ผมคิดว่าถึงตอนนี้หลายคนที่ “มโน” ไปว่า คสช.และรัฐบาลทหารของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะจัดการกับระบอบทักษิณนั้น คงจะพบความจริงหลังหายจากความ “งุนงง” แล้วว่า คสช.และรัฐบาลทหารไม่ได้มีเป้าหมายอย่างนั้นเลย
สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้จากแนวทางที่ผ่านมาของ คสช.นับตั้งแต่เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมเป็นต้นมา 3 เดือนภายใต้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จและ 1 เดือนภายใต้รัฐบาลทหาร
พูดก็พูดถึงที่สุด ถ้าจะว่าไปแล้วดูเหมือนว่า คสช.และรัฐบาลจะวางตัวเป็นกลางเหนือจากความขัดแย้งในสงครามสีเสื้อของประชาชน เหมือนที่เขาประกาศในคำปรารภของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 นั่นแหละว่า ได้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนลุกลามไปสู่แทบทุกภูมิภาคของประเทศ ประชาชนแตกแยกเป็นฝ่ายต่างๆ ขาดความสามัคคี และมีทัศนคติไม่เป็นมิตรต่อกัน บางครั้งเกิดความรุนแรง ใช้กําลังและอาวุธสงครามเข้าทําร้ายประหัตประหารกัน
พูดง่ายๆ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์เขาเป็นกลางของสงครามสีเสื้อที่อุบัติมานับสิบปีครับ จึงมีการสั่งการให้คุมเข้มทีวีสีเสื้อทุกค่ายห้ามพาดพิงกล่าวหากันไปอันเป็นสาเหตุของความขัดแย้งในอดีต ราวกับว่าแนวทางนี้จะสามารถระงับความขัดแย้งของคนในชาติให้หมดไป ดังนั้นนอกจากสื่อจะแตะต้อง คสช.ไม่ได้แล้วยังแต่ต้องรัฐบาลเก่าทั้งทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และอภิสิทธิ์ไม่ได้ด้วย
ห้ามพูดกล่าวหากัน ห้ามพูดถึงเรื่องราวในอดีต ห้ามพาดพิงบุคคลที่ 3
คำถามว่า ความขัดแย้งของชนในชาติและสงครามสีเสื้อนี้จะถูกกดทับไว้ใต้ท็อปบูตของทหารในห้วง 1 ปีของรัฐบาลทหารหรือว่ารัฐบาลทหารจะใช้เวลา 1 ปีนี้ ลบรอยความขัดแย้งของชนในชาติให้หมดไปจากแผ่นดินไทย
ถ้าไปถามพล.อ.ประยุทธ์ว่าจะทำอย่างไร เราคงจะได้ยินวลีซ้ำซากจากท่าน “อย่าเพิ่งมาถามผม” “ผมจะทำแบบนี้เพื่ออะไร” “อย่ามาตีผมตรงนี้” “ผมทำแบบนี้แล้วได้อะไร” และจะสำทับด้วยคำถามด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ว่า “ตอบมาซิ” ราวกับผู้บังคับบัญชาถามพลทหารลูกแถว
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า รัฐบาลทหารภายใต้การกำกับของ คสช.ที่มีอำนาจครอบคลุมทุกฝ่ายทั้งบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จะถอดรับบทเรียนจากความขัดแย้งตลอด 10 ปีได้ขนาดไหน และการร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น จะอุดช่องว่างของรัฐธรรมนูญในอดีตที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตความขัดแย้งได้แค่ไหน
เราต้องยอมรับนะครับว่า แม้จะมีเสียงพูดว่า รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการเรียกร้องของประชาชนจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด และมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเมืองที่เข้มแข็ง (Strong Government) แต่เราต้องยอมรับนะครับว่า การเมืองที่เข้มแข็งนี่เองที่ทำให้เกิด Strong Prime Minister ขึ้นมา และพัฒนาเป็นระบอบทักษิณในที่สุด จนกระทั่งประชาชนส่วนหนึ่งต้องลุกขึ้นมาต่อต้านจนกลายเป็นสงครามฝักฝ่ายมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านการรัฐประหารมาถึง 2 ครั้ง
