ผมเป็นคนหนึ่งในมวลมหาประชาชน ที่ทั้งเสียใจและดีใจ เมื่อทหารตัดสินใจเข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศ ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่เสียใจคือได้ร่วมต่อสู้กับมวลมหาประชาชนมากว่าครึ่งปี กรำแดดกรำฝนบนถนน โดยหวังว่าจะมีการปฏิวัติโดยประชาชนเพื่อสร้างประวัติศาสตร์การเมืองไทยหน้าใหม่ที่คงจะงดงามกว่าการเปลี่ยนแปลงโดยรถถังและปืนกล
เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่ “สมบัติผลัดกันชม” คือผลัดเปลี่ยนอำนาจโดยไม่ก่อประโยชน์แก่บ้านเมืองเลย
แต่ที่ดีใจก็เพราะทหารเข้ามาในจังหวะที่สถานการณ์ล่อแหลม อาจเกิดสงครามนองเลือดกลางเมือง ฆ่ากันเองของคนไทยด้วยกัน เพราะฝ่ายตรงกันข้ามระดมขนอาวุธสงครามเข้ามาเตรียมการอย่างมากมาย ดังที่ฝ่ายทหารตรวจค้นยึดจับได้หลังการรัฐประหารทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดตามที่ปรากฏเป็นข่าว
หลังการยึดอำนาจ ผมทำใจกลับบ้านไปนั่งเขียนบทกวีสะท้อนความรู้สึกนึกคิดในฐานะของหนึ่งในมวลมหาประชาชน ดังที่ได้ทยอยนำมาลงในหน้าบทความ “คิดถึงเมืองไทย” นี้มาโดยตลอด
ทั้งเขียนให้กำลังใจขุนทหารใช้อำนาจพิเศษเด็ดขาดแก้ไขปรับปรุงบ้านเมืองให้ พ้นภยันตรายจากระบอบทุนนิยมสามานย์ที่กัดกร่อนทำลายโครงสร้างของสังคมไทยอย่างรุนแรงมาหลายปี ทั้งเขียนทักท้วงติติง เมื่อพบว่าที่ควรทำยังไม่ทำหรือที่ทำอยู่น่าจะผิดเพี้ยนจากแนวทางปฏิรูป ปฏิวัติที่มวลมหาประชาชนอยากจะเห็นและอยากให้เป็นไป
มาถึงบัดนี้ ก็เกือบจะครึ่งปีเข้าไปแล้ว จำนวนวันเริ่มใกล้เคียงกับระยะเวลาที่มวลมหาประชาชนมาเป่านกหวีดโบกธงชาติ มากินนอนกลางถนนในกรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาและปฏิรูปการเมืองไทยให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แท้จริง
บัดนี้ ประเทศมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว มีสภาปฏิรูปแห่งชาติแล้ว และมีรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.มาเป็นเอง โดยยังควบสถานะหัวหน้า คสช.ไว้ ซึ่งก็ไม่มีใครขัดข้องอันใด เพราะจะได้เชื่อมั่นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ใช้อำนาจพิเศษเด็ดขาดจัดการกับปัญหาหมักหมมถมทับของบ้านเมือง และเร่งปฏิรูปประเทศชาติให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนคนไทย เพื่อรับสนองพระบรมปฐมราชโองการ ที่ทรงประกาศไว้ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ผมเคยมีความหวังเล็กๆ ว่า ตนเองจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการเข้าไปช่วยคิดอ่านปฏิรูปประเทศ เมื่อได้รับการคัดเลือกจากสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ นครราชสีมา เสนอชื่อไปเข้าสมัครรับการคัดเลือกเป็นสมาชิก สปช.สายสังคม แต่ผลลัพธ์คือ คสช.ไม่เลือก ซึ่งผมก็ยอมรับถอยออกมาอยู่วงนอก เป็นผู้ดูผู้เฝ้าสังเกตการณ์การปฏิรูปประเทศ ในบทบาทของพลเมืองดี ที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวแต่โดยดี
การเขียนบทกวีทักท้วงติติงของผม เคยถูกต่อว่าจากพรรคพวกคอการเมืองในทำนองว่า เป็นการติเรือทั้งโกลนหรือเปล่า?
