xs
xsm
sm
md
lg

หน้ามืด อหังการ บ้าอำนาจ...?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โสภณ องค์การณ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์

คำประกาศของรัฐบาลให้ผู้สนใจยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 จำนวน 29 แปลง ทั้งบนบกและในทะเล ให้เสร็จสิ้นภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 โดยไม่แยแสคำทักท้วงของกลุ่มประชาชนดิ้นรนเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมืองถูกมองว่าเป็นการท้าทายพลังมวลชนซึ่งยอมสยบภายไต้อำนาจกฎอัยการศึก

การตัดสินใจเป็นไปอย่างเร่งรีบลุกลี้ลุกลน ผิดจากประกาศเจตนารมณ์ของรัฐบาล โดยเฉพาะท่านผู้นำ ว่าต้องการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไปถกกันจนสิ้นกระแสความ หาทางออก เพื่อให้รัฐบาลตัดสินใจขั้นสุดท้าย

มาบัดนี้ คำประกาศไม่ต่างจากการผายลมทางปาก ไร้ราคา สิ้นความน่าเชื่อถือ ฟ้องให้เห็นเจตนาชัดเจนของกลุ่มผู้มีอำนาจว่าไม่แตกต่างจากนักการเมืองซึ่งลงทุนด้วยเงิน ซื้อเสียงเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ล่าสุดทำให้บ้านเมืองเสียหายร้ายแรงจากนโยบายจำนำข้าวมากกว่า 7 แสนล้านบาท

นอกจากไม่มีวี่แววว่าจะมีมาตรการจริงจังว่าจะเอาคนผิดมารับโทษทัณฑ์แล้ว รัฐบาลยังหาช่องทางกู้เงิน 8 แสนล้านบาทจากการออกพันธบัตรกู้เงินจากประชาชนมาล้างภาระให้สิ้นภายใน 30 ปี ไม่ต่างจากการเข้ามากุมอำนาจและจ่ายเงินค่าข้าวประมาณ 9 หมื่นล้านบาท แทนรัฐบาลยิ่งลักษณ์

รูปแบบ แนวโน้มของพฤติกรรมของรัฐบาลจากการรัฐประหารต้นทุนต่ำ มุ่งกำไรสูงด้านภาพลักษณ์ ทำให้ประชาชนจำยอมเสียสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็น การชุมนุม ถูกกฎอัยการศึกกดหัว พร้อมเสียงอ้อนวอนปนคำรามของท่านผู้นำว่าให้ประชาชนใจเย็นๆ ให้ผู้มีอำนาจทำงานเพื่อบ้านเมือง

ช่วงแรกชาวบ้านเชื่อมั่นเต็มที่ หลังจากบ้านเมืองวุ่นวายมานานเพราะการเมืองสามานย์มีแต่การทุจริต กินคำโต งาบหนักถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ ยอมอยู่นิ่งๆ เอาใจช่วย หวังว่าจะจัดการพวกชั่วร้าย โกงบ้านกินเมืองเอาตัวเข้าคุก

เวลาผ่านไป ไม่ปรากฏเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง นอกจากการกระทำฉาบฉวย เช่นจัดระเบียบรถบริการสาธารณะ ผลสุดท้ายปรากฏว่ามีเสือหิวกลุ่มใหม่เข้าไปจัดการผลประโยชน์แทนกลุ่มอำนาจเดิม

ราคาขายล็อตเตอรียังเกินราคา กลุ่มผู้มีอำนาจถูกมองว่ามีพฤติกรรมไม่ซื่อต่อประชาชน ตั้งหน้าตั้งตาขึ้นราคาน้ำมัน แก๊สหุงต้ม อ้างว่าต้องการให้ ราคา เป็นไปตามสภาพความเป็นจริงในตลาด ลดภาระงบประมาณของรัฐบาล

อะไรที่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่ม รัฐบาลเร่งทำ อะไรที่เป็นประโยชน์ กลับไม่ปรากฏผล เป็นพฤติกรรมซ้ำซาก ทำให้ความนิยม ความศรัทธาในรัฐบาล ทหารดิ่งทรุด จนไม่เหลือความน่าเชื่อถือ ชาวบ้านรำคาญวาทะผู้นำ เพราะนอกจากไม่คืนความสุขให้ตามคำประกาศและเพลง ยังเพิ่มทุกข์อยู่เป็นระยะ

ไม่แก้ไขเงื่อนไขสัมปทานเรื่องค่าภาคหลวง การแบ่งผลประโยชน์ ตามที่ประเทศอื่นๆ ได้เลือกใช้เพื่อผลประโยชน์เต็มที่ ยังทำตามรูปแบบเดิม การเสวนาสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย สร้างความหวังลมๆ แล้งๆ เป็นปาหี่ต้มประชาชน

พิสูจน์ชัดว่าคณะรัฐบาลทหารไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช้อำนาจจากการรัฐประหารจัดการคนชั่ว คนโกง อ้างว่าต้องปรองดอง ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมตามปกติ เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหานินทา

คำถามจึงเกิดว่า “แล้วรัฐประหารทำไม” ถ้าจะอ้างว่าให้กฎหมายจัดการแล้วจัดทีมมากุมอำนาจรัฐ มาเป็นคณะรัฐมนตรี ส่งพรรคพวกไปนั่งเก้าอี้สำคัญในองค์กรต่างๆ ทำไม ... เมื่อเสร็จภารกิจรักษาความสงบ ควรกลับเข้าค่ายทหารไปตามเดิม แต่ปรากฏว่ายังอ้างกฎอัยการศึกกำราบทั้งคนดี คนชั่ว