ทักษิณฉกฉวยเอารัฐธรรมนูญที่ต้องการให้การเมืองเข้มแข็งมาเป็นเครื่องมือโดยใช้อำนาจเงินเป็นตัวนำทางในการสร้างพรรค กวาดซื้อพรรคการเมืองควบรวมพรรค กวาดซื้อตัว ส.ส.จนกลายเป็นผู้ผูกขาดในตลาดพรรคการเมืองและตลาดนักการเมืองหลังการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจ กระทั่งใช้อำนาจเงินและระบบอุปถัมภ์เข้าไปยึดครองเสียงข้างมากของวุฒิสภาและองค์กรอิสระ
เราจึงเห็นทักษิณบริหารพรรคและบริหารรัฐบาลเหมือนกับบริษัทธุรกิจที่ตัวเองเป็นเจ้าของกิจการในการปลดเข้าเปลี่ยนออกรัฐมนตรีเป็นว่าเล่น จะจับวางสลับตำแหน่งหรือถอดใครออกก็ไม่มีเสียงคัดค้านต่อรอง เพราะกลัวว่า จะไม่ได้เลือกเข้ามาสมัครรับเลือกตั้งอีกในคราวต่อไป ไม่เพียงแต่ตำแหน่งรัฐมนตรีและส.ส.เท่านั้น ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ Strong Prime Minister แต่ข้าราชการก็ถูกโยกย้ายสลับตำแหน่งกันเป็นว่าเล่น ทั้งย้ายสลับในกระทรวงและข้ามกระทรวงจนละเลยความเหมาะสมและระบบคุณธรรมไป
จนกระทั่งทักษิณที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยพัฒนาไปเป็นระบอบเผด็จการการเมืองโดยทุนซึ่งเรียกกันว่า ระบอบทักษิณนั่นเอง อำนาจที่ล้นฟ้าทำให้ทักษิณเหิมเกริมมาก จนเราได้ยินทักษิณพูดว่า “ให้มากระซิบข้างหู” หรือ “ถ้าตัวเองไม่จงรักภักดีผีที่ไหนจะมาจงรักภักดี”
แต่ทักษิณและนักวิชาการลิ่วล้อของทักษิณก็อ้างว่า ตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้ง ผมขำมากในวาระเดือนตุลาปีนี้ เมื่อมีการพูดถึงเผด็จการยุค 6 ตุลา พวกคนเดือนตุลาที่เคยหนีตายในเหตุการณ์ครั้งนั้นแต่หันมารับเงินเดือนจากเครือข่ายทักษิณในวันนี้ ชมสมัคร สุนทรเวช ว่าถึงเป็นฝ่ายเผด็จการมาก่อน แต่ก็มาตายตอนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
เพราะพวกนี้เข้าใจว่า ประชาธิปไตยมีความหมายว่ามาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว
ที่สำคัญปัญญาชนในยุคเดือนตุลาหลายคนซึ่งหันไปสนับสนุนทักษิณแยกแยะไม่ได้ว่า นอกจากทักษิณไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นเผด็จการในรูปแบบใหม่ที่ใช้เงินแทนกระบอกปืนเข้ามายึดอำนาจทางการเมือง พวกเขายังโจมตีฝ่ายประชาชนที่มองเห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณแล้วออกมาขับไล่ว่า เป็นฝ่ายนิยมเผด็จการทั้งๆ ที่เนื้อหาของระบอบประชาธิปไตยนั้นบอกไว้ตั้งแต่ยุคกรีกโบราณว่า การขับไล่รัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมนั้นคือความชอบธรรม
เหตุผลที่นอกเหนือจากไม่สามารถแยกแยะระหว่างประชาธิปไตยที่มีความหมายว่าประชาชนเป็นใหญ่กับเผด็จการโดยทุนที่เอาเงินเข้ามาซื้ออำนาจแล้ว พวกปัญญาชนคนเดือนตุลาที่เข้าไปสวามิภักดิ์ต่อทักษิณก็เพราะได้รับการตอบแทนด้วยเงินและตำแหน่งทางการเมืองนั่นเอง
