ศูนย์ข่าวขอนแก่น - 26 ผู้ต้องหาแก๊งขอนแก่นโมเดลขึ้นศาล มทบ.23 นัดพร้อมและสอบคำให้การจำเลยนัดแรกวันนี้ หลังอัยการทหารส่งฟ้อง 9 ข้อหาหนักโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ด้านทนายแดงย้ำลูกความให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะทำทุกทางเพื่อกลับเข้าสู่ศาลพลเรือน ขณะที่ญาติพี่น้องตั้งเต็นท์รอให้กำลังใจ
จากกรณีกำลังทหาร มทบ.23 ได้บุกจับกุมผู้ต้องหากว่า 20 คน พร้อมยึดอาวุธปืน และระเบิดหลากหลายชนิดในห้องพักอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งใน ต.บ้านเป็ด จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 57 (หลัง คสช.ยึดอำนาจ 1 วัน) โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าอาวุธสงครามเหล่านั้นเตรียมก่อการร้ายในพื้นที่ จ.ขอนแก่นและหลายพื้นที่ในภาคอีสาน เรียกตามรหัสว่า “ขอนแก่นโมเดล”
ต่อมาสามารถจับกุมได้เพิ่ม รวมผู้ต้องหาชาย-หญิงทั้งหมด 26 คน โดยผู้ต้องหาทั้งหมดถูกคุมตัวไว้ในค่ายทหาร มทบ.23 จากนั้นได้ถูกนำไปฝากขังที่เรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่น และอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 23 ได้ยื่นฟ้องคดีอาญากลุ่มผู้ต้องหาเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 57 ต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จังหวัดขอนแก่น เป็นคดีหมายเลขดำ ที่ 10 ก./2557
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดวันนี้ (21 ต.ค.) เวลาประมาณ 09.00 น. ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จ.ขอนแก่น ผู้ต้องหา 26 คนได้เดินทางถึงศาลทหารเพื่อสืบพยาน พร้อมด้วยนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ท่ามกลางกลุ่มญาติพี่น้องที่วิ่งเข้าสวมกอดให้กำลังใจ หลังผู้ต้องหาถูกฝากขังนานกว่า 5 เดือนเต็ม โดยออกมาตั้งเต็นท์เครื่องดื่ม อาหารร่วมกันกว่า 100 คน
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ได้กล่าวต่อญาติที่มารอฟังความคืบหน้าของการสืบพยานว่า ได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวชั่วคราวผู้ต้องหาจำนวน 7 คนด้วยหลักทรัพย์คนละประมาณ 4 แสนบาท แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับอนุญาตให้ประกันตัวทั้งหมดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นในวันนี้ผู้ต้องหาทั้ง 26 คนจะให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาเพื่อให้คดีเป็นแนวทางเดียวกัน และกระบวนการหลังจากนี้จะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง แต่คงจะมีการขออนุญาตศาลนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้งหนึ่ง โดยอ้างว่ายังไม่เห็นพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ว่าสิ่งที่กล่าวหาประกอบด้วยพยานหลักฐานอะไรบ้าง มีอะไรที่จะเอามายืนยันบ้าง และกระบวนการในการสอบสวนเป็นเวลาที่สั้นมากและระยะเวลาที่ยาวคือการคุมขังเท่านั้นเอง
ทั้งนี้ นายวิญญัติมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นพยานหลักฐานและข้อกล่าวหาไม่สอดคล้องกัน ทั้งนี้พร้อมต่อสู้ทุกกระบวนการและจะทำให้คดีดังกล่าวกลับไปสู่ศาลพลเรือนให้ได้ ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งที่เราจะทำต่อจากนี้ไป เพราะเราไม่เห็นด้วยและเกิดความไม่มั่นใจต่อกระบวนการที่มีการพิจารณาเพียงศาลเดียว ซึ่งเกิดความไม่ชอบธรรมนัก ถึงแม้ว่าจะอ้างปฏิบัติตามกฎอัยการศึกก็ตาม
ขณะที่นางสาววาสนา แงมชัยภูมิ อายุ 27 ปี ชาว ต.ศรีสำราญ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ภรรยาของ 1 ใน 26 ผู้ต้องหา เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า นายปราโมทย์ เจียมชัยภูมิ (สามี) ของตนมีอาชีพทำไร่ทำนา ถูกทหารจับกุมได้ที่ห้องพักอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งใน ต.บ้านเป็ด จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 57 ที่ผ่านมาพร้อมกับพรรคพวกร่วม 20 คน ตนเชื่อว่าสามีเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการเตรียมการก่อการร้ายตามที่ปรากฏเป็นข่าว ซึ่งตนและสามีไม่เคยมีส่วนข้องเกี่ยวเรื่องมีการชุมนุมทางการเมืองแต่อย่างใด
นางสาววาสนาเล่าต่อว่า ในวันที่เกิดเหตุ นายวิเศษ ศรีทุมมา (1 ใน 26 ผู้ต้องหา) ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันมาชักชวนสามีตน โดยว่าจ้างให้สามีไปซื้อถังและอุปกรณ์การเกษตรด้วยกัน พร้อมค่าจ้างวันละ 500 บาท และในวันเดียวกันนั้นทหารก็จับกุมสามี และถูกคุมขังนานกว่า 5 เดือน สามีจะเป็นเสาหลักของครอบครัวโดยเป็นช่างเชื่อม ทำการเกษตร และรับจ้างทั่วไปอื่นๆ หาเงินมาจุนเจือค่าใช้จ่ายภายในบ้านและเลี้ยงลูก ได้วันละ 600-700 บาท
“ตอนนี้ฉันต้องแบกรับภาระเลี้ยงลูกสาวคนเดียวอย่างยากลำบาก ออกรับจ้างทั่วไปได้เพียงวันละ 100-200 บาทเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย หากสามีถูกศาลตัดสินโทษประหารชีวิต ฉันจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะเชื่อว่าสามีไม่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว” นางสาววาสนากล่าว
สำหรับคดีหมายเลขดำ ที่ 10 ก./2557 ดังกล่าวมีฐานความผิด 9 ข้อกล่าวหาโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตประกอบด้วย
1. ร่วมกันฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง 2. ร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สินให้หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้ายหรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือรู้ว่าจะมีผู้ก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้
3. เป็นซ่องโจร 4. มีและร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะแต่การสงครามที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย
5. มีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 6. พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันควร 7. มีเครื่องกระสุนปืนซึ่งมิใช่สำหรับใช้กับอาวุธปืนที่ได้รับใบอนุญาต
8. มีเครื่องยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และ 9. มีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต