นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือที่รู้จักกันในนามปากกาว่า "ส. ศิวรักษ์" ได้เผยแพร่บทความผ่านทางเฟซบุ๊ก “Sulak Sivaraksa” เมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อบทความ "จดหมายรักถึงเผด็จการ (ฉบับสรุปสาระสำคัญ)" โดยมีเนื้อหาแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 เป็นเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองต่างประเทศ เริ่มจากยุคโรมันโบราณ ที่มีการหักหลังกันเพื่อขึ้นมาเป็นใหญ่ รวมทั้งเรื่องประชาธิปไตยในอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ที่มีลักษณะเป็นทุนนิยม และการปกครองแบบเผด็จการ
ส่วนตอนที่ 2 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยส.ศิวรักษ์ ได้กล่าวถึง คณะรัฐมนตรีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ดูจะเน้นไปในทางทุนนิยมค่อนข้างมาก หากไม่หาทางรั้งเอาไว้บ้าง สยามประเทศ จะเป็นไปในทิศทางที่อยู่ใต้อาณัติของจักรวรรดิจีน และจักรวรรดิอเมริกัน รวมถึงบรรษัทข้ามชาติ อย่างน่าวิตก
นายกรัฐมนตรีไปเมืองพม่า เมื่อเร็วๆ นี้ แล้วแลไม่เห็นหรือ ถึงมหันตภัยที่ ทักษิณ ชินวัตร กับบริษัทบริวารของเขาทำไว้กับทวาย และท่าเรือน้ำลึก กับนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงถนนอันกว้างไกล ผ่านไปทางเมืองกาญจนบุรี จนถึงเมืองจีน นี่เป็นมหันตภัยอันสำคัญยิ่งกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และความกินดีอยู่ดีของชาวทวาย
ไม่เห็นหรือว่า นิคมอุตสาหกรรมที่มาบตาพุดเลวร้ายอย่างไร แล้วเรายังเอาความเลวร้ายเช่นนั้นไปมอบให้ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเพิ่มความวินาศยิ่งๆ ขึ้นกว่าทวีคุณ ผู้นำที่ดี น่าจะมีจิตสำนึกในทางนี้
คณะรัฐมนตรีชุดนี้ไม่มีใครเลยที่แลเห็นว่า การพัฒนากระแสหลักเป็นโทษอันมหันต์ อย่างน้อยคนอย่าง สติกลิตซ์ ซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ ก็ยังชี้ให้เห็นแล้วว่า การพัฒนาเศรษฐกิจกระแสหลักไปไม่รอด รวมเทคโนโลยีล่าสุด ก็จะพาหายนะมาให้ทุกประเทศในโลกสมัยใหม่นี้ยิ่งๆ ขึ้น ลูกหลานเราจะไม่มีอนาคตเอาเลย
ที่ว่ามานี้ ชนชั้นปกครองไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ควรใช้วิจารณญาณ แสวงหาผู้รู้นอกกระแสหลักมาปรึกษาหารือ รวมทั้งเนติบริกร ที่รับใช้เผด็จการอยู่ในบัดนี้ ก็เป็นคนหน้าเดิมๆ ที่รับใช้เผด็จการมาทุกยุคทุกสมัย โดยที่พวกเขามีสถานะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วบ้านเมืองกระเตื้องขึ้นบ้างไหม ไพร่ฟ้าหน้าใสหรือไม่ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ควรมองหานักกฎหมายที่เข้าถึงความยุติธรรมทางสังคมมาเป็นที่ปรึกษาบ้าง ยังสิทธิมนุษยชนนั้น อย่าถือว่านั่นเป็นอันตรายกับความมั่นคงของประเทศ โดยต้องรู้ว่า