“ผมขอถามหน่อยว่าวันนี้ผมทำอะไรให้ประเทศชาติเสียหายตรงไหนบ้าง ตอบมา” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ถามผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล
คำตอบของผู้สื่อข่าวคือ “ยังไม่มี”
นี่อาจเป็นคำพูดของผู้สื่อข่าวเพียงคนเดียวนะครับ ผมไม่เหมารวมว่าผู้สื่อข่าวส่วนใหญ่เชื่อในคำตอบเดียวกันนี้ เพียงแต่ท่านไม่เปิดโอกาสให้พูดมากกว่านี้เพราะชิงเดินจากไปเสียก่อน แต่ถ้าท่านผู้นำยังอยู่ผมก็ไม่มั่นใจนะครับว่า ผู้สื่อข่าวกล้าที่จะพูดอะไรมากกว่านี้หรือไม่
ผมคิดว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ผู้ถามคิดไว้แล้วว่าต้องการคำตอบแบบไหน และผู้ตอบก็รู้ว่า ผู้ถามต้องการคำตอบแบบไหน
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในรายการคืนความสุข พล.อ.ประยุทธ์ยังส่งเสียงเตือนสื่อมวลชนว่า
“เรื่องการใช้สื่อต่างๆ เรื่องนี้สำคัญนะครับ เพราะสื่อมวลชนบางฉบับก็ยังมีการปรับปรุงน้อย ยังคงมีการเขียนให้ร้ายในบางคอลัมน์อยากให้กลับไปดูที่ผ่านมาว่า อะไรที่จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วารสาร โทรทัศน์ ดาวเทียมเคเบิล โซเชียลมีเดีย วิทยุชุมชนบางช่องบางคนบางท่านก็อ้าง เพื่อความรักชาติ หรือเพื่อความเป็นธรรม เพื่อประชาธิปไตย หรืออะไรก็ตาม หากมันมีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีก มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ปฏิรูปไม่ได้ ท่านก็ต้องร่วมกับเรารับผิดชอบด้วย เพราะว่าหากเป็นสาเหตุในความขัดแย้งในการสร้างข้อมูลเท็จต้องขอร้องกันนะครับ กรุณาอย่าให้เราต้องบังคับใช้กฎหมายกันมากนักเลย มันจะมีความเดือดร้อนไปทั้งพนักงานของสำนักพิมพ์ สถานีวิทยุ โทรทัศน์ต่างๆ ที่ผ่านมาก็เดือดร้อนกันไปหมด กรณีที่ท่านทำผิดกติกาที่ตกลงกันไว้กับหน่วยงานที่ควบคุมอยู่ในปัจจุบัน”
เมื่อไม่นานมานี้ กสทช.ยังได้เรียกสถานีโทรทัศน์ 4 สถานีไปตักเตือนการทำงานโดยห้ามพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ห้ามพาดพิงไปถึงบุคคลที่สาม และห้ามแสดงอัตลักษณ์ทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ความต้องการตอนนี้ของ คสช.ก็คือ ให้ทุกฝ่ายสงบปากสงบคำห้ามมีความคิดเห็นทางการเมือง โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อให้เกิดความปรองดองของคนในชาติ โดยไม่แยกแยะว่าอันไหนคือความจริงอันไหนคือความเท็จ เพราะแม้แต่ความเป็นจริงก็ห้ามพูด ไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ให้ข้อมูลต่อประชาชนแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นข้อเท็จจริง
ผลก็คือฝ่ายทักษิณพากันสงบปากสงบคำ หรือทำเป็น “แกล้งตาย” ทักษิณสั่งลิ่วล้อว่า อย่าไปขัดขวาง คสช.ปล่อยให้เขาทำงานไปก่อน ให้รอคอยวันเลือกตั้งมาถึง เพราะทักษิณมั่นใจนั่นเองว่า เลือกตั้งใหม่เขาก็ชนะอีก
ดังนั้นไม่แปลกหรอกครับประชาชนที่รู้ทันทักษิณไม่ใช่ประชาชนที่ยัง “งุนงง” ต่อสิ่งที่ คสช.หยิบยื่นให้จะเริ่มส่งเสียงโวยวายโหวกเหวกเพราะเริ่มเห็นแล้วว่า การปฏิวัติครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อกวาดล้างระบอบทักษิณ เป็นเพียงการออกมาขัดตาทัพชั่วคราว ซ้ำร้ายยังปิดปากสื่อมวลชนและคนที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณไม่ให้พูดถึงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณเสียอีก
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณมีบทเรียนมาแล้วจากการปฏิวัติที่ “เสียของ” ของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งในเวลาต่อมาก็พิสูจน์แล้วว่า พล.อ.สนธิหรือบิ๊กบังนั้นแท้จริงแล้วเป็นพวกเดียวกับทักษิณ ถ้าบิ๊กบังไม่ออกมาปฏิวัติทักษิณก็คงถูกประชาชนโค่นล้มไปนานแล้ว ทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณหยิบฉวยโอกาสนี้ไปอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งๆที่ทักษิณชนะการเลือกตั้งมาด้วยการซื้อ ส.ส. ซื้อพรรคการเมืองแล้วใช้อำนาจแบบระบอบเผด็จการโดยพรรคนายทุนในการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
ดังนั้นจึงไม่อยากเห็นการปฏิวัติครั้งนี้ “เสียของ” อีก
การปิดหูปิดตาปิดปากคุมเข้มสื่อ เชื่อได้อย่างไรว่า จะทำให้ความขัดแย้งในชาติไม่หวนคืนมาอีก ก็เห็นแต่ฝ่ายของทักษิณเท่านั้นที่ขานรับกับแนวทางนี้เพราะเห็นว่าฝ่ายตัวเองได้ประโยชน์และจะเป็นฝ่ายชนะอีกเมื่อการเลือกตั้งมาถึง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ถึงพิษร้ายของระบอบทักษิณที่กัดกินบ้านเมือง ซ้ำร้ายยังเชื่อแบบผิดๆ ว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายอำมาตย์ที่พวกทักษิณเคยเป่าหูคนส่วนใหญ่ของประเทศเอาไว้
ซุกขยะไว้ใต้พรมแล้ว ก็เห็นความสะอาดเพียงชั่วครู่ชั่วคราว แต่ไม่ช้าขยะใต้พรมก็จะส่งกลิ่นของมันออกมา
การปิดกั้นสื่อสามารถทำให้เกิดความปรองดองในชาติขึ้นจริงๆ หรือ อย่าลืมว่าวันนี้ไม่ได้มีเพียงสื่อกระแสหลักเพียงอย่างเดียวที่มีอิทธิพลต่อประชาชน แต่ประชาชนส่วนใหญ่เขามีปากเสียงของตัวเองที่เรียกว่าโซเชียลมีเดียกันทั้งนั้น สงครามแบ่งฝักฝ่ายตามความเชื่อของตัวเองก็ยังปะทะกันอยู่ทุกวันในโลกโซเชียลมีเดีย แน่นอนอาจจะมีมวลชนที่สนับสนุนทหารอยู่ในโลกโซเชียลมีเดียด้วย แต่นั่นเพราะเขาเชื่อว่า ทหารจะออกมาสนับสนุนแนวความคิดของเขา
พูดตรงๆ ก็คือ ฝ่ายสนับสนุนทหารนั้นเชื่อว่า ทหารจะออกมาจัดการกับระบอบทักษิณนั่นเอง
แต่ถ้าถึงเวลาเลือกตั้ง แล้วฝ่ายทักษิณกลับมาชนะเลือกตั้งอีก สงครามที่ปะทุอยู่ในโซเชียลมีเดียก็จะปะทุออกมาสู่สังคมอีกรอบอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วความขัดแย้งในบ้านเมืองก็จะกลับมาอีก
ฝั่งที่สนับสนุนทักษิณอาจบอกว่า เราต้องยอมรับในกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งหนึ่งคนหนึ่งเสียงเพราะนี่คือความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ แต่ถามว่าจะเท่าเทียมกันได้อย่างไรถ้าหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงนั้นมีความรู้ที่ไม่เท่าเทียมกัน
ดังนั้นแม้จะมีคนพยายามบอกว่าเราต้องใจเย็นๆ ปล่อยให้รัฐบาลทำงานเสียก่อน ปล่อยให้สภาปฏิรูปที่รัฐบาลตั้งขึ้นเสนอทางออกในการปฏิรูปออกมาเสียก่อน แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ไม่ว่าจะเสนอแนวทางปฏิรูปออกมาอย่างไร ถ้าเราไม่ทำให้ประชาชนมีความรู้ที่เท่าเทียมกัน มีการตัดสินใจด้วยข้อมูลความรู้ที่เท่าเทียมกัน จะบอกว่านั่นคือหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงที่เท่าเทียมกันตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร
ผมคิดว่า ถึงวันนี้หากผู้มีอำนาจยังมีธงในใจว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นปัญหาของบ้านเมืองโดยไม่มองความจริง ไม่แยกแยะความผิดถูก ไม่ให้ความรู้ประชาชน มองไม่ออกว่าความไม่รู้ของประชาชนมันเอื้อต่อนักการเมืองที่ฉ้อฉล ไม่ว่าโครงสร้างการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถึงเวลาเมื่อรัฐบาลทหารจากไปแล้ว ก็ผลักภาระไปที่การเลือกตั้ง โดยที่เราไม่ทำให้หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงของประชาชนมีความเท่าเทียมกันด้วยข้อมูลและความรู้ ถึงเวลานั้นกลุ่มทุนเผด็จการทางการเมืองก็จะกลับมาแล้วปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองก็ไม่มีวันจะหมดไปจากสังคมไทย
“ผมทำอะไรให้ประเทศชาติเสียหายตรงไหนบ้าง” ความเสียหายของบ้านเมืองอาจจะไม่เกิดในวันนี้ เหมือนเรามองไม่เห็นขยะใต้พรมในเวลานี้เลย แต่ความเสียหายเกิดขึ้นในวันหน้าแน่ๆ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ
คำตอบของผู้สื่อข่าวคือ “ยังไม่มี”
นี่อาจเป็นคำพูดของผู้สื่อข่าวเพียงคนเดียวนะครับ ผมไม่เหมารวมว่าผู้สื่อข่าวส่วนใหญ่เชื่อในคำตอบเดียวกันนี้ เพียงแต่ท่านไม่เปิดโอกาสให้พูดมากกว่านี้เพราะชิงเดินจากไปเสียก่อน แต่ถ้าท่านผู้นำยังอยู่ผมก็ไม่มั่นใจนะครับว่า ผู้สื่อข่าวกล้าที่จะพูดอะไรมากกว่านี้หรือไม่
ผมคิดว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ผู้ถามคิดไว้แล้วว่าต้องการคำตอบแบบไหน และผู้ตอบก็รู้ว่า ผู้ถามต้องการคำตอบแบบไหน
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในรายการคืนความสุข พล.อ.ประยุทธ์ยังส่งเสียงเตือนสื่อมวลชนว่า
“เรื่องการใช้สื่อต่างๆ เรื่องนี้สำคัญนะครับ เพราะสื่อมวลชนบางฉบับก็ยังมีการปรับปรุงน้อย ยังคงมีการเขียนให้ร้ายในบางคอลัมน์อยากให้กลับไปดูที่ผ่านมาว่า อะไรที่จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วารสาร โทรทัศน์ ดาวเทียมเคเบิล โซเชียลมีเดีย วิทยุชุมชนบางช่องบางคนบางท่านก็อ้าง เพื่อความรักชาติ หรือเพื่อความเป็นธรรม เพื่อประชาธิปไตย หรืออะไรก็ตาม หากมันมีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีก มีความขัดแย้งเกิดขึ้น ปฏิรูปไม่ได้ ท่านก็ต้องร่วมกับเรารับผิดชอบด้วย เพราะว่าหากเป็นสาเหตุในความขัดแย้งในการสร้างข้อมูลเท็จต้องขอร้องกันนะครับ กรุณาอย่าให้เราต้องบังคับใช้กฎหมายกันมากนักเลย มันจะมีความเดือดร้อนไปทั้งพนักงานของสำนักพิมพ์ สถานีวิทยุ โทรทัศน์ต่างๆ ที่ผ่านมาก็เดือดร้อนกันไปหมด กรณีที่ท่านทำผิดกติกาที่ตกลงกันไว้กับหน่วยงานที่ควบคุมอยู่ในปัจจุบัน”
เมื่อไม่นานมานี้ กสทช.ยังได้เรียกสถานีโทรทัศน์ 4 สถานีไปตักเตือนการทำงานโดยห้ามพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต ห้ามพาดพิงไปถึงบุคคลที่สาม และห้ามแสดงอัตลักษณ์ทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ความต้องการตอนนี้ของ คสช.ก็คือ ให้ทุกฝ่ายสงบปากสงบคำห้ามมีความคิดเห็นทางการเมือง โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อให้เกิดความปรองดองของคนในชาติ โดยไม่แยกแยะว่าอันไหนคือความจริงอันไหนคือความเท็จ เพราะแม้แต่ความเป็นจริงก็ห้ามพูด ไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ให้ข้อมูลต่อประชาชนแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นข้อเท็จจริง
ผลก็คือฝ่ายทักษิณพากันสงบปากสงบคำ หรือทำเป็น “แกล้งตาย” ทักษิณสั่งลิ่วล้อว่า อย่าไปขัดขวาง คสช.ปล่อยให้เขาทำงานไปก่อน ให้รอคอยวันเลือกตั้งมาถึง เพราะทักษิณมั่นใจนั่นเองว่า เลือกตั้งใหม่เขาก็ชนะอีก
ดังนั้นไม่แปลกหรอกครับประชาชนที่รู้ทันทักษิณไม่ใช่ประชาชนที่ยัง “งุนงง” ต่อสิ่งที่ คสช.หยิบยื่นให้จะเริ่มส่งเสียงโวยวายโหวกเหวกเพราะเริ่มเห็นแล้วว่า การปฏิวัติครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อกวาดล้างระบอบทักษิณ เป็นเพียงการออกมาขัดตาทัพชั่วคราว ซ้ำร้ายยังปิดปากสื่อมวลชนและคนที่อยู่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณไม่ให้พูดถึงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณเสียอีก
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณมีบทเรียนมาแล้วจากการปฏิวัติที่ “เสียของ” ของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งในเวลาต่อมาก็พิสูจน์แล้วว่า พล.อ.สนธิหรือบิ๊กบังนั้นแท้จริงแล้วเป็นพวกเดียวกับทักษิณ ถ้าบิ๊กบังไม่ออกมาปฏิวัติทักษิณก็คงถูกประชาชนโค่นล้มไปนานแล้ว ทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณหยิบฉวยโอกาสนี้ไปอ้างว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งๆที่ทักษิณชนะการเลือกตั้งมาด้วยการซื้อ ส.ส. ซื้อพรรคการเมืองแล้วใช้อำนาจแบบระบอบเผด็จการโดยพรรคนายทุนในการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
ดังนั้นจึงไม่อยากเห็นการปฏิวัติครั้งนี้ “เสียของ” อีก
การปิดหูปิดตาปิดปากคุมเข้มสื่อ เชื่อได้อย่างไรว่า จะทำให้ความขัดแย้งในชาติไม่หวนคืนมาอีก ก็เห็นแต่ฝ่ายของทักษิณเท่านั้นที่ขานรับกับแนวทางนี้เพราะเห็นว่าฝ่ายตัวเองได้ประโยชน์และจะเป็นฝ่ายชนะอีกเมื่อการเลือกตั้งมาถึง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ถึงพิษร้ายของระบอบทักษิณที่กัดกินบ้านเมือง ซ้ำร้ายยังเชื่อแบบผิดๆ ว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายอำมาตย์ที่พวกทักษิณเคยเป่าหูคนส่วนใหญ่ของประเทศเอาไว้
