xs
xsm
sm
md
lg

เผยเบื้องหลัง"รองโรมานอฟ" หนีหัวซุกหัวซุนก่อนจบชีวิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"จารุพงศ์" เขียนบันทึกเผยเบื้องลึก-เบื้องหลังตัวเอง กับพ.อ.อภิวันท์ หนีออกนอกประเทศหลังคสช. เข้าควบคุมอำนาจ รวมถึงอาการเจ็บป่วย และการรักษาตัวระหว่างลี้ภัยที่ฟิลิปปินส์ สื่อแดงเผยศพเดินทางถึงไทยช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 10 ต.ค. นี้ โดยเครื่องทีจี 621 จากกรุงมะนิลา ก่อนรดน้ำศพ เสาร์ที่ 11 ต.ค. ที่วัดบางไผ่ นนทบุรี "ประยุทธ์"เผยไม่ไปร่วมงานศพ ขณะที่ "ประวิตร" เตือนแก๊งแดง อย่าใช้พิธีศพก่อความวุ่ยวาย เตรียมส่งจนท.ประกบ

มีรายงานว่าเมื่อคืนวันที่ 7 ต.ค. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย อดีต รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เขียนบันทึกไว้อาลัยต่อการจากไปของ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่เสียชีวิตในวัย 65 ปี หลังล้มป่วยจากโรคปอดติดเชื้อ ขณะที่หลบหนีหมายจับในคดีความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี ตามประมวลอาญามาตรา 112 ที่ประเทศฟิลิปปินส์

สำหรับบันทึกดังกล่าวของ นายจารุพงศ์ ได้เผยเบื้องหลังการหลบหนีของตนเอง และ พ.อ.อภิวันท์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หลังจากการรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ค่อนข้างละเอียด รวมถึงมีเนื้อหาหลายตอนที่น่าสนใจ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

"...ผมกับ ดร.อภิวันท์ นั้นเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนในยามยาก เพราะเราได้ต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยกันมาตั้งแต่ปี 2550 - 2553 โดยเฉพาะเมื่อผมเป็น เลขาธิการพรรค รองหัวหน้าพรรค และเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เราได้ทำงานทางการเมืองร่วมกันมาโดยตลอด

คุณอภิวันท์นั้นเวลามีประชุมพรรค ท่านจะไม่เคยขาดการประชุมพรรคเลย

เมื่อผมได้เป็นหัวหน้าพรรค ผมก็ให้คุณอภิวันท์ เป็นตัวหลักในการดำเนินการประชุมพรรคอยู่บ่อยครั้ง เพราะท่านรู้จักชื่อส.ส.ทุกคนเป็นอย่างดี และที่สำคัญท่านมีอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับผม เราพูดคุยกันอย่างถูกคอ เพราะว่าท่านอภิวันท์ มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ผมยังไม่เคยเห็นนายทหารคนไหน ที่จบโรงเรียนนายร้อยจปร. แล้ว มีวิสัยทัศน์ มีทัศนคติต่อการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างท่านอภิวันท์ เรียกได้ว่า ท่านเป็นแกะดำ หรือเป็นแกะหลงฝูงก็ว่าได้ ที่เป็นนายทหารที่มีหัวใจรักประชาธิปไตย หรือจะเรียกว่า หัวใจท่านอภิวันท์นั้น แดงพันเปอร์เซ็นต์

ผลงานที่ผมถือเป็นบทบาทสำคัญของการเป็นนักการเมืองเพื่อประชาธิปไตยของท่านอภิวันนท์ คือ ก่อนที่จะมีการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม ท่านอภิวันท์ มีการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย และได้ประกาศเป็นมติ เพื่อที่จะนำเสนอให้รัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เอาเรื่องให้ ประเทศไทย เป็นภาคีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี กรณีการหยุดยั้งการเข่นฆ่าประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเสนอให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นคนลงนามรับรองเรื่องดังกล่าว

แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น กลับยุบสภาเสียก่อน ในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่อุดมการณ์ของท่านอภิวันท์ ที่จะสร้างหลักประกันไม่ให้คนไทยต้องถูกเข่นฆ่าเพราะเรียกร้องประชาธิปไตย เกิดขึ้นอีก

หลังจากรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ผมเองก็ได้หลบหนีออกมาอยู่ตามตะเข็บขายแดนไทยกัมพูชาและลาว และได้ติดต่อกับท่านอภิวันท์ เพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารซึ่งกันและกันด้วย ผมก็ทราบว่าขณะนั้น ท่านอภิวันท์ ก็ยังอยู่ในประเทศไทย และเตรียมการที่จะหลบหนีอยู่ด้วยเหมือนกัน หลังจากที่ไปรายงานตัวตามคำสั่งของคสช. และถูกนำไปปรับเปลี่ยนทัศนคติเป็นเวลาระยะหนึ่งแล้ว และถูกปล่อยตัวออกมา

แต่ท่านก็ทราบจาก“พรายกระซิบ”ว่า คสช.เตรียมที่จะยัดเยียดข้อหาร้ายแรงให้กับท่าน นั่นก็คือ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ สุดท้ายผมก็ทราบว่า ท่านได้หลบหนีออกจากประเทศไทยแล้ว โดยท่านเล่าให้ผมฟังว่า หลบหนีออกมา ไม่ได้นำเอาอะไรติดตัวออกมาเลย ออกมาคนเดียว ใส่เพียงรองเท้าแตะมาเพียงคู่เดียว เรียกได้ว่า หนีกระเซอะกระเซิงออกมาเลย ออกมาตามตะเข็บขายแดน แล้วเดินทางไปยังประเทศฟิลิปปินส์ได้ในที่สุด

เหตุผลที่ท่านอภิวันท์ เลือกขอลี้ภัยอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์นั้น ท่านบอกกับผมว่าที่ฟิลิปปินส์ เป็นที่ตั้งของศูนย์ผู้ลี้ภัยเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอชซีอาร์ (UNHCR)ซึ่งท่านก็ได้รับการช่วยเหลือจาก ยูเอ็นเอชซีอาร์ ที่จะให้ได้รับการรับรองการเป็นผู้ลี้ภัยอย่างถูกต้อง

ขณะที่ท่านอภิวันท์ ลี้ภัยอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ ผมได้คุยกับท่านเป็นประจำเกือบทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง คุยกันถึงเรื่องสถานการณ์บ้านเมือง การเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะตัวท่านเองขณะนั้นท่านบอกว่า ลำบากมาก คสช. ยึดทรัพย์สินของท่านทั้งหมด

แต่ท่านก็ยังมีความมุ่งมั่นที่จะเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ในต่างประเทศ และมีความคิดที่จะร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์กับองค์การเสรีไทยฯ ที่จะเคลื่อนไหวต่อสู้ไปด้วยกัน ซึ่งผมก็ดีใจ ที่จะได้ท่านมาเสริมทัพให้กับองค์การเสรีไทยฯ ให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

แต่หลังจากที่พูดคุยติดต่อกันประมาณ 1 เดือน ขณะที่ท่านอภิวันท์ อยู่ที่ฟิลิปปินส์ ท่านก็เริ่มบ่นให้ผมฟังว่า ท่านไม่สบาย เริ่มไอ เป็นหวัด และเจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก ซึ่งทำให้เราคุยกันน้อยลง ต่อมาก็ทราบว่าท่านได้เข้าไปรักษาตัวที่ ร.พ.แห่งหนึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ เบื้องต้น ผมทราบจากคุณหมอบอกว่า ท่านเป็นโรคปอดปวม มีน้ำท่วมปอด และทราบว่ามีการเจาะปอดด้วย

จากนั้นก็ทราบว่า ท่านเข้าไอซียู ซึ่งแพทย์รายงานเพิ่มเติมว่า ท่านมีน้ำตาลในเลือดสูงมาก ปอดปวม หายใจไม่สะดวก แพทย์จึงทำการรักษาโดยการล้างไต การฟอกเลือด ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ผมก็ทราบว่าอาการของท่านอภิวันท์ บางวันก็ทรง บางวันก็ทรุด

จนเมื่อหมอใช้ยาแรงขึ้น ฟอกไตบ่อยขึ้น ก็พอจะมีข่าวดีว่า ท่านอาการดีขึ้นบ้าง แต่ตอนหลังกลับแย่ลงอีก ปอดติดเชื้ออย่างรุนแรง หมอต้องฟอกไตให้ไม่ต่ำกว่า 6 ครั้ง แต่ก็ไม่ดีขึ้น จนไตบวม ปอดติดเชื้อ จนเป็นฝ้าขาวหมด จนปอดเสียไปข้างหนึ่ง แต่สติท่านก็ยังพอรู้เรื่อง แต่พูดไม่ได้ เพราะใส่สายยาง แต่สายตาก็รับรู้ได้โดยพยักหน้า ตอบรับ

ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ก็ทราบว่า ท่านอาการหนักขึ้นอีก และเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม หมอก็บอกว่าให้ทำใจ ซึ่งตอนนั้นผมก็รู้แล้วว่า คงหมดหวังแล้ว ก็ได้แต่สวดมนต์ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และหลวงปู่ทวด ได้ช่วยปกป้องให้ท่านอภิวันท์ได้หายและปลอดภัยโดยเร็ว

แต่แล้วเมื่อเวลาประมาณ 22.38 น. ของวันที่ 6 ตุลาคม 2557 ผมก็ได้รับข่าวร้ายว่าท่านอภิวันท์ ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นการเสียชีวิตตรงกับวันที่ 6 ตุลาคม ตรงกับวันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ของนิสิตนักศึกษาและประชาชนคนไทยเมื่อ 38 ปีที่แล้ว

ผมจึงขออัญเชิญดวงวิญญาณของท่านอภิวันท์ให้ไปสู่สุขคติ และเป็นต้นแบบของวีรชน 6 ตุลา อีกหนึ่งคน ที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้อง และเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประชาชนคนไทย และขอให้ดวงวิญญาณของท่านอภิวันท์ ช่วยปกป้อง คุ้มครอง ให้พลังและกำลังใจกับผู้รักประชาธิปไตยที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในขณะนี้ เพื่อได้นำแสงสว่างแห่งความสำเร็จให้เกิดขึ้นกับพวกเรา โดยพวกเราจะเดินตามรอยทางที่ท่านอภิวันท์ได้สร้างให้เป็นต้นแบบในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเอาไว้แล้ว

แม้ว่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศจะรู้สึกเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของท่านอภิวันท์ แต่พวกเราที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่ในขณะนี้ จะเดินหน้าต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยอย่างไม่ย่อท้อต่อไป

สำหรับผมนั้น ความทรงจำ หรือความประทับใจที่มีต่อท่านอภิวันท์ วิริยะชัย ก็คือ ผมชื่นชมในความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างมาก โดยเฉพาะวันที่ท่านขึ้นรถ 6 ล้อ นำมวลชนออกไปเผชิญหน้ากับทหารเผด็จการอย่างไม่กลัวต่อชีวิต โดยไปที่หน้ากองบัญชาการทหารบก ถนนราชดำเนิน เพื่อไปสอนประชาธิปไตยให้กับนายทหารรุ่นน้อง ไปบอกกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ที่รัฐประหาร เมื่อ 19 กันยา 2549 ว่า เป็นการทรยศต่อประชาชน ทำให้ชื่อเสียงของสถาบันกองทัพต้องเสียหาย

ต่อมาก็นำมวลชนไปที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อไปบอกกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ให้เลิกสนับสนุนกองทัพทำรัฐประหาร โดยบอกว่า พล.อ.เปรม กำลังทำผิด ที่อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหาร และเรียกร้องให้ พล.อ.เปรมลาออกจากองคมนตรี

และล่าสุดเมื่อตอนกลางคืนของวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 ก่อนรัฐประหารเพียงไม่กี่ชั่วโมง ท่านอภิวันท์ ก็ได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช. ที่ถนนอักษะ ซึ่งเป็นการขึ้นกล่าวปราศรัยครั้งสุดท้ายของท่าน ทั้งๆ ที่ขณะนั้น มีการประกาศกฎอัยการศึกแล้ว ห้ามมีการชุมนุมแล้ว แต่ท่านก็ขึ้นเวทีเพื่อบอกว่า การประกาศกฎอัยการศึกของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นไม่มีความชอบธรรม เพราะยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่อย่างใด

..นี่คือ ความกล้าหาญของท่านอภิวันท์

มีคนสงสัยว่า ทำไม พ.อ.ดร อภิวันท์ วิริยะชัย ซึ่ง จบ จปร. แต่มีสำนึกและจิตวิญญาณที่รักประชาธิปไตย และเห็นด้วยกับการปฏิรูประบอบประชาธิปไตย ซึ่งเรื่องนี้ ผมพอที่จะอธิบายได้ว่า เพราะท่านสำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาโท และปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยอิลินอย ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านจึงซึมซับและเข้าใจวิถีทางประชาธิปไตยเป็นอย่างดี เมื่อท่านมาเล่นการเมืองยิ่งทำให้ท่านเห็นปัญหาของบ้านเมือง และจำเป็นที่จะต้องให้ประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น อุดมการณ์ของ ท่านอภิวันท์ วิริยะชัย จึงเป็นทหารผู้รักประชาธิปไตยที่มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และเสียสละที่จะต่อสู้เพื่อเพื่อประชาธิปไตย จึงอยากให้ ทหารรุ่นหลังได้ศึกษาเป็นตัวอย่างว่า หากจะเอาชนะใจประชาชน ก็จะต้องศึกษาอุดมการณ์การต่อสู้ของพ.อ. ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย ทหารจะต้องยืนเคียงข้างประชาชน ทหารต้องยืนเคียงข้างประชาธิปไตย และเลือดของทหารไทย จะต้องเป็นเลือดที่จะต่อสู้เพื่อรักษาและปกป้องประชาธิปไตยเท่านั้น...”