ระบบทุนและระบบขุนนางทางข้าราชการ กดขี่ข่มเหงประชาราษฎรมาทุกยุคทุกสมัย โดยที่ชนชั้นปกครองเห็นว่าราษฎรโง่ ชาวเขานั้นเป็นส่วนเกินของบ้านเมือง และของราชอาณาจักร ทั้งๆ ที่พวกนั้นเขาอยู่ที่แผ่นดินนี้ มาก่อนชนชาติไทยจะอพยพมายึดครองประเทศนี้เสียอีก ควรต้องเคารพนับถือเขา ว่าเป็นคนเหมือนกับเรา ที่ไปกล่าวหาว่าชาวเขาทำไร่เลื่อนลอย ทำลายธรรมชาตินั้นเหลวไหล เพราะพวกเขาทำไร่ไถนาบนเขามากี่ชั่วคนแล้ว แสดงว่าเขาอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างชาญฉลาด
ทางสามสี่จังหวัดภาคใต้ก็เช่นกัน ไปดูถูกเขาว่าเป็นแขก เป็นราษฎรชั้นสอง ทั้งๆ ที่เขาควรมีศักดิ์ศรีไม่น้อยไปกว่าคนไทย และเขาไม่ใช่ไทยมุสลิม เขาเป็นมลายู ซึ่งก็ควรมีสิทธิในการเป็นราษฎรไม่ต่างไปจากคนที่อ้างความเป็นไทย ฉะนั้นคำว่า Thailand นั้น ก่อให้เกิดปัญหาแท้ทีเดียว
ที่เอ่ยมานี้ เป็นเพียงบางเรื่องที่ผู้นำควรเข้าใจให้ถึงสาระ และผู้นำที่ดี ควรเปิดโอกาสให้มีเสรีภาพให้มาก ให้เขาด่าว่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผย ดีกว่าให้เขาไปซ่องสุมผู้คนอย่างลับๆ
อนึ่ง กฎอัยการศึกนั้น มีประโยชน์เวลามีอริราชศัตรูมาประชิดราชอาณาจักร เพื่อเกณฑ์ผู้คนได้ทันท่วงที และใช้อำนาจเด็ดขาดได้โดยฉับพลัน แต่ถ้าบ้านเมืองไม่มีอริราชศัตรู ขุนนางข้าราชการนั้นแล จะเป็นศัตรูของราษฎรอย่างน่ากลัวนัก เพราะข้าราชการดูถูกราษฎรอยู่แล้วและเข้าข้างนายทุนอย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม พวกนี้จะเบียดเบียนบีฑาราษฎร เช่น ไล่ที่ทำกิน หรือการทำโรงไฟฟ้าถ่านหิน ก็อ้างว่านี่คือความเจริญ ราษฎรที่คัดค้านนั้นโง่เขลา ยิ่งขุนนางข้าราชการพวกนี้ใช้กฎอัยการศึกมากเท่าไร ก็จะห้ำหั่นราษฎรตาดำๆได้มากเท่านั้น
ถ้าผู้นำทางเผด็จการไม่กล้าเลิกกฎอัยการศึก ก็ต้องฟังเสียงกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนให้จงหนัก ว่า การที่ราษฎรต่อสู้กับนายทุน หรือไม่ยอมสยบกับอำนาจอันไม่ชอบธรรมนี้ ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของเขา
ถ้าผู้นำทางเผด็จการฟังเสียงจากคนเล็กคนน้อย ข้าราชการในท้องถิ่นต่างๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนคงเบียดเบียนบีฑาประชาราษฎรได้ไม่ง่ายนัก แต่ถ้าเลิกกฎอัยการศึกเสียได้ จะได้ผลดียิ่งกว่าผลร้าย เว้นเสียแต่ว่าผู้นำทางด้านเผด็จการจะไม่มีความกล้าหาญเพียงพอเท่านั้น
ที่เขียนมานี้ก็ด้วยความรักเป็นบรรทัดฐาน ในฐานะกัลยาณมิตร กล่าวคือ กัลยาณมิตรย่อมจะพูดกับผู้มีอำนาจในสิ่งที่เขาไม่อยากฟัง แต่ถ้าหัดสดับตรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ได้มากเท่าไร เผด็จการจะมีใจกว้างและมีสติวิจารณญาณมากยิ่งขึ้น พร้อมไปกับความอ่อนน้อมถ่อมตน นี้แลคือสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำที่แท้
ส. ศิวรักษ์
22/10/57
ป.ล.
