กระทรวงพลังงานเตรียมเสนอแผนเคาะกรอบการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีสะท้อนต้นทุนจัดหาที่ 27.85 บาทต่อกก. ส่งผลให้แอลพีจีขนส่งต้องขึ้นอีก 5.85 บาทต่อกก. แอลพีจีครัวเรือนขึ้นอีก 5.22 บาทต่อกก. โดยใช้วิธีทยอยขยับเดือนละ 0.50 บาทต่อกก.เป็นเวลา 1 ปี และมีมาตรการช่วยเหลือครัวเรือนและร้านหาบเร่แผงลอยอาหารตามมาตรการเดิมที่ทำอยู่ ยันขึ้นทั้งหมดกระทบต่อราคาอาหารแค่จานละ 0.30 บาทเท่านั้น
นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ.ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ได้เตรียมแนวทางการปรับโครงสร้างราคาพลังงานไว้แล้วซึ่งตามหลักการก่อนหน้านี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)กำหนดหลักการให้ราคาพลังงานสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและลดการอุดหนุนข้ามประเภทโดยเฉพาะแอลพีจี(ก๊าซหุงต้ม)และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือNGV
ส่วนการปรับราคาจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องรอนโยบายจากภาครัฐบาลเป็นสำคัญ
“ เราได้เตรียมเสนอรมว.พลังงานในส่วนของการปรับโครงสร้างซึ่งก่อนหน้าเป็นสมัยคสช. ซึ่งรมว.พลังงานเองอยากให้นำไปสู่การพิจารณาร่วมกัน โดยเบื้องต้นจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)วันที่ 22 ต.ค.นี้ ซึ่งการปรับโครงสร้างราคาพลังงานจะดูในเรื่องของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีสรรพสามิต การชดเชยข้ามประเภทเราต้องลดให้น้อยลงส่วนการปรับราคาอีกครั้งจะเริ่มเมื่อใดอยากให้รมว.เป็นผู้ให้คำตอบจะเหมาะสมกว่า”นายชวลิตกล่าว
นอกจากนี้การประชุมกพช.จะมีการรายงานความคืบหน้าถึงการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพีฉบับใหม่(PDP2015) ซึ่งเป็นแผนระหว่างปี 2558-2579 โดยล่าสุดได้มีการรับฟังความคิดเห็นแล้ว 4 ครั้งทั้งในกทม.และภูมิภาคหลังจากนี้จะดำเนินการให้เสร็จภายใน 3 เดือนหรือสิ้นพ.ย.จากนั้นจะเปิดรับฟังความเห็นก่อนสรุปเสนอกพช.ภายในกลางธ.ค.57 เพื่อเห็นชอบต่อไป
สำหรับพีดีพีใหม่จะเป็นการปรับใหญ่สิ่งที่ต่างจากแผนเดิมเบื้องต้นจะมีการปรับการพยากรณ์การใช้ไฟฟ้าใหม่ พิจารณาแนวทางการประหยัดพลังงานเป็นสำดับแรกรองลงมาเป็นพลังงานทดแทน แต่พลังงานหลักฟอสซิลยังคงจำเป็นอยู่โดยแผนนี้จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟจากถ่านหินสะอาดมากขึ้นเพื่อลดการใช้ก๊าซธรรมชาติที่แนวโน้มต้องจัดหาในรูปแบบของก๊าซธรรมชาติเหลวหรือแอลเอ็นจีซึ่งมีราคาแพงกว่าก๊าซฯอ่าวไทยเท่าตัวซึ่งจะกระทบต่อค่าไฟได้ และนิวเคลียร์ยังคงไว้ในปลายแผน เป็นต้น
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แนวทางการปรับโครงสร้างที่กระทรวงเตรียมเสนอรมว.พลังงานเพื่อนำสู่การพิจารณาเห็นชอบในกรอบใหญ่คือ การปรับราคาแอลพีจีให้สะท้อนต้นทุนการจัดหาที่ 27.85 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) ดังนั้นแอลพีจีขนส่งปัจจุบันอยู่ที่ 22 บาทต่อกก.จะต้องปรับขึ้น 5.85 บาทต่อกก. และแอลพีจีครัวเรือนที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 22.63 บาทต่อกก.จะต้องปรับขึ้นอีก 5.22 บาทต่อกก. และเพื่อเป็นการลดผลกระทบจึงเสนอให้ทยอยปรับขึ้นเป็นแบบขั้นบันไดเดือนละ 0.50 บาทต่อกก.เป็นระยะเวลา 12 เดือน