แต่คนเดือนตุลาในยุคที่เคยร่วมขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารบางคนที่เขาไม่เข้าร่วมกับระบอบทักษิณ แต่ออกมาต่อต้านเพราะเขามองเห็นว่าเนื้อแท้ของทักษิณกับเผด็จการทหารนั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลยต่างกันเพียงแต่ที่มาเท่านั้น
ถามว่าในภาวะที่รัฐบาลทหารกดให้ทุกฝ่ายสงบปากสงบคำอยู่นี้ มันทำให้ความขัดแย้งตลอด 10 กว่าปีมานี้หายไปหรือไม่ คำตอบคือไม่มีทางครับถ้าระบอบทักษิณอันเป็นเนื้อร้ายของระบอบประชาธิปไตยังคงดำรงอยู่ เมื่อถึงเวลาถ้าระบอบทักษิณกลับมาความขัดแย้งก็จะกลับมา ผมเขียนอย่างนี้มาหลายครั้ง ก็ยังคงยืนยันอย่างนี้ต่อไป
มีคนบอกว่า นายวิษณุ เครืองามออกมาพูดแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะร่างนี้ จะสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็ง ผมอยากถามว่าเข้มแข็งแบบไหน เข้มแข็งแบบที่กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐไม่สามารถตรวจสอบได้แบบที่เรียกว่าระบอบทักษิณหรือไม่
จริงอยู่ครับถ้าพูดว่า เราจะฝากการสร้างระบอบประชาธิปไตยไว้ภายใต้อำนาจของ คสช.และรัฐบาลทหารก็ดูจะเป็นเรื่องตลก ผมจึงเพียงแต่อยากให้รัฐบาลทหารได้สรุปบทเรียนของการสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็งจนเกิดต้นแบบ Strong Prime Minister แบบรัฐธรรมนูญปี 2540 มาแล้ว เพื่อให้ได้รัฐบาลที่ทำประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
เราต้องการระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเข้มแข็งไม่ใช่รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีเข้มแข็ง
สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้จากแนวทางที่ผ่านมาของ คสช.นับตั้งแต่เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมเป็นต้นมา 3 เดือนภายใต้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จและ 1 เดือนภายใต้รัฐบาลทหาร
พูดก็พูดถึงที่สุด ถ้าจะว่าไปแล้วดูเหมือนว่า คสช.และรัฐบาลจะวางตัวเป็นกลางเหนือจากความขัดแย้งในสงครามสีเสื้อของประชาชน เหมือนที่เขาประกาศในคำปรารภของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 นั่นแหละว่า ได้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จนลุกลามไปสู่แทบทุกภูมิภาคของประเทศ ประชาชนแตกแยกเป็นฝ่ายต่างๆ ขาดความสามัคคี และมีทัศนคติไม่เป็นมิตรต่อกัน บางครั้งเกิดความรุนแรง ใช้กําลังและอาวุธสงครามเข้าทําร้ายประหัตประหารกัน
พูดง่ายๆ ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์เขาเป็นกลางของสงครามสีเสื้อที่อุบัติมานับสิบปีครับ จึงมีการสั่งการให้คุมเข้มทีวีสีเสื้อทุกค่ายห้ามพาดพิงกล่าวหากันไปอันเป็นสาเหตุของความขัดแย้งในอดีต ราวกับว่าแนวทางนี้จะสามารถระงับความขัดแย้งของคนในชาติให้หมดไป ดังนั้นนอกจากสื่อจะแตะต้อง คสช.ไม่ได้แล้วยังแต่ต้องรัฐบาลเก่าทั้งทักษิณ ยิ่งลักษณ์ และอภิสิทธิ์ไม่ได้ด้วย
ห้ามพูดกล่าวหากัน ห้ามพูดถึงเรื่องราวในอดีต ห้ามพาดพิงบุคคลที่ 3
คำถามว่า ความขัดแย้งของชนในชาติและสงครามสีเสื้อนี้จะถูกกดทับไว้ใต้ท็อปบูตของทหารในห้วง 1 ปีของรัฐบาลทหารหรือว่ารัฐบาลทหารจะใช้เวลา 1 ปีนี้ ลบรอยความขัดแย้งของชนในชาติให้หมดไปจากแผ่นดินไทย
ถ้าไปถามพล.อ.ประยุทธ์ว่าจะทำอย่างไร เราคงจะได้ยินวลีซ้ำซากจากท่าน “อย่าเพิ่งมาถามผม” “ผมจะทำแบบนี้เพื่ออะไร” “อย่ามาตีผมตรงนี้” “ผมทำแบบนี้แล้วได้อะไร” และจะสำทับด้วยคำถามด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ว่า “ตอบมาซิ” ราวกับผู้บังคับบัญชาถามพลทหารลูกแถว
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า รัฐบาลทหารภายใต้การกำกับของ คสช.ที่มีอำนาจครอบคลุมทุกฝ่ายทั้งบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จะถอดรับบทเรียนจากความขัดแย้งตลอด 10 ปีได้ขนาดไหน และการร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น จะอุดช่องว่างของรัฐธรรมนูญในอดีตที่เป็นต้นเหตุของวิกฤตความขัดแย้งได้แค่ไหน
เราต้องยอมรับนะครับว่า แม้จะมีเสียงพูดว่า รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการเรียกร้องของประชาชนจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด และมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเมืองที่เข้มแข็ง (Strong Government) แต่เราต้องยอมรับนะครับว่า การเมืองที่เข้มแข็งนี่เองที่ทำให้เกิด Strong Prime Minister ขึ้นมา และพัฒนาเป็นระบอบทักษิณในที่สุด จนกระทั่งประชาชนส่วนหนึ่งต้องลุกขึ้นมาต่อต้านจนกลายเป็นสงครามฝักฝ่ายมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านการรัฐประหารมาถึง 2 ครั้ง
ทักษิณฉกฉวยเอารัฐธรรมนูญที่ต้องการให้การเมืองเข้มแข็งมาเป็นเครื่องมือโดยใช้อำนาจเงินเป็นตัวนำทางในการสร้างพรรค กวาดซื้อพรรคการเมืองควบรวมพรรค กวาดซื้อตัว ส.ส.จนกลายเป็นผู้ผูกขาดในตลาดพรรคการเมืองและตลาดนักการเมืองหลังการเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจ กระทั่งใช้อำนาจเงินและระบบอุปถัมภ์เข้าไปยึดครองเสียงข้างมากของวุฒิสภาและองค์กรอิสระ
เราจึงเห็นทักษิณบริหารพรรคและบริหารรัฐบาลเหมือนกับบริษัทธุรกิจที่ตัวเองเป็นเจ้าของกิจการในการปลดเข้าเปลี่ยนออกรัฐมนตรีเป็นว่าเล่น จะจับวางสลับตำแหน่งหรือถอดใครออกก็ไม่มีเสียงคัดค้านต่อรอง เพราะกลัวว่า จะไม่ได้เลือกเข้ามาสมัครรับเลือกตั้งอีกในคราวต่อไป ไม่เพียงแต่ตำแหน่งรัฐมนตรีและส.ส.เท่านั้น ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ Strong Prime Minister แต่ข้าราชการก็ถูกโยกย้ายสลับตำแหน่งกันเป็นว่าเล่น ทั้งย้ายสลับในกระทรวงและข้ามกระทรวงจนละเลยความเหมาะสมและระบบคุณธรรมไป
จนกระทั่งทักษิณที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยพัฒนาไปเป็นระบอบเผด็จการการเมืองโดยทุนซึ่งเรียกกันว่า ระบอบทักษิณนั่นเอง อำนาจที่ล้นฟ้าทำให้ทักษิณเหิมเกริมมาก จนเราได้ยินทักษิณพูดว่า “ให้มากระซิบข้างหู” หรือ “ถ้าตัวเองไม่จงรักภักดีผีที่ไหนจะมาจงรักภักดี”
แต่ทักษิณและนักวิชาการลิ่วล้อของทักษิณก็อ้างว่า ตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้ง ผมขำมากในวาระเดือนตุลาปีนี้ เมื่อมีการพูดถึงเผด็จการยุค 6 ตุลา พวกคนเดือนตุลาที่เคยหนีตายในเหตุการณ์ครั้งนั้นแต่หันมารับเงินเดือนจากเครือข่ายทักษิณในวันนี้ ชมสมัคร สุนทรเวช ว่าถึงเป็นฝ่ายเผด็จการมาก่อน แต่ก็มาตายตอนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
เพราะพวกนี้เข้าใจว่า ประชาธิปไตยมีความหมายว่ามาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว
ที่สำคัญปัญญาชนในยุคเดือนตุลาหลายคนซึ่งหันไปสนับสนุนทักษิณแยกแยะไม่ได้ว่า นอกจากทักษิณไม่ใช่ฝ่ายประชาธิปไตยแล้ว ยังเป็นเผด็จการในรูปแบบใหม่ที่ใช้เงินแทนกระบอกปืนเข้ามายึดอำนาจทางการเมือง พวกเขายังโจมตีฝ่ายประชาชนที่มองเห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณแล้วออกมาขับไล่ว่า เป็นฝ่ายนิยมเผด็จการทั้งๆ ที่เนื้อหาของระบอบประชาธิปไตยนั้นบอกไว้ตั้งแต่ยุคกรีกโบราณว่า การขับไล่รัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมนั้นคือความชอบธรรม
เหตุผลที่นอกเหนือจากไม่สามารถแยกแยะระหว่างประชาธิปไตยที่มีความหมายว่าประชาชนเป็นใหญ่กับเผด็จการโดยทุนที่เอาเงินเข้ามาซื้ออำนาจแล้ว พวกปัญญาชนคนเดือนตุลาที่เข้าไปสวามิภักดิ์ต่อทักษิณก็เพราะได้รับการตอบแทนด้วยเงินและตำแหน่งทางการเมืองนั่นเอง
แต่คนเดือนตุลาในยุคที่เคยร่วมขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารบางคนที่เขาไม่เข้าร่วมกับระบอบทักษิณ แต่ออกมาต่อต้านเพราะเขามองเห็นว่าเนื้อแท้ของทักษิณกับเผด็จการทหารนั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลยต่างกันเพียงแต่ที่มาเท่านั้น
ถามว่าในภาวะที่รัฐบาลทหารกดให้ทุกฝ่ายสงบปากสงบคำอยู่นี้ มันทำให้ความขัดแย้งตลอด 10 กว่าปีมานี้หายไปหรือไม่ คำตอบคือไม่มีทางครับถ้าระบอบทักษิณอันเป็นเนื้อร้ายของระบอบประชาธิปไตยังคงดำรงอยู่ เมื่อถึงเวลาถ้าระบอบทักษิณกลับมาความขัดแย้งก็จะกลับมา ผมเขียนอย่างนี้มาหลายครั้ง ก็ยังคงยืนยันอย่างนี้ต่อไป
มีคนบอกว่า นายวิษณุ เครืองามออกมาพูดแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะร่างนี้ จะสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็ง ผมอยากถามว่าเข้มแข็งแบบไหน เข้มแข็งแบบที่กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐไม่สามารถตรวจสอบได้แบบที่เรียกว่าระบอบทักษิณหรือไม่
จริงอยู่ครับถ้าพูดว่า เราจะฝากการสร้างระบอบประชาธิปไตยไว้ภายใต้อำนาจของ คสช.และรัฐบาลทหารก็ดูจะเป็นเรื่องตลก ผมจึงเพียงแต่อยากให้รัฐบาลทหารได้สรุปบทเรียนของการสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็งจนเกิดต้นแบบ Strong Prime Minister แบบรัฐธรรมนูญปี 2540 มาแล้ว เพื่อให้ได้รัฐบาลที่ทำประโยชน์ให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
เราต้องการระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเข้มแข็งไม่ใช่รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีเข้มแข็ง