อนึ่ง กำหนดการที่ศพของ พ.อ.อภิวันท์ จะเดินทางมาถึงประเทศไทย โดยทางเครื่องบินนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงเผยแพร่ข่าวว่า คือวันศุกร์ที่ 10 ต.ค.นี้ โดยศพจะเดินทางโดยเครื่องบินของบริษัทการบินไทย เที่ยวบินที่ ทีจี 621 กำหนดออกจาก กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ เวลา 13.05 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 15.20 น. ซึ่งศพจะถูกนำไปตั้งที่ วัดบางไผ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ก่อนดำเนินการประกอบพิธีรดน้ำศพวัน เสาร์ที่ 11 ต.ค. เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป

**นายกฯไม่ไปงานศพ"อภิวันท์"

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงการเสียชีวิตของพ.อ.อภิวันท์ ว่า นำศพกลับมาได้ เพราะเป็นคนไทย จะทำพิธีทางศาสนาก็เชิญ ไม่ได้มีปัญหา หรือข้อขัดข้องอะไร แต่ในเรื่องความผิดกฎหมาย มาตรา 112 ไม่ได้ คนผิดก็คือผิด เข้าใจไหมว่ามันคนละเรื่องกัน และท่านก็ยังคงเป็นทหารอยู่ มียศมีอะไรก็เป็นเรื่องของราชการ ต้องดำเนินการว่าไปตามขั้นตอน อย่าไปตีกันไปมา

เมื่อถามว่าจะไปร่วมพิธีศพของพ.อ.อภิวันท์ ด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงไม่หรอก เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ต่อไปอาจจะมีนักการเมืองเสียชีวิตในต่างประเทศอีก จะทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า แล้วเขาไปทำไมล่ะ ทำไมเขาถึงไป ก็รู้อยู่ว่า เขาหนี

"ผมไม่ได้ไปเอาอะไรกับเขา เขาผิดกฎหมายมาตราอะไร กฎหมายอาญาหรือแพ่ง ก็ต้องขึ้นศาลก็จบแล้ว บางทีตายแล้ว ศาลยังตัดสินไม่ได้ แต่นี่หนีไปก่อน แต่ตายไปแล้วก็ถือว่าจบ จะไปเที่ยวฟ้องใคร อย่าไปแกล้งเขานะ" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

**อย่าใช้พิธีศพก่อความวุ่ยวาย

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณี นายสุนัย จุลพงศธร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความปลุกระดมให้คนออกมารับและร่วมพิธีศพ พ.อ.อภิวันท์ เพื่อแสดงสัญญลักษณ์ต่อต้าน คสช. ว่า หากเป็นการร่วมพิธีศพทางศาสนา เป็นญาติ เพื่อน หรือบุคคลที่เคารพนับถือ ย่อมดำเนินการได้ เราไม่เคยปิดกั้น แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย แต่หากมีเรื่องที่เกี่ยวข้องทางการเมือง ทำให้เกิดความวุ่นวาย หรือไม่ปรองดอง จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแล และส่วนตัวยังพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้ นายสุนัย เข้ามาพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจ

ส่วนการดูแลความมั่นคงภายในประเทศ เราก็ทำทุกมิติอยู่แล้ว อยากขอร้องให้ทุกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหวที่ทำให้ไม่เกิดสันติสุข อย่าพึ่งออกมาเคลื่อนไหวเลย ซึ่งก็ทราบกันดีว่า รัฐบาลกำลังทำงานในหลายๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ร่วมถึงแก้ไขปัญหาเรื่องความต้องการของประชาชน จึงขอว่าอย่าพึ่งออกมาเคลื่อนไหวจนส่งผลกระทบต่อความมั่นคง
กำลังโหลดความคิดเห็น