ผลที่เห็นคือ รัฐบาลกุมอำนาจรัฐคณะนี้ไม่มีประชาชนเป็นฐานอำนาจ พวกเสื้อแดงก็ไม่เอา เสื้อเหลืองก็ไม่เอา เสื้อสีฟ้าเอาบางส่วน เหลือแต่พวกมองโลกสวย พวกหน่อมแน้ม ไร้ความสนใจเรื่องปัญหาบ้านเมืองรับบทไทยเฉย

การประกาศให้สัมปทานจึงเป็นการเหยียบย่ำน้ำใจประชาชน ซึ่งต่อสู้ กับ รัฐบาลก่อนจนเกิดบาดเจ็บล้มตาย ให้ผู้นำกองทัพใช้เป็นข้ออ้างขับไล่นักการเมืองแล้วกุมอำนาจเอาไว้เอง โดยยังไม่มีผลงานตามคำอ้างทุกระยะ

ที่น่าเจ็บใจคือการประกาศแจกสัมปทานมีการประชุมเพียงพิธีการ รัฐมนตรีพลังงานลงนามก่อนหน้านั้น ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว ลืมคำพูดก่อนหน้านั้นว่าให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ ไปเสวนาหาทางเลือก

เฮอะ! การเสวนา นอกจากไม่ได้ข้อสรุป ยังทำให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มประชาชน หลวงปู่พุทธอิสระถูกสงสัยว่าเดินตามแนวทางของรัฐบาลทหาร เกิดกระทบกระทั่งทางวาทะ โต้เถียง ทำให้ความสัมพันธ์ร้าวฉานในกลุ่มต่างๆ

การเสวนา 2-3 รอบ ไม่ได้ทำให้รัฐบาลทหารสนใจอย่างจริงจัง แถมยังถูกมองว่าการตัดสินใจเรื่องสัมปทานเป็นการรับช่วงต่อจากกลุ่มผลประโยชน์เดิมโดยมีข้อตอบแทนอย่างมีเงื่อนงำ เสียงครหานินทาว่ามีการระดมทุนเกื้อกูลให้มีการโยกย้ายเจ้าหน้าทีเข้าไปนั่งตำแหน่งหลักเพื่อเชื่อมโยงผลประโยชน์

ซ้ำร้าย เสียงซุบซิบดังๆ ทำให้ชาวบ้านรู้ว่ามีพฤติกรรม “รู้ใจ” กันจริงๆ!

สังคมคนรู้ทันไม่เคยไว้เนื้อเชื่อใจกลุ่มผู้มีอำนาจใหม่ตั้งแต่ต้น เพียงแต่รอดูว่าจะออกลายชัดเจนเมื่อไหร่เท่านั้น เมื่อหยามน้ำใจเรื่องพลังงาน จึงเริ่มมีกลุ่มต่อสู้ในเรื่องผลประโยชน์ของชาติรวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหว โดยไม่หวั่นอำนาจของกฎอัยการศึก เพราะกลุ่มเคลื่อนไหวอ้างว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง

พวกนี้จะต่อสู้ทั้งด้านกฎหมาย ผ่านศาลปกครอง และกระบวนการต่างๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว เริ่มเกิดความรู้สึก “ไม่กลัว” เพราะถ้าปล่อยไว้ บ้านเมืองเสียหายจากการเอาสัมปทานปิโตรเลียมไปประเคนให้บริษัทต่างชาติเดิมๆ

ถ้ากลุ่มผู้อำนาจถูกมองว่ามีพฤติกรรมไม่ซื่อต่อบ้านเมือง อหังการ ผยองอำนาจ จะใช้อำนาจเผด็จการจัดการกับคนดี เท่ากับเป็นการยกระดับให้เป็นทรราชเต็มขั้น ใช้กำลังปราบปรามประชาชนคนรักชาติ หวงสมบัติแผ่นดิน

น่าห่วงว่าบ้านเมืองอยู่ในสภาพหนีจระเข้ปะเสือหิว ภาพของการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับรถถังอาจซ้ำรอยอีกครั้ง ถ้ากองทัพทิ้งประชาชน ถูกใช้ให้เป็นฐานของรัฐบาลเผด็จการ เป็นการต่อสู้แบบแตกหักอีกครั้งเพราะประชาชนยังไม่ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินตามเจตนารมณ์ ช่วงนี้เป็นเพียงการเปลี่ยนผ่าน

ผู้ทรยศหักหลัง กล้าสั่งฆ่าประชาชนมักจบไม่สวย ส่วนหนึ่งยังหลบหน้าสังคมอยู่ในประเทศได้รอวันตาย อีกส่วนต้องเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ มีเงินขนาดไหนยังคร่ำครวญคิดถึงลูก คิดถึงบ้าน อยากกลับทั้งๆ ที่ยังคิดชั่วต่อบ้านเกิด

ท่านผู้มีอำนาจตัดสินใจเลือกเอาก็แล้วกัน ว่าจะเอาประชาชนหรือเอาเพื่อนพ้องน้องพี่ พรรคพวกที่กำลังรุมทึ้งผลประโยชน์อย่างมูมมามในขณะนี้

ถ้าเริ่มบ่นว่า “ท่าทางจะไปลำบาก” จุดจบคงเดาได้ไม่ยาก!


กำลังโหลดความคิดเห็น