคนได้แสดงออกอยู่แล้ว แต่ถ้าแสดงออก แล้วทำให้เกิดปัญหา ก็ต้องหามาตรการอื่นต่อไป ซึ่งฝ่ายความมั่นคงกำลังพิจารณา

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทั้งสองฝ่ายขู่จะนำม็อบออกมากดดัน สนช. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ผิดกฎหมายทั้งหมด พวกเราทุกคนต้องก้าวพ้นกับดักของประเทศให้ได้ โดยเฉพาะกับคำว่า กับดักประชาธิปไตย วันนี้เรามาแก้เพื่อให้เดินไปสู่อนาคต จะกลับไปสู่ปัญหาเดิมๆไม่ได้ ปัญหาเดิมก็ต้องปล่อยให้กระบวนการทางกฎหมายว่าไป คนผิดก็ต้องว่าไปตามผิด กฎหมายนี้ไม่ได้ ก็ไปใช้กฎหมายอื่น การดำเนินการมีหลายวิธี ไม่ใช่ว่า คสช.จะต้องทำทุกอย่างทั้งหมด ถ้าจะให้ทำอย่างนั้นก็ต้องใช้อำนาจเต็มที่

ฮึ่มแกนนำม็อบอย่าสร้างปัญหา

เมื่อถามว่า ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เห็นภาพการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้บอกว่าไม่ให้คนออกมาชุมนุม เพียงแต่บอกว่าการชุมนุมผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นอย่ามาชุมนุมเลย มีอะไรก็เสนอความเห็นมาดีกว่า อย่าใช้ม็อบมากดดันกัน มันก็เหมือนเก่า ตนก็ต้องออกมาใช้กฎหมายอยู่ดี ซึ่งมันก็จำเป็น อย่ามาพูดจาข่มขู่กันไปมาอย่างนี้ ประชาชนประเทศชาติจะอยู่ตรงไหน คนที่ออกมาบอกว่าจะออกมาเคลื่อนไหวได้ถามหรือพูดกับคนทั้งประเทศบ้างหรือเปล่า ถ้าไปปลุกระดมแล้วมีปัญหา มีผลกระทบกันระหว่างรัฐกับประชาชน แล้วประเทศจะไปข้างหน้าอย่างไร ทุกคนก็อยากให้เกิดความสงบเรียบร้อย

เมื่อถามต่อว่า มีรายงานหรือไม่ว่าจะมีม็อบกลุ่มไหนออกมาเคลื่อนไหวชุมนุม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอบว่า มีรายงานทุกวัน เตรียมการไว้แล้วไปตามลำดับขั้นตอนที่มีอยู่ สื่อก็ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจด้วยว่า อย่าออกมาเลย บ้านเมืองกำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดี ต่างชาติก็ให้การยอมรับ ถ้าออกมาบ้านเมืองก็วุ่นวาย ต่างชาติก็ไม่ยอมรับ ประเทศชาติจะเดินหน้าอย่างไร การค้า การลงทุนต้องชะลอตัว แล้วก็จะแก้อย่างไร ถ้าทุกคนยังตั้งหลักว่า จะต้องเอาแพ้เอาชนะกันด้วยเรื่องเดิมๆก็คงไม่ใช่ มันไม่ใช่วาระเวลานี้ เอาไว้ให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก่อน ค่อยมาว่ากัน

ไม่ห่วงปมถอดถอนกระทบ รบ.

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นเพราะช่วงหลังหัวหน้า คสช.ใจดีหรือเปล่า จึงมีข่าวว่าจะมีการชุมนุม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ใจดี แต่เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการไปตามสถานการณ์ บางครั้งตนจำเป็นต้องใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ แต่ถ้าจำเป็น ก็ต้องทำ ดังนั้นจึงอยากให้คนไทยทุกคนเข้าใจ ถ้าคนไทยไม่เข้าใจ แล้วจะให้ต่างชาติมาเข้าใจได้อย่างไร

เมื่อถามย้ำว่า นายกฯไม่ได้หวั่นไหวการเคลื่อนไหวทางการเมืองใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อย่าใช้คำว่าไม่หวั่นเลย แต่ใช้คำว่าเตรียมการดีกว่า เพราะตนตั้งใจเข้ามาแก้ปัญหา ซึ่งปัญหาต่างๆ ต้องขอให้ยุติไปก่อน

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ประเด็นการถอดถอนนักการเมืองจะกลายเป็นประเด็นเปราะบางสำหรับรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่รัฐบาล แต่เป็นเรื่องของกฎหมายที่ว่าอย่างไร ก็ต้องว่าตามนั้น ส่วนจะกระเทือนต่อการทำงานรัฐบาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ที่พวกเรา ทำอย่างไรให้ลดระดับลง ทำอย่างไรให้คนเข้าใจว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ตามระเบียบข้อบังคับต่างๆ ไม่เช่นนั้นปัญหาก็เกิดอีก ถ้าไม่พอใจก็ร้องทุกข์กล่าวโทษได้

โบ้ย “สื่อ” กระพือข่าว “ทักษิณ” ถี่

เมื่อถามต่อว่า ในระยะหลังมีการเสนอข่าวความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกันมาก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็อย่าไปเสนอ คนผิดกฎหมายก็อย่าไปเสนอภาพคนผิดกฎหมาย ก็จบแล้ว แล้วเสนอทำไม ขอความร่วมมือสื่อ อะไรที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ก็ขอสื่อลดการนำเสนอ พอมีการนำเสนอ ก็จะมีคนนำมาเปรียบเทียบเรื่องนี้เรื่องนั้นว่า ทำไมรัฐบาลไม่ทำ ถ้าสื่อไม่เสนอข่าวก็เบาลงไปแล้ว ส่วนเรื่องของโซเซียลเน็ตเวิร์ค ก็เป็นเรื่องของโซเซียล หนังสือพิมพ์ก็เป็นเรื่องของหนังสือพิมพ์ ซึ่งในทางโซเซียลที่เขียนในทางไม่ดี ก็มีการติดตามอยู่ ถ้าเขียนในทางสร้างสรรค์ก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไร ซึ่งอะไรรับได้ก็รับได้ อะไรที่เขียนเสียหายมันไม่ได้ เพราะอย่างน้อย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคน

“ผมขอร้อง ทุกประเทศเขามีมาตรการหมดแล้ว มีแต่ประเทศไทยที่ยังคุมไม่ได้ เพราะทุกคนต่างคิดว่า เสรีภาพสื่อ เสรีภาพประชาชน แต่หากเสรีภาพไปละเมิดสิทธิ และความขัดแย้งของผู้อื่นก็ไม่สมควร อย่าให้ต้องใช้กฎหมายทุกอัน อย่าให้ต้องใช้อำนาจ อย่าให้ต้องใช้กำลังกันเลย วันนี้มาพูดจากัน หาทางออกให้ได้ดีกว่า เรื่องที่ทำให้เป็นปัญหาแล้วจะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่เดินหน้าประเทศไปได้ ไม่อย่างนั้นก็เกิดปัญหาขึ้นมาอีก แล้วประเทศไทยก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ เราจะอยู่อย่างไร เพราะเศรษฐกิจทั้งโลกก็ชะลอตัว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

“ประยุทธ์”โอ่วันนี้ใจเย็นลงเยอะแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 ว่า แนวโน้มดีขึ้นตามที่มีการวิเคราะห์กันมา กับประเทศเพื่อนบ้านก็ใกล้เคียง เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว ประเทศเรามีการส่งออกเป็นหลัก 70-80 เปอร์เซ็นต์ ตรงนี้เป็นปัญหา เพราะถ้าวันหน้าสินค้าที่เราส่งได้ กลับส่งไม่ได้ จะทำอย่างไร รวมถึงปัญหาแรงงานข้ามชาติ การจัดระเบียบเรือประมง แก้ปัญหาลุกล้ำน่านน้ำและการค้ามนุษย์ในเรือ ถ้าเราแก้ปัญหาตรงนี้ไม่ได้ จะมีปัญหาไม่ซื้อสินค้าบ้านเรา ซึ่งต้องมาแก้ปัญหาตรงนี้ ถ้าไม่แก้ก็ตีกันเรื่องเดิม เรื่องข้างหน้าก็เดินไปไม่ได้ เศรษฐกิจตกก็มาโทษตนอีก ท่านอยู่ซ้าย อยู่ขวา ก็ขอให้คุยกัน ให้ทางนี้เขาว่าไป หากประเทศเดินหน้าไม่ได้ ก็เข้าสู่กระบวนการ วันนี้ประเทศชาติขึ้นอยู่กับเราทุกคน ตนขอร้องสื่อด้วย ตนพยายามพูดกับสื่อ อย่างใจเย็นที่สุดแล้ว

“ผมรู้ว่าผมเป็นคนที่ค่อนข้างโมโหเร็ว วันนี้เย็นลงไปเยอะแล้ว เพราะผมมองประเทศชาติเป็นหลัก เห็นใจผมหน่อย เห็นใจคนไทย เห็นใจประเทศไทยด้วย อย่าซ้ำเติมกันอีกเลย ประเทศไทยถอยหลังมามากแล้ว ต้องเดินไปข้างหน้า ขอบคุณสำหรับแรงใจที่สนับสนุนผม ไม่ว่าจะสนับสนุนมากหรือน้อย ใครที่สนับสนุนน้อยอยู่ ก็ขอให้เข้าใจเรา ก็น่าจะดีขึ้น ถ้าใครไม่สนับสนุนเลย ก็ขอให้เข้าใจเราบ้าง ฟังเราพูดบ้าง ถ้าไม่ฟังเราเลย ถ้าเอาความเกลียดชัง เอาผลประโยชน์ เอาอะไรต่างๆ มาก ก็จะมีปัญหาตลอด คนไทยมีปัญหาเรื่องเดียว หวังดีทุกคน เก่งทุกคน แต่คุยกันไม่ค่อยได้ ตรงนี้คือปัญหา ฝากทุกคนด้วยนะ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า นายวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าของฉายาโหร คมช.ทำนายว่ารัฐบาลจะอยู่ถึง 3 ปี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็ไปถามโหร ผมไม่รู้”

“บิ๊กป้อม” รับไม่ได้ม็อบเตรียมป่วน

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า การให้สัมภาษณ์ทางการเมืองสามารถทำได้ แต่อย่าทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม และอย่าทำให้เกิดความไม่มั่นคงของรัฐ เพราะตนรับไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องมีการพูดคุยกัน จะขู่ก็ขู่ไป แต่จะมาทำให้เกิดความแตกแยก และเกิดความไม่มั่นคงจนรัฐบาลทำงานไม่ได้นั้น เรารับไม่ได้ เพราะเราทำทุกอย่าง เป็นไปด้วยความเป็นธรรม

“เป็นความคิดของแต่ละบุคคล เป็นธรรมดา คิดได้ แต่ทำไม่ได้ ผมขอร้องทุกคนอยากคิดอะไรคิดไป แต่อย่าทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ตรงนี้ทำไม่ได้ ตอนนี้รัฐบาลต้องการทำงาน ต้องการสร้างความมั่นคงของรัฐให้ได้” พล.อ.ประวิตร รระบุ

เมื่อถามว่า วันนี้ยังมั่นใจหรือไม่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนมั่นใจ เพราะตามผลการสำรวจเป็นอย่างนั้น

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า มีแนวโน้มหรือไม่ที่รัฐบาลจะประกาศใช้กฎอัยการศึกยาวออกไป พล.อ.ประวิตร กล่าวย้อนว่า “ประกาศอะไรยาว พวกคุณ (นักข่าว) ดูและรู้ได้เองว่าควรจะมีหรือไม่"

ยก กม.บีบ “พรเพชร” บรรจุวาระถอดถอน

อีกด้าน นายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช. ในฐานะเลขานุการวิป สนช.กล่าวถึงการประชุม สนช.เพื่อพิจารณาสำนวนถอดถอนนายสมศักดิ์ และนายนิคมในวันที่ 6 พ.ย.นี้ว่า ส่วนตัวเห็นว่า น่าจะข้ามขั้นตอนเรื่องการพิจารณาว่า จะรับหรือไม่รับดำเนินการได้แล้ว เนื่องจากตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 64 บัญญัติไว้ว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า ข้อกล่าวหาที่มาจากการเข้าชื่อร้องขอ เพื่อให้วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาออกจากตำแหน่งมีมูล และได้รายงานไปยังประธานวุฒิสภา ตามมาตรา 56(1) แล้ว ให้ประธานวุฒิสภาจัดให้มีการประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณามีมติโดยเร็ว แสดงว่า สนช.ซึ่งทำหน้าที่วุฒิสภาจะพิจารณาเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากรับไว้พิจารณาเท่านั้น ซึ่งในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ได้มีการยกเว้นข้อบังคับการประชุมที่กำหนดให้ต้องบรรจุเรื่องที่ ป.ป.ช.ส่งมาไว้ในวาระการประชุมภายใน 30 วันไปแล้ว

“ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับประธาน สนช.ว่าจะพิจารณาบรรจุเรื่องนี้ไว้ในวาระเมื่อใด จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาถอดถอน ซึ่งมีกรอบเวลานับจากวันที่มีการบรรจุไว้ในวาระการประชุม 45 วัน ส่วนจะถอดถอนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมซึ่งจะต้องได้เสียง 132 เสียงขึ้นไป หรือ 3 ใน 5 ของจำนวน สนช.ทั้งหมด” นายสมชาย ระบุ

“สมชาย” ยุ คสช.เด้งอัยการสูงสุด

ส่วนสำนวนการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่า ส่อว่าจงใจละเว้นไม่ยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าวนั้น นายสมชาย เปิดเผยว่า เรื่องนี้ ประธาน สนช.ได้บรรจุไว้ในวาระการประชุมแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนตามกระบวนการถอดถอน คือ ให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาชี้แจง ก่อนที่ สนช.จะพิจารณาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย เพื่อลงมติต่อไป ซึ่งโครงการนี้สร้างความเสียหายมหาศาลให้กับระบบเศรษฐกิจไทย หาก สนช.ดำเนินการถอดถอนไม่ได้ ก็จะกระทบต่อการทำหน้าที่ของ สนช. ทำให้กลายเป็นจำเลยของสังคม ทั้งนี้ส่วนตัวทราบมาว่า การพิจารณาร่วมกันในคณะทำงานร่วม ระหว่าง ป.ป.ช.กับผู้แทนอัยการสูงสุด (อสส.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 พ.ย.นี้ ทาง อสส.อาจจะมีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างความไม่สมบูรณ์ของสำนวนในประเด็นเดิมๆที่เคยอ้างไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทาง ป.ป.ช.จึงควรฟ้องเอง และ คสช.ควรใช้อำนาจพิเศษจัดการกับ อสส.ด้วย เพราะความเสียหายมหาศาลไม่ใช่แค่ 7 แสนล้าน แต่ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมถึงผลกระทบที่เกิดกับอุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบ ถ้า อสส.มีคำสั่งไม่ฟ้อง ก็ต้องตอบคำถามสังคมว่า ความเสียหายมากขนาดนี้ แต่ไม่ดำเนินคดีจะเป็นทนายแผ่นดินได้อย่างไร

“เมื่ออัยการฯไม่ฟ้อง คสช.ก็ต้องพิจารณาว่า นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด และ นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด ที่ดูแลเรื่องนี้มีปัญหาหรือไม่ หากมีปัญหาก็ต้องเปลี่ยนตัว เพราะไม่มีความกล้าหาญในการทำหน้าที่ แต่ถ้า คสช.ไม่ทำอะไร แรงสนับสนุนก็จะหายไป เนื่องจากคนเห็นกับตาว่า ความเสียหายเป็นอย่างไร นายกฯ พูดเองว่า ข้าวเสียหาย 70-90 เปอร์เซ็นต์ เหลือข้าวดีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่สามารถนำคนที่สร้างความเสียหายมารับโทษได้ ย่อมกระทบต่อความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อ คสช. อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” นายสมชาย กล่าว

กปปส.โต้ “วรชัย” อย่าบิดเบือน

ทางด้าน นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.กล่าวถึงกรณีที่ นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดงออกมาระบุว่า การออกมาเรียกร้องของ กปปส.ในเรื่องการถอดถอนเป็นการข่มขู่ของนักเลงอันธพาลในรูปแบบเดิมๆว่า การออกมาเรียกร้องให้ สนช.ให้รับเรื่องถอดถอนนายสมศักดิ์ และนายนิคม ไว้พิจารณาตามกระบวนการของกฎหมาย ไม่ได้ต้องการข่มขู่ใดๆต่อการทำหน้าที่ของ สนช. คนที่พูดอย่าบิดเบือนประเด็นข้อเท็จจริง หาก สนช.ไม่รับเรื่องนี้ โดยอ้างยึดแต่หลักกฎหมาย แต่ไม่ดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ตนก็จะได้นำเอาเป็นกรณีศึกษาให้กับประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงให้รู้ว่าเป็นอย่างไร และเพื่อเป็นบทเรียนของภาคประชาชนต่อไป

แกนนำ กปปส.กล่าวต่อไปว่า ต้องตระหนักถึงหน้าที่ของ สนช. ว่าเข้ามาเพื่อทำหน้าที่ เพื่อชาติและประชาชน หรือทำเพื่อใคร หรือ สนช.ที่ คสช.แต่งตั้งเข้ามาทำหน้าที่แทน ส.ส.และ ส.ว.จะปฏิเสธว่า ที่ผ่านมาไม่มีนักการเมืองชั่วที่รับใช้ทรราช พยายามทำทุกอย่างเพื่อล้างความผิดที่ทำขึ้น ทั้งคดีโกง ทุจริตโดยใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่ง รวมถึงคดีความทางอาญา

“ยิ่งลักษณ์” เก็บตัวเงียบในบ้านพัก

สำหรับความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการพักผ่อนที่ต่างประเทศนั้น นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และหนึ่งในคณะทำงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า หลังเดินทางกลับมาเมืองไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็พักผ่อนภายในบ้านพัก โดยไม่ต้องการที่จะออกไปปรากฏตัวต่อสาธารณะ เนื่องจากที่ผ่านมากระแสสังคมออนไลน์โจมตีการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร่วมเดินทางไปพักผ่อนที่สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีข้าราชการและชาวจีนเดินทางมาให้การต้อนรับ และขอถ่ายภาพด้วยจำนวนมาก จึงอาจเกิดการเปรียบเทียบระหว่างการเดินทางไปยังต่างประเทศของผู้นำประเทศทั้งสองได้ อีกทั้งยังเป็นการเตรียมตัวต่อสู้กรณีที่ สนช.นัดประชุมพิจารณาถอดถอนออกจากตำแหน่งด้วย

ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ขอให้ลดการนำเสนอข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ นายสิงห์ทองกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของความศรัทธา ความรักที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ การได้รับการยกย่องและได้รับการต้อนรับ เป็นเรื่องของความศรัทธา เชื่อมั่นในตัวบุคคล พล.อ.ประยุทธ์ ควรยอมรับสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ไม่ปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน

ฉะหน่อมแน้มเปิดเพลง “วันพรุ่งนี้” กล่อม

นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการนำบทเพลง “วันพรุ่งนี้” มาเปิดหลังจากเคารพธงชาติในเวลา 18.00 น.ว่า ทุกวันนี้มีการนำเพลงวันพรุ่งนี้มาเปิดให้ฟังทุกเย็น ซึ่งเนื้อเพลงในช่วงท้ายของเพลงได้ถูกแต่งไว้อย่างกินใจว่า “บ้านเมืองจะเดินต่อไป จะมีหวังได้ด้วยสามัคคี” ซึ่งค่อนข้างตรงกับสถานการณ์ของประเทศในตอนนี้ แต่ส่วนตัวมองว่า การที่นำบทเพลงนี้มาใช้ในลักษณะนี้ คงมาจากความคิดของใครบางคนที่คิดแค่ว่า นำเพลงความหมายดีๆมาร้องมาเปิดให้ฟังกัน ก็สามารถสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในประเทศนี้ได้ ถือเป็นความคิดที่ตื้นเขินมากสำหรับคนที่เข้ามาทำหน้าที่นำประเทศฝ่าวิกฤตความขัดแย้งในห้วงเวลานี้ มองในเรื่องนามธรรมมากว่าที่จะปฏิบัติจริงให้ออกมาเป็นรูปธรรม ขอถามว่ารัฐบาล และ คสช.ต้องการสามัคคีกับใคร ในเมื่อกลุ่มคนที่เข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็น สนช. สปช. กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐมนตรี หรือข้าราชการก็แต่งตั้งเฉพาะพวกพ้องของตนเองเข้ามา

“ท่านผู้มีอำนาจทั้งหลาย หากคิดว่าคนไทยได้ฟังเพลงแล้วสามัคคีเกิดได้จริง เหตุใดจึงไม่เลิกประกาศใช้กฎอัยการศึก เรื่องสะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่คิดที่มองไม่รอบด้าน ใครเสนออะไรที่ฟังดูดีก็ทำตาม โดยที่ไม่คำนึงถึงความเป็นจริงว่าได้ผลสัมฤทธิ์หรือไม่ จะสร้างความสามัคคีให้ออกมาเป็นรูปธรรมอย่างไร เวลานี้ท่านควรเปิดใจรับฟังจากทุกฝ่ายมากกว่านี้ และต้องลงมือทำโดยมีทุกภาคส่วนร่วมมือด้วยจริงๆ อย่าทำเหมือน 5 เดือนที่ผ่านมาที่ฟังเฉพาะคนข้างๆตัวซึ่งเป็นที่มีความคิดตื้นเขินทั้งนั้น” นายอุเทน กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น