ซุกขยะไว้ใต้พรมแล้ว ก็เห็นความสะอาดเพียงชั่วครู่ชั่วคราว แต่ไม่ช้าขยะใต้พรมก็จะส่งกลิ่นของมันออกมา
การปิดกั้นสื่อสามารถทำให้เกิดความปรองดองในชาติขึ้นจริงๆ หรือ อย่าลืมว่าวันนี้ไม่ได้มีเพียงสื่อกระแสหลักเพียงอย่างเดียวที่มีอิทธิพลต่อประชาชน แต่ประชาชนส่วนใหญ่เขามีปากเสียงของตัวเองที่เรียกว่าโซเชียลมีเดียกันทั้งนั้น สงครามแบ่งฝักฝ่ายตามความเชื่อของตัวเองก็ยังปะทะกันอยู่ทุกวันในโลกโซเชียลมีเดีย แน่นอนอาจจะมีมวลชนที่สนับสนุนทหารอยู่ในโลกโซเชียลมีเดียด้วย แต่นั่นเพราะเขาเชื่อว่า ทหารจะออกมาสนับสนุนแนวความคิดของเขา
พูดตรงๆ ก็คือ ฝ่ายสนับสนุนทหารนั้นเชื่อว่า ทหารจะออกมาจัดการกับระบอบทักษิณนั่นเอง
แต่ถ้าถึงเวลาเลือกตั้ง แล้วฝ่ายทักษิณกลับมาชนะเลือกตั้งอีก สงครามที่ปะทุอยู่ในโซเชียลมีเดียก็จะปะทุออกมาสู่สังคมอีกรอบอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วความขัดแย้งในบ้านเมืองก็จะกลับมาอีก
ฝั่งที่สนับสนุนทักษิณอาจบอกว่า เราต้องยอมรับในกติกาของระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งหนึ่งคนหนึ่งเสียงเพราะนี่คือความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ แต่ถามว่าจะเท่าเทียมกันได้อย่างไรถ้าหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงนั้นมีความรู้ที่ไม่เท่าเทียมกัน
ดังนั้นแม้จะมีคนพยายามบอกว่าเราต้องใจเย็นๆ ปล่อยให้รัฐบาลทำงานเสียก่อน ปล่อยให้สภาปฏิรูปที่รัฐบาลตั้งขึ้นเสนอทางออกในการปฏิรูปออกมาเสียก่อน แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ไม่ว่าจะเสนอแนวทางปฏิรูปออกมาอย่างไร ถ้าเราไม่ทำให้ประชาชนมีความรู้ที่เท่าเทียมกัน มีการตัดสินใจด้วยข้อมูลความรู้ที่เท่าเทียมกัน จะบอกว่านั่นคือหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงที่เท่าเทียมกันตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร
ผมคิดว่า ถึงวันนี้หากผู้มีอำนาจยังมีธงในใจว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นปัญหาของบ้านเมืองโดยไม่มองความจริง ไม่แยกแยะความผิดถูก ไม่ให้ความรู้ประชาชน มองไม่ออกว่าความไม่รู้ของประชาชนมันเอื้อต่อนักการเมืองที่ฉ้อฉล ไม่ว่าโครงสร้างการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถึงเวลาเมื่อรัฐบาลทหารจากไปแล้ว ก็ผลักภาระไปที่การเลือกตั้ง โดยที่เราไม่ทำให้หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงของประชาชนมีความเท่าเทียมกันด้วยข้อมูลและความรู้ ถึงเวลานั้นกลุ่มทุนเผด็จการทางการเมืองก็จะกลับมาแล้วปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองก็ไม่มีวันจะหมดไปจากสังคมไทย
“ผมทำอะไรให้ประเทศชาติเสียหายตรงไหนบ้าง” ความเสียหายของบ้านเมืองอาจจะไม่เกิดในวันนี้ เหมือนเรามองไม่เห็นขยะใต้พรมในเวลานี้เลย แต่ความเสียหายเกิดขึ้นในวันหน้าแน่ๆ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