มีเสียงพูดกันมากว่าผู้นำคสช. นั้น เป็นคนซื่่อ มือสะอาด แต่คนรอบๆข้าง บางคนเป็นโสณทุจริต ทั้งยังหากินอย่างใกล้ชิดกับคณะของทักษิณ ชินวัตรอีกด้วย ถ้าที่ว่ามานี้เป็นจริง แล้วแก้ไขประเด็นนี้ไม่ได้ จะไปปฏิรูปบ้านเมืองได้อย่างไร
ส่วนตอนที่ 2 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยส.ศิวรักษ์ ได้กล่าวถึง คณะรัฐมนตรีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ดูจะเน้นไปในทางทุนนิยมค่อนข้างมาก หากไม่หาทางรั้งเอาไว้บ้าง สยามประเทศ จะเป็นไปในทิศทางที่อยู่ใต้อาณัติของจักรวรรดิจีน และจักรวรรดิอเมริกัน รวมถึงบรรษัทข้ามชาติ อย่างน่าวิตก
นายกรัฐมนตรีไปเมืองพม่า เมื่อเร็วๆ นี้ แล้วแลไม่เห็นหรือ ถึงมหันตภัยที่ ทักษิณ ชินวัตร กับบริษัทบริวารของเขาทำไว้กับทวาย และท่าเรือน้ำลึก กับนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงถนนอันกว้างไกล ผ่านไปทางเมืองกาญจนบุรี จนถึงเมืองจีน นี่เป็นมหันตภัยอันสำคัญยิ่งกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และความกินดีอยู่ดีของชาวทวาย
ไม่เห็นหรือว่า นิคมอุตสาหกรรมที่มาบตาพุดเลวร้ายอย่างไร แล้วเรายังเอาความเลวร้ายเช่นนั้นไปมอบให้ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเพิ่มความวินาศยิ่งๆ ขึ้นกว่าทวีคุณ ผู้นำที่ดี น่าจะมีจิตสำนึกในทางนี้
คณะรัฐมนตรีชุดนี้ไม่มีใครเลยที่แลเห็นว่า การพัฒนากระแสหลักเป็นโทษอันมหันต์ อย่างน้อยคนอย่าง สติกลิตซ์ ซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ ก็ยังชี้ให้เห็นแล้วว่า การพัฒนาเศรษฐกิจกระแสหลักไปไม่รอด รวมเทคโนโลยีล่าสุด ก็จะพาหายนะมาให้ทุกประเทศในโลกสมัยใหม่นี้ยิ่งๆ ขึ้น ลูกหลานเราจะไม่มีอนาคตเอาเลย
ที่ว่ามานี้ ชนชั้นปกครองไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่ควรใช้วิจารณญาณ แสวงหาผู้รู้นอกกระแสหลักมาปรึกษาหารือ รวมทั้งเนติบริกร ที่รับใช้เผด็จการอยู่ในบัดนี้ ก็เป็นคนหน้าเดิมๆ ที่รับใช้เผด็จการมาทุกยุคทุกสมัย โดยที่พวกเขามีสถานะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วบ้านเมืองกระเตื้องขึ้นบ้างไหม ไพร่ฟ้าหน้าใสหรือไม่ หัวหน้าคณะปฏิวัติ ควรมองหานักกฎหมายที่เข้าถึงความยุติธรรมทางสังคมมาเป็นที่ปรึกษาบ้าง ยังสิทธิมนุษยชนนั้น อย่าถือว่านั่นเป็นอันตรายกับความมั่นคงของประเทศ โดยต้องรู้ว่า ระบบทุนและระบบขุนนางทางข้าราชการ กดขี่ข่มเหงประชาราษฎรมาทุกยุคทุกสมัย โดยที่ชนชั้นปกครองเห็นว่าราษฎรโง่ ชาวเขานั้นเป็นส่วนเกินของบ้านเมือง และของราชอาณาจักร ทั้งๆ ที่พวกนั้นเขาอยู่ที่แผ่นดินนี้ มาก่อนชนชาติไทยจะอพยพมายึดครองประเทศนี้เสียอีก ควรต้องเคารพนับถือเขา ว่าเป็นคนเหมือนกับเรา ที่ไปกล่าวหาว่าชาวเขาทำไร่เลื่อนลอย ทำลายธรรมชาตินั้นเหลวไหล เพราะพวกเขาทำไร่ไถนาบนเขามากี่ชั่วคนแล้ว แสดงว่าเขาอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างชาญฉลาด
ทางสามสี่จังหวัดภาคใต้ก็เช่นกัน ไปดูถูกเขาว่าเป็นแขก เป็นราษฎรชั้นสอง ทั้งๆ ที่เขาควรมีศักดิ์ศรีไม่น้อยไปกว่าคนไทย และเขาไม่ใช่ไทยมุสลิม เขาเป็นมลายู ซึ่งก็ควรมีสิทธิในการเป็นราษฎรไม่ต่างไปจากคนที่อ้างความเป็นไทย ฉะนั้นคำว่า Thailand นั้น ก่อให้เกิดปัญหาแท้ทีเดียว
ที่เอ่ยมานี้ เป็นเพียงบางเรื่องที่ผู้นำควรเข้าใจให้ถึงสาระ และผู้นำที่ดี ควรเปิดโอกาสให้มีเสรีภาพให้มาก ให้เขาด่าว่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างเปิดเผย ดีกว่าให้เขาไปซ่องสุมผู้คนอย่างลับๆ
อนึ่ง กฎอัยการศึกนั้น มีประโยชน์เวลามีอริราชศัตรูมาประชิดราชอาณาจักร เพื่อเกณฑ์ผู้คนได้ทันท่วงที และใช้อำนาจเด็ดขาดได้โดยฉับพลัน แต่ถ้าบ้านเมืองไม่มีอริราชศัตรู ขุนนางข้าราชการนั้นแล จะเป็นศัตรูของราษฎรอย่างน่ากลัวนัก เพราะข้าราชการดูถูกราษฎรอยู่แล้วและเข้าข้างนายทุนอย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม พวกนี้จะเบียดเบียนบีฑาราษฎร เช่น ไล่ที่ทำกิน หรือการทำโรงไฟฟ้าถ่านหิน ก็อ้างว่านี่คือความเจริญ ราษฎรที่คัดค้านนั้นโง่เขลา ยิ่งขุนนางข้าราชการพวกนี้ใช้กฎอัยการศึกมากเท่าไร ก็จะห้ำหั่นราษฎรตาดำๆได้มากเท่านั้น
ถ้าผู้นำทางเผด็จการไม่กล้าเลิกกฎอัยการศึก ก็ต้องฟังเสียงกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนให้จงหนัก ว่า การที่ราษฎรต่อสู้กับนายทุน หรือไม่ยอมสยบกับอำนาจอันไม่ชอบธรรมนี้ ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานของเขา
ถ้าผู้นำทางเผด็จการฟังเสียงจากคนเล็กคนน้อย ข้าราชการในท้องถิ่นต่างๆ ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนคงเบียดเบียนบีฑาประชาราษฎรได้ไม่ง่ายนัก แต่ถ้าเลิกกฎอัยการศึกเสียได้ จะได้ผลดียิ่งกว่าผลร้าย เว้นเสียแต่ว่าผู้นำทางด้านเผด็จการจะไม่มีความกล้าหาญเพียงพอเท่านั้น
ที่เขียนมานี้ก็ด้วยความรักเป็นบรรทัดฐาน ในฐานะกัลยาณมิตร กล่าวคือ กัลยาณมิตรย่อมจะพูดกับผู้มีอำนาจในสิ่งที่เขาไม่อยากฟัง แต่ถ้าหัดสดับตรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ได้มากเท่าไร เผด็จการจะมีใจกว้างและมีสติวิจารณญาณมากยิ่งขึ้น พร้อมไปกับความอ่อนน้อมถ่อมตน นี้แลคือสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำที่แท้
ส. ศิวรักษ์
22/10/57
ป.ล.
มีเสียงพูดกันมากว่าผู้นำคสช. นั้น เป็นคนซื่่อ มือสะอาด แต่คนรอบๆข้าง บางคนเป็นโสณทุจริต ทั้งยังหากินอย่างใกล้ชิดกับคณะของทักษิณ ชินวัตรอีกด้วย ถ้าที่ว่ามานี้เป็นจริง แล้วแก้ไขประเด็นนี้ไม่ได้ จะไปปฏิรูปบ้านเมืองได้อย่างไร