ASTVผู้จัดการรายวัน - คุม 6 ผู้ต้องหาแดงแก๊ง"ขอนแก่นโมเดล" ขึ้นศาลมทบ. 23 สืบพยานนัดแรก หลังอัยการทหารส่งฟ้อง 9 ข้อหาหนัก โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต "ทนาย"ย้ำให้ลูกความปฏิเสธทุกหา ลั่นจะทำทุกทางให้คดีกลับเข้าสู่ศาลพลเรือน พร้อมขออนุญาตศาลตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง เพราะยังไม่เห็นว่ามีอะไรบ้าง ด้านศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก"สมชาย ไพบูลย์"แนวร่วมนปช. และอดีตส.ข.บางบอน 1 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานปราศรัยปลุกระดมก่อความวุ่นวาย ต่อสู้ตำรวจ-ทหารปี 53
จากกรณีกำลังทหาร มทบ.23 บุกจับกุมผู้ต้องหากว่า 20 คน พร้อมยึดอาวุธปืนและระเบิดหลายรายการ ในห้องพักของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่าเตรียมก่อเหตุร้ายในจ.ขอนแก่น และหลายภาคอีสานตามรหัส"ขอนแก่นโมเดล" ต่อมาสามารถจับกุมได้เพิ่มอีก รวมผู้ต้องหา 26 คน ทั้งหมดถูกฝากขังที่เรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่น และอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 23 ได้ยื่นฟ้องคดีอาญาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมาต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น เป็นคดีหมายเลขดำ ที่ 10 ก./2557
เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้(21 ต.ค.)ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่นำผู้ต้องหา 26 คนมาสืบพยาน พร้อมด้วยนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ท่ามกลางญาติพี่น้องที่วิ่งเข้าสวมกอดให้กำลังใจ หลังถูกฝากขังนานกว่า 5 เดือนเต็ม
นายวิญญัติ กล่าวกับญาติที่มารอฟังความคืบหน้าการสืบพยานว่า ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวชั่วคราวผู้ต้องหา 7 คนด้วยหลักทรัพย์คนละประมาณ 4 แสนบาท แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับอนุญาตทั้งหมดหรือไม่ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นวันนี้ผู้ต้องหาทั้ง 26 คนจะให้การปฏิเสธทุกข้อหา เพื่อให้คดีเป็นแนวทางเดียวกัน และคงจะขออนุญาตศาลนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งหนึ่ง เพราะยังไม่เห็นพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ว่ามีอะไรบ้าง เนื่องจากกระบวนการสอบสวนใช้เวลาสั้นมาก แต่คุมขังระยะยาว
นายวิญญัติ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นพยานหลักฐานและข้อกล่าวหาไม่สอดคล้องกัน ตนพร้อมต่อสู้ทุกกระบวนการ และจะทำให้คดีกลับไปสู่ศาลพลเรือนให้ได้ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เพราะไม่เห็นด้วยและไม่มั่นใจต่อกระบวนการพิจารณาเพียงศาลเดียว ซึ่งไม่ชอบธรรมนัก แม้จะอ้างปฏิบัติตามกฎอัยการศึกก็ตาม
ขณะที่น.ส.วาสนา แงมชัยภูมิ อายุ 27 ปี ชาวต.ศรีสำราญ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ภรรยานายปราโมทย์ เจียมชัยภูมิ กล่าวว่า สามีของตนมีอาชีพทำไร่ทำนา ถูกทหารจับกุมที่ห้องพักอพาร์ตเมนต์ในต.บ้านเป็ด เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมพวกร่วม 20 คน ซึ่งตนเชื่อว่าสามีเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีส่วนรู้เห็นการเตรียมการก่อการร้าย เพราะตนและสามีไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง
"วันเกิดเหตุนายวิเศษ ศรีทุมมา 1 ในผู้ต้องหา ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน มาจ้างให้สามีไปซื้อถังและอุปกรณ์การเกษตรด้วยกัน ค่าจ้างวันละ 500 บาท และวันเดียวกันทหารก็จับกุมสามี ถูกคุมขังนานกว่า 5 เดือน ซึ่งสามีเป็นเสาหลักของครอบครัว โดยเป็นช่างเชื่อม ทำการเกษตร และรับจ้างทั่วไป ได้วันละ 600-700 บาทมาใช้จ่ายในบ้านและเลี้ยงลูก"
น.ส.วาสนา กล่าวว่า ตอนนี้ตนต้องเลี้ยงลูกสาวคนเดียวด้วยความยากลำบาก รับจ้างทั่วไปได้วันละ 100-200 บาท ไม่พอกับค่าใช้จ่าย หากสามีถูกศาลตัดสินประหารชีวิต ก็จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะเชื่อว่าสามีไม่รู้เห็น
สำหรับคดีหมายเลขดำ ที่ 10 ก./2557 ดัมีฐานความผิด 9 ข้อ โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ประกอบด้วย 1.ร่วมกันฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง 2.ร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สินให้ หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้ายหรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือรู้ว่าจะมีผู้ก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้