อย่างไรก็ตามมาตรการช่วยเหลือยังคงเหมือนเดิมที่ดำเนินการอยู่ปัจจุบันกล่าวคือ ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย รัฐกำหนดช่วยเหลือให้ใช้ราคาแอลพจีราคาเดิมไม่เกิน 15 กก.ต่อ 3 เดือน ร้านค้าหาบเร่ แผงลอยอาหารไม่เกิน 150 กก.ต่อเดือนซึ่งทั้งหมดมีประมาณ 7.7 ล้านครัวเรือน ขณะที่แท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีจะส่งเสริมให้ปรับมาใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV แทน
“ เมื่อกองทุนน้ำมันฯไม่มีการชดเชยราคาแอลพีจี กองทุนน้ำมันก็จะทำหน้าที่ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนได้แก่ เอทานอลและไบโอดีเซล และยังใช้รักษาเสถียรภาพราคาในช่วงสั้นๆ และที่สำคัญอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันส่วนของเบนซินและแก๊สโซฮอล์ที่นำไปอุ้มแอลพีจีก็จะลดลงไปด้วย”แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมขณะนี้อยู่ที่ 29.02 บาทต่อกก.ขณะที่ต้นทุนจัดหาอยู่ที่ 27.85 บาทต่อกก. กองทุนน้ำมันฯจึงมีรายได้อยู่ที่ 1.17 บาทต่อกก. ขณะที่การใช้ภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 47,000 ตันต่อเดือนคิดเป็นมูลค่ากองทุนน้ำมันฯที่มีรายได้เข้ามาเดือนต.ค. 57 ประมาณ 55 ล้านบาท
ทั้งนี้เมื่อคำนวณผลกระทบต่อราคาอาหารพบว่าการปรับขึ้นแอลพีจีครัวเรือน 1 บาทต่อกก.หรือ 15 บาทต่อถัง 15 กก.จะส่งผลให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 0.05 บาทต่อจาน (ถัง 15 กก.ต่อ300จาน) หากปรับขึ้นให้สะท้อนต้นทุนอีก 5.22 บาทต่อกก.หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 78.30 บาทต่อถัง จะทำให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 0.30 บาทต่อจานเท่านั้น
ขณะที่กรณีแอลพีจีขนส่งที่สะท้อนต้นทุนการจัดหาอยู่ที่ประมาณ 27.85 บาทต่อกก.หรือประมาณ 16 บาทต่อลิตรซึ่งคิดเป็นค่าเชื้อเพลิงของรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1.44 บาทต่อกม.ถ้าเปรียบเทียบกับผู้ที่ใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์แล้วก็ยังคงมีค่าเชื้อเพลิงที่ถูกกว่ามาก
นายชวลิต พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ.ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ได้เตรียมแนวทางการปรับโครงสร้างราคาพลังงานไว้แล้วซึ่งตามหลักการก่อนหน้านี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)กำหนดหลักการให้ราคาพลังงานสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและลดการอุดหนุนข้ามประเภทโดยเฉพาะแอลพีจี(ก๊าซหุงต้ม)และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือNGV
ส่วนการปรับราคาจะเป็นอย่างไรนั้นคงต้องรอนโยบายจากภาครัฐบาลเป็นสำคัญ
“ เราได้เตรียมเสนอรมว.พลังงานในส่วนของการปรับโครงสร้างซึ่งก่อนหน้าเป็นสมัยคสช. ซึ่งรมว.พลังงานเองอยากให้นำไปสู่การพิจารณาร่วมกัน โดยเบื้องต้นจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)วันที่ 22 ต.ค.นี้ ซึ่งการปรับโครงสร้างราคาพลังงานจะดูในเรื่องของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาษีสรรพสามิต การชดเชยข้ามประเภทเราต้องลดให้น้อยลงส่วนการปรับราคาอีกครั้งจะเริ่มเมื่อใดอยากให้รมว.เป็นผู้ให้คำตอบจะเหมาะสมกว่า”นายชวลิตกล่าว
นอกจากนี้การประชุมกพช.จะมีการรายงานความคืบหