“Behind every great fortune there is a crime” -- Honore de Balzac เบื้องหลังความมั่งคั่งมีอาชญากรรม...และทุกอาชญากรรมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ...
สุดยอดทนายความ นักล็อบบี้ยิสต์ นักยุทธศาสตร์รณรงค์ด้านการเมืองของสหรัฐฯ ฝีมือระดับเซียนเรียกอาจารย์ มีชื่อเสียงโด่งดังในตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง และรัฐมนตรีต่างประเทศ น่าจะเหนือกว่าเฮนรี คิสซิงเกอร์ด้วยซ้ำ คือ นายเจมส์ เบเกอร์ III เจ้าสำนักกฎหมายเบเกอร์ บอตต์ส และตัวแทนของ “ทักษิณ” ด้านงานประชาสัมพันธ์
บุคคลนี้ไม่ธรรมดา ทุกวันนี้ยังทรงอิทธิพลในการเมืองอเมริกัน เคยสังกัดพรรคเดโมแครต ภายหลังเปลี่ยนมาสังกัดพรรครีพับลิกัน ได้มีบทบาทสำคัญมากในตำแหน่งรัฐมนตรีคลังในยุคข้อตกลงโรงแรมพลาซา อุ้มค่าเงินสหรัฐฯ แก้ไขวิกฤตค่าเงินอย่างได้ผล
เมื่อเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในยุคจอร์จ บุช ผู้พ่อ เป็นคนเดินสายเจรจาระหว่างประเทศต่างๆ ในปัญหาตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ นับเป็นผู้ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในการเมืองระหว่างประเทศ ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีมันสมองเฉียบแหลม น่าเชื่อถือ
เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การเลือกตั้งอย่างเฉียบแหลม ทำให้จอร์จ บุช ตัวลูกชนะ อัล กอร์ ในการดวลความนิยมจนถึงนัดตัดเชือกในรัฐฟลอริดา ทำให้นายอัล กอร์ ยอมแพ้หลังจากสู้ศึกในศาล นับคะแนนคู่คี่สูสีทำเอาสังคมอเมริกันแทบแตกร้าวรุนแรง
นายเจมส์ เบเกอร์ III ได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านการประชาสัมพันธ์ เป็นนักล็อบบี้ยิสต์คนสำคัญให้ “ทักษิณ” เป็นต้นตำรับการสร้างเงื่อนงำ “เหตุอันควรสงสัย” ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเผชิญปัญหาความน่าเชื่อถือ ด้านภาพลักษณ์จนแทบเสียผู้เสียคน
สภาวะเช่นนั้น คือ “Reasonable Doubt” หรือ “เหตุอันควรสงสัย” นั่นเอง ดังนั้นการพิสูจน์ความจริงในศาลต้องให้ถึงระดับ “Proof Beyond Reasonable Doubt” คือต้องพิสูจน์ให้เห็นความจริงโดยประจักษ์ “ปราศจากข้อสงสัยอันมีเหตุผล” เท่านั้น
ผมได้สัมภาษณ์ เจมส์ เบเกอร์ III คนนี้แหละเมื่อมาเยือนเมืองไทย ออกอากาศในรายการ Face The Nation บนทีวีสีช่อง 9 หลายปีก่อน ถัดจากการได้สัมภาษณ์เลดี้มาร์กาเรต แธตเชอร์ เมื่อนางมากล่าวปาฐกถาในฐานะแขกคนสำคัญของซิตี้แบงก์
เจมส์ เบเกอร์ III ได้เคยกล่าวไว้ว่าการทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เรื่องยากเย็น เพียงแค่สร้างบรรยากาศแวดล้อมอันน่าสงสัยเชิงลบให้แก่บุคคลผู้นั้น ในด้านความน่าเชื่อถือ ความสุจริต หรือด้านอื่นๆ เกี่ยวโยงถึงบุคลิก คุณธรรม ฯลฯ
เพียงแค่ทำให้สังคมสงสัยว่าบุคคลนั้นมีปัญหาว่า “ไม่ซื่อ ไม่สง่างาม มีเงื่อนงำ” ก็พอแล้ว ยุทธศาสตร์นี้ได้ผลในสังคมตะวันตกแต่ในสังคมของคนหน้าด้านในประเทศไทย ยุทธศาสตร์นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะใช้เป็นอาวุธทำลายคู่แข่งด้านธุรกิจหรือการเมือง
แต่ยังได้ผลระดับหนึ่งเพราะเป็นการสร้างความมัวหมอง รอยมลทิน ผลสุดท้ายถ้าบุคคลนั้นไม่สามารถทำให้สังคมคลายความสงสัย จะเกิดปัญหาความน่าเชื่อถือลามไปเป็นวิกฤตศรัทธาร้ายแรงจนอาจทำให้ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้อย่างสง่างาม
ถ้าเงื่อนงำความน่าสงสัยเกิดกับนักการเมือง ผู้บริหารรัฐบาล ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่นๆ นั่นหมายถึงความเสียหายถึงขั้นที่ประชาชนไม่ไว้ใจ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป รวมตัวเรียกร้องให้ลาออก เดินขบวนขับไล่
ที่ร่ายยาวมานั้น เพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันกำลังจะเผชิญปัญหา หรือวิกฤตศรัทธาซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยุ่งยาก ไปลำบาก มีเรื่องเกี่ยวโยงบุคคลสำคัญเมื่อสำนักข่าวอิศราเปิดเผยข้อมูลด้านธุรกรรมโดยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีมหาดไทย
รายงานเริ่มว่า “แกะรอยบริษัทรับซื้อที่ดินพ่อพล.อ.ประยุทธ์ 9 แปลง 50 ไร่ 3 งาน 600 ล้าน “หุ้นใหญ่” เป็นตู้ ป.ณ.ตั้งอยู่บนเกาะบริติชเวอร์จิน ก่อนเพิ่มทุนโอนให้เครือข่ายเสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี จดทะเบียนจัดตั้ง ก่อนทำสัญญาซื้อขาย 7 วัน”
ที่น่าสนใจคือมีบริษัทที่เกี่ยวข้องคือ “วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ ทรัส (บี.วี.ไอ.) ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ แชมเบอร์, ตู้ ปณ. 146, โรดทาวน์, ทอร์โทล่า, บริติชเวอร์จิน ไอส์แลนด์” มาร่วมเป็นผู้ซื้อ... ตามรายละเอียดที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์ต่างๆ
ชื่อ “วินเทค...” นี่แหละ ทำให้เกิดความสงสัยว่ามีความเกี่ยวโยงอย่างไรกับบริษัท “วินมาร์ค...” และ “แอมเปิล ริช...” ของเครือข่ายทักษิณหรือไม่ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น
เงื่อนงำที่เกี่ยวโยงกับ “วินเทค” และ “เสี่ยเจริญ” นี่แหละ ผสมกับข้อมูลประกอบซึ่งรับรู้ความสัมพันธ์ระดับวงใน จะสร้างความน่าสงสัยเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขายที่ดินครั้งนี้ ถ้าซื้อขายกันธรรมดากับบริษัททั่วไปของ “เสี่ยเจริญ” คงไม่มีใครฉุกคิดหรือสงสัย
จะว่าเป็นผีซ้ำด้ำพลอยก็ได้ ในเวลาไล่เรี่ยกัน สำนักข่าวอิศรายังมีอีกเรื่อง “สาวลึก 2 บริษัทรับงานอีเวนท์-พีอาร์ท่องเที่ยวคืนความสุขประชาชน สนง.จังหวัดนนท์ 20 ล้านบาท พบ “หุ้นใหญ่” ทำธุรกิจรับเหมา “อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ร่วมเป็นกรรมการปี 55-57 “บิ๊กป๊อก” เซ็นค้ำประกันหนี้ 258.9 ล้าน” รายละเอียดถูกแชร์ผ่านสื่อออนไลน์ด้วย
ทั้ง 2 กรณียังไม่มีการกล่าวหาในข้อสงสัยเกี่ยวโยงถึงการทุจริตประพฤติมิชอบ แต่ได้สร้างความสนใจและข้อสงสัยถึงเงื่อนงำ ความสัมพันธ์ในกลุ่มบุคคลในธุรกรรม ความเหมาะสมในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือการขัดแย้งในผลประโยชน์
แกนนำ คสช. และรัฐบาลจะเผชิญความน่าสงสัยและคำถามจากผู้สื่อข่าว ถ้าจัดการไม่ดี นายกฯ และรัฐมนตรีมหาดไทยจะเผชิญวิกฤตด้านความน่าเชื่อถือ ต่อให้อำนาจรัฐ หรือกฎอัยการศึกก็เอาไม่อยู่เพราะเป็น Reasonable Doubt อย่างแรง
สุดยอดทนายความ นักล็อบบี้ยิสต์ นักยุทธศาสตร์รณรงค์ด้านการเมืองของสหรัฐฯ ฝีมือระดับเซียนเรียกอาจารย์ มีชื่อเสียงโด่งดังในตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง และรัฐมนตรีต่างประเทศ น่าจะเหนือกว่าเฮนรี คิสซิงเกอร์ด้วยซ้ำ คือ นายเจมส์ เบเกอร์ III เจ้าสำนักกฎหมายเบเกอร์ บอตต์ส และตัวแทนของ “ทักษิณ” ด้านงานประชาสัมพันธ์
บุคคลนี้ไม่ธรรมดา ทุกวันนี้ยังทรงอิทธิพลในการเมืองอเมริกัน เคยสังกัดพรรคเดโมแครต ภายหลังเปลี่ยนมาสังกัดพรรครีพับลิกัน ได้มีบทบาทสำคัญมากในตำแหน่งรัฐมนตรีคลังในยุคข้อตกลงโรงแรมพลาซา อุ้มค่าเงินสหรัฐฯ แก้ไขวิกฤตค่าเงินอย่างได้ผล
เมื่อเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในยุคจอร์จ บุช ผู้พ่อ เป็นคนเดินสายเจรจาระหว่างประเทศต่างๆ ในปัญหาตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ นับเป็นผู้ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในการเมืองระหว่างประเทศ ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีมันสมองเฉียบแหลม น่าเชื่อถือ
เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การเลือกตั้งอย่างเฉียบแหลม ทำให้จอร์จ บุช ตัวลูกชนะ อัล กอร์ ในการดวลความนิยมจนถึงนัดตัดเชือกในรัฐฟลอริดา ทำให้นายอัล กอร์ ยอมแพ้หลังจากสู้ศึกในศาล นับคะแนนคู่คี่สูสีทำเอาสังคมอเมริกันแทบแตกร้าวรุนแรง
นายเจมส์ เบเกอร์ III ได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านการประชาสัมพันธ์ เป็นนักล็อบบี้ยิสต์คนสำคัญให้ “ทักษิณ” เป็นต้นตำรับการสร้างเงื่อนงำ “เหตุอันควรสงสัย” ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเผชิญปัญหาความน่าเชื่อถือ ด้านภาพลักษณ์จนแทบเสียผู้เสียคน
สภาวะเช่นนั้น คือ “Reasonable Doubt” หรือ “เหตุอันควรสงสัย” นั่นเอง ดังนั้นการพิสูจน์ความจริงในศาลต้องให้ถึงระดับ “Proof Beyond Reasonable Doubt” คือต้องพิสูจน์ให้เห็นความจริงโดยประจักษ์ “ปราศจากข้อสงสัยอันมีเหตุผล” เท่านั้น
ผมได้สัมภาษณ์ เจมส์ เบเกอร์ III คนนี้แหละเมื่อมาเยือนเมืองไทย ออกอากาศในรายการ Face The Nation บนทีวีสีช่อง 9 หลายปีก่อน ถัดจากการได้สัมภาษณ์เลดี้มาร์กาเรต แธตเชอร์ เมื่อนางมากล่าวปาฐกถาในฐานะแขกคนสำคัญของซิตี้แบงก์
เจมส์ เบเกอร์ III ได้เคยกล่าวไว้ว่าการทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เรื่องยากเย็น เพียงแค่สร้างบรรยากาศแวดล้อมอันน่าสงสัยเชิงลบให้แก่บุคคลผู้นั้น ในด้านความน่าเชื่อถือ ความสุจริต หรือด้านอื่นๆ เกี่ยวโยงถึงบุคลิก คุณธรรม ฯลฯ
เพียงแค่ทำให้สังคมสงสัยว่าบุคคลนั้นมีปัญหาว่า “ไม่ซื่อ ไม่สง่างาม มีเงื่อนงำ” ก็พอแล้ว ยุทธศาสตร์นี้ได้ผลในสังคมตะวันตกแต่ในสังคมของคนหน้าด้านในประเทศไทย ยุทธศาสตร์นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะใช้เป็นอาวุธทำลายคู่แข่งด้านธุรกิจหรือการเมือง
แต่ยังได้ผลระดับหนึ่งเพราะเป็นการสร้างความมัวหมอง รอยมลทิน ผลสุดท้ายถ้าบุคคลนั้นไม่สามารถทำให้สังคมคลายความสงสัย จะเกิดปัญหาความน่าเชื่อถือลามไปเป็นวิกฤตศรัทธาร้ายแรงจนอาจทำให้ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้อย่างสง่างาม
ถ้าเงื่อนงำความน่าสงสัยเกิดกับนักการเมือง ผู้บริหารรัฐบาล ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่นๆ นั่นหมายถึงความเสียหายถึงขั้นที่ประชาชนไม่ไว้ใจ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป รวมตัวเรียกร้องให้ลาออก เดินขบวนขับไล่
ที่ร่ายยาวมานั้น เพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันกำลังจะเผชิญปัญหา หรือวิกฤตศรัทธาซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยุ่งยาก ไปลำบาก มีเรื่องเกี่ยวโยงบุคคลสำคัญเมื่อสำนักข่าวอิศราเปิดเผยข้อมูลด้านธุรกรรมโดยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีมหาดไทย
รายงานเริ่มว่า “แกะรอยบริษัทรับซื้อที่ดินพ่อพล.อ.ประยุทธ์ 9 แปลง 50 ไร่ 3 งาน 600 ล้าน “หุ้นใหญ่” เป็นตู้ ป.ณ.ตั้งอยู่บนเกาะบริติชเวอร์จิน ก่อนเพิ่มทุนโอนให้เครือข่ายเสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี จดทะเบียนจัดตั้ง ก่อนทำสัญญาซื้อขาย 7 วัน”
ที่น่าสนใจคือมีบริษัทที่เกี่ยวข้องคือ “วินเทค โปรฟิท คอมปะนี ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ ทรัส (บี.วี.ไอ.) ลิมิเต็ด ไทรเด้นท์ แชมเบอร์, ตู้ ปณ. 146, โรดทาวน์, ทอร์โทล่า, บริติชเวอร์จิน ไอส์แลนด์” มาร่วมเป็นผู้ซื้อ... ตามรายละเอียดที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์ต่างๆ
ชื่อ “วินเทค...” นี่แหละ ทำให้เกิดความสงสัยว่ามีความเกี่ยวโยงอย่างไรกับบริษัท “วินมาร์ค...” และ “แอมเปิล ริช...” ของเครือข่ายทักษิณหรือไม่ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น
เงื่อนงำที่เกี่ยวโยงกับ “วินเทค” และ “เสี่ยเจริญ” นี่แหละ ผสมกับข้อมูลประกอบซึ่งรับรู้ความสัมพันธ์ระดับวงใน จะสร้างความน่าสงสัยเกี่ยวกับธุรกรรมการซื้อขายที่ดินครั้งนี้ ถ้าซื้อขายกันธรรมดากับบริษัททั่วไปของ “เสี่ยเจริญ” คงไม่มีใครฉุกคิดหรือสงสัย
จะว่าเป็นผีซ้ำด้ำพลอยก็ได้ ในเวลาไล่เรี่ยกัน สำนักข่าวอิศรายังมีอีกเรื่อง “สาวลึก 2 บริษัทรับงานอีเวนท์-พีอาร์ท่องเที่ยวคืนความสุขประชาชน สนง.จังหวัดนนท์ 20 ล้านบาท พบ “หุ้นใหญ่” ทำธุรกิจรับเหมา “อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ร่วมเป็นกรรมการปี 55-57 “บิ๊กป๊อก” เซ็นค้ำประกันหนี้ 258.9 ล้าน” รายละเอียดถูกแชร์ผ่านสื่อออนไลน์ด้วย
ทั้ง 2 กรณียังไม่มีการกล่าวหาในข้อสงสัยเกี่ยวโยงถึงการทุจริตประพฤติมิชอบ แต่ได้สร้างความสนใจและข้อสงสัยถึงเงื่อนงำ ความสัมพันธ์ในกลุ่มบุคคลในธุรกรรม ความเหมาะสมในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือการขัดแย้งในผลประโยชน์
แกนนำ คสช. และรัฐบาลจะเผชิญความน่าสงสัยและคำถามจากผู้สื่อข่าว ถ้าจัดการไม่ดี นายกฯ และรัฐมนตรีมหาดไทยจะเผชิญวิกฤตด้านความน่าเชื่อถือ ต่อให้อำนาจรัฐ หรือกฎอัยการศึกก็เอาไม่อยู่เพราะเป็น Reasonable Doubt อย่างแรง