3.เป็นซ่องโจร 4.มีและร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย 5.มีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
6.พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันควร 7.มีเครื่องกระสุนปืนซึ่งมิใช่สำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ได้รับใบอนุญาต 8.มีเครื่องยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และ 9.มีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
เวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.2543/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย ไพบูลย์ อายุ 45 ปี อดีตส.ข.เขตบางบอน พรรคไทยรักไทย และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นจำเลย ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 , 215 , 216 และร่วมกันชุมนุมฝ่าฝืนพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 5 , 9 , 11 , 18
ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555 ว่าจำเลยกระทำการโดยเจตนาขัดคำ และขัดขวางเจ้าหน้าที่ที่สั่งให้เลิกชุมนุม เพื่อปลุกระดมสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมให้เกิดความฮึกเหิม ใช้กำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เพื่อให้การชุมนุมยังคงอยู่ ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต จึงให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนกันแล้วเห็นว่า อุที่จำเลยอุทธรณ์ให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยนั้นบทลงโทษหนักสุด คือ มาตรา 116 กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 ปีนั้นถือว่าเป็นโทษสถานเบา และเหมาะสมกับพฤติการณ์แล้ว จึงพิพากษายืนตามที่ศาลชั้นต้นให้จำคุก 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษจำเลย
ต่อมา ทนายความได้เตรียมเงินสด 1 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราว และระหว่างที่นายสมชาย ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวมายังใต้ถุนศาลเพื่อรอคำสั่งขอปล่อยชั่วคราว นายสมชายได้ชูสองนิ้ว พร้อมยิ้มให้ผู้ที่มาให้กำลังใจ โดยกล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยถูกคุมขังในเรือนจำมาแล้ว 8 เดือน 14 วัน ดังนั้น หากต้องรับโทษคงนับเวลาคุมขังต่ออีก 3 เดือนเศษก็จะครบ 1 ปี
จากกรณีกำลังทหาร มทบ.23 บุกจับกุมผู้ต้องหากว่า 20 คน พร้อมยึดอาวุธปืนและระเบิดหลายรายการ ในห้องพักของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่าเตรียมก่อเหตุร้ายในจ.ขอนแก่น และหลายภาคอีสานตามรหัส"ขอนแก่นโมเดล" ต่อมาสามารถจับกุมได้เพิ่มอีก รวมผู้ต้องหา 26 คน ทั้งหมดถูกฝากขังที่เรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่น และอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 23 ได้ยื่นฟ้องคดีอาญาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมาต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น เป็นคดีหมายเลขดำ ที่ 10 ก./2557
เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้(21 ต.ค.)ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่นำผู้ต้องหา 26 คนมาสืบพยาน พร้อมด้วยนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ท่ามกลางญาติพี่น้องที่วิ่งเข้าสวมกอดให้กำลังใจ หลังถูกฝากขังนานกว่า 5 เดือนเต็ม
นายวิญญัติ กล่าวกับญาติที่มารอฟังความคืบหน้าการสืบพยานว่า ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวชั่วคราวผู้ต้องหา 7 คนด้วยหลักทรัพย์คนละประมาณ 4 แสนบาท แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับอนุญาตทั้งหมดหรือไม่ อย่างไรก็ตามเบื้องต้นวันนี้ผู้ต้องหาทั้ง 26 คนจะให้การปฏิเสธทุกข้อหา เพื่อให้คดีเป็นแนวทางเดียวกัน และคงจะขออนุญาตศาลนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งหนึ่ง เพราะยังไม่เห็นพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ว่ามีอะไรบ้าง เนื่องจากกระบวนการสอบสวนใช้เวลาสั้นมาก แต่คุมขังระยะยาว
นายวิญญัติ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นพยานหลักฐานและข้อกล่าวหาไม่สอดคล้องกัน ตนพร้อมต่อสู้ทุกกระบวนการ และจะทำให้คดีกลับไปสู่ศาลพลเรือนให้ได้ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เพราะไม่เห็นด้วยและไม่มั่นใจต่อกระบวนการพิจารณาเพียงศาลเดียว ซึ่งไม่ชอบธรรมนัก แม้จะอ้างปฏิบัติตามกฎอัยการศึกก็ตาม