น่าจะให้โอกาส ให้กำลังใจฝ่ายทหารที่เขากำลังทุ่มเททำงานเพื่อบ้านเมืองนะ ผมก็ได้แต่ยิ้ม ไม่รู้จะอธิบายพรรคพวกอย่างไรว่า จากประสบการณ์และจิตสำนึกลึกๆของคนที่ต่อสู้ในภาคประชาชนมาตั้งแต่ตุลาคม 2516 และผ่านวิกฤตบ้านเมืองผ่านการเมืองไทยน้ำเน่าสลับกับการรัฐประหารหน่อมแน้ม และจำแลงที่ล้มลุกคลุกคลานครั้งแล้วครั้งเล่ามาโดยตลอด มันเหมือนมีสังหรณ์พิเศษ เมื่อสัมผัสกับการกระทำใดๆ ต่อบ้านเมืองคล้ายจะประเมินจุดหมายปลายทางได้อย่างค่อนข้างจะแม่นยำทุกครั้งไป
ผมเคยปรารภกับผู้คนในแวดวงการเมืองคอเดียวกันเสมอว่า แท้ที่จริงการบริหารจัดการบ้านเมืองให้เกิดประโยชน์สุขต่อประเทศชาติและประชาชนตามนัย “ครองแผ่นดินโดยธรรม” ไม่น่าจะยากเย็นเลย แค่เพียงผู้ยึดครองอำนาจไปหาพระบรมราโชวาทที่ในหลวงรัชกาลนี้ทรงมีพระราชดำรัสในวาระต่างๆ ซึ่งมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้มาศึกษาเป็นแนวทาง และเพียงแต่ผู้ถือครองอำนาจรัฐยึดมั่นปฏิบัติตามคำสัตย์ปฏิญาณที่เข้าถวายสัตย์ก่อนรับตำแหน่งอย่างมุ่งมั่นและจริงใจเท่านั้นเอง บ้านเมืองก็ดีขึ้นแน่นอน
ดังที่ผมเขียนต้อนรับรัฐบาลชุดปัจจุบันไว้ดังนี้
“ขอต้อนรับคณะรัฐมนตรีใหม่
ขอส่งกำลังใจให้เข้มแข็ง
ฝ่าขวากหนามทุกภาระที่หนักแรง
เพื่อเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย
เชื่อมั่นในความรู้ความสามารถ
จงซื่อตรงองอาจอย่าหวั่นไหว
ประเทศชาติจะรอดจะปลอดภัย
ล้วนอยู่ใน คำถวายสัตย์ ปฏิญาณ
จงยึดมั่นคำสัตย์โดยสัตย์ซื่อ
จงยึดถือพระราชดำรัสตรัสฝากท่าน
แล้วพรชัยที่พระองค์พระราชทาน
จะคุ้มเกล้ารัฐบาล ผ่านโพยภัย
ทุกหน้าที่ทุกตำแหน่งแบ่งไว้ชัด
เพียงทำให้ซื่อสัตย์อย่าเฉไฉ
คนทั้งชาติมอบความหวังมอบพลังใจ
ขอให้รัฐบาลใหม่ สร้างไทยวิวัฒนาการ”
ว.แหวนลงยา
คนไทยทุกคนที่รักชาติบ้านเมืองทุกคนคงจะตระหนักดีว่า บ้านเมืองมีปัญหาทับถมหมักหมมมาก สถาบันถูกสั่นคลอน ขื่อแปปั่นป่วนแปรปรวน และคนไทยแตกแยกกันรุนแรงขยายตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ปัญหาการเลือกตั้ง การเมืองไทยที่ไม่บำบัดทุกข์บำรุงสุข แต่กลับบำบัดสุขบำรุงทุกข์มากกว่า จนบ้านเมืองตกต่ำในทุกด้านทั้งการศึกษา ทั้งเศรษฐกิจ และสังคม ที่ก่อปัญหาอย่างน่าวิตกกังวล
ปัญหาหนักหนาสาหัสเหล่านั้น พิสูจน์แล้วว่า อำนาจการเมืองการปกครองตามปกติไม่เอื้ออำนวยให้แก้ไขขจัดปัดเป่าได้ คนไทยที่เป็นมวลมหาประชาชนจึงกัดฟันมอบความหวังไว้กับอำนาจพิเศษเด็ดขาดจากการรัฐประหารครั้งนี้ ซึ่งมีข้อแม้ว่า เมื่อกล้าอาสาเข้ามารำร้อง จงอย่าโทษปี่โทษกลองใดๆ เพราะรำดีรำไม่ดีนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับท่ารำมิใช่หรือ?
หนังสือ “ทหารเป่านกหวีด” ที่ผมเขียนหลังการรัฐประหาร จึงเขียนไว้ที่ปกหลังหนังสืออย่างเปิดเผยว่า
รัฐประหารที่ผ่านมาล้วนล้าหลัง
อยากให้ครั้งนี้เป็นมิติใหม่
ถอยหลังเพื่อสืบเท้าให้ก้าวไกล
สร้างประเทศให้ “โปร่งใส” ให้ “พอเพียง”
ผมตั้งคำถามแทนมวลมหาประชาชนอย่างตรงไปตรงมาตามชื่อบทความนี้ว่า “ทำรัฐประหารเพื่ออะไร?”
และก็คงมีแต่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้นที่จะเป็นผู้ตอบคำถามนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง ประจักษ์แก่ใจของ ฯพณฯ เอง ในการตัดสินใจก่อการรัฐประหารครั้งนี้
ส่วนคำตอบจักเป็นเช่นใด ย่อมขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการบ้านเมืองที่มวลมหาประชาชนคนไทยจะต้องติดตามต่อไปอย่างไม่กะพริบตา
“ไม่มีใครเป็นนายใครเป็นทาส
แค่กำหนดบทบาทและหน้าที่
เราต่างเป็นเจ้าของตรองให้ดี
มีอำนาจแค่ให้มีหน้าที่ทำ
ทำเพื่อประโยชน์ชาติประชาชน
อย่าทำเพื่อประโยชน์ตนทั้งสูงต่ำ
ใครเป็นปี่ใครเป็นกลองใครร้องรำ
ทำหน้าที่ให้เป็นธรรม เท่านั้นเอง!”
ว.แหวนลงยา