ขณะที่น.ส.วาสนา แงมชัยภูมิ อายุ 27 ปี ชาวต.ศรีสำราญ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ภรรยานายปราโมทย์ เจียมชัยภูมิ กล่าวว่า สามีของตนมีอาชีพทำไร่ทำนา ถูกทหารจับกุมที่ห้องพักอพาร์ตเมนต์ในต.บ้านเป็ด เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมพวกร่วม 20 คน ซึ่งตนเชื่อว่าสามีเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีส่วนรู้เห็นการเตรียมการก่อการร้าย เพราะตนและสามีไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง
"วันเกิดเหตุนายวิเศษ ศรีทุมมา 1 ในผู้ต้องหา ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน มาจ้างให้สามีไปซื้อถังและอุปกรณ์การเกษตรด้วยกัน ค่าจ้างวันละ 500 บาท และวันเดียวกันทหารก็จับกุมสามี ถูกคุมขังนานกว่า 5 เดือน ซึ่งสามีเป็นเสาหลักของครอบครัว โดยเป็นช่างเชื่อม ทำการเกษตร และรับจ้างทั่วไป ได้วันละ 600-700 บาทมาใช้จ่ายในบ้านและเลี้ยงลูก"
น.ส.วาสนา กล่าวว่า ตอนนี้ตนต้องเลี้ยงลูกสาวคนเดียวด้วยความยากลำบาก รับจ้างทั่วไปได้วันละ 100-200 บาท ไม่พอกับค่าใช้จ่าย หากสามีถูกศาลตัดสินประหารชีวิต ก็จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะเชื่อว่าสามีไม่รู้เห็น
สำหรับคดีหมายเลขดำ ที่ 10 ก./2557 ดัมีฐานความผิด 9 ข้อ โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ประกอบด้วย 1.ร่วมกันฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง 2.ร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สินให้ หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้ายหรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือรู้ว่าจะมีผู้ก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้
3.เป็นซ่องโจร 4.มีและร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะแต่การสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย 5.มีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
6.พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันควร 7.มีเครื่องกระสุนปืนซึ่งมิใช่สำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ได้รับใบอนุญาต 8.มีเครื่องยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และ 9.มีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
เวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.2543/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย ไพบูลย์ อายุ 45 ปี อดีตส.ข.เขตบางบอน พรรคไทยรักไทย และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นจำเลย ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 , 215 , 216 และร่วมกันชุมนุมฝ่าฝืนพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 5 , 9 , 11 , 18
ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555 ว่าจำเลยกระทำการโดยเจตนาขัดคำ และขัดขวางเจ้าหน้าที่ที่สั่งให้เลิกชุมนุม เพื่อปลุกระดมสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุมให้เกิดความฮึกเหิม ใช้กำลังต่อสู้กับเจ้าหน้าที่จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เพื่อให้การชุมนุมยังคงอยู่ ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต จึงให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนกันแล้วเห็นว่า อุที่จำเลยอุทธรณ์ให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยนั้นบทลงโทษหนักสุด คือ มาตรา 116 กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 ปีนั้นถือว่าเป็นโทษสถานเบา และเหมาะสมกับพฤติการณ์แล้ว จึงพิพากษายืนตามที่ศาลชั้นต้นให้จำคุก 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษจำเลย
ต่อมา ทนายความได้เตรียมเงินสด 1 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราว และระหว่างที่นายสมชาย ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวมายังใต้ถุนศาลเพื่อรอคำสั่งขอปล่อยชั่วคราว นายสมชายได้ชูสองนิ้ว พร้อมยิ้มให้ผู้ที่มาให้กำลังใจ โดยกล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยถูกคุมขังในเรือนจำมาแล้ว 8 เดือน 14 วัน ดังนั้น หากต้องรับโทษคงนับเวลาคุมขังต่ออีก 3 เดือนเศษก็จะครบ 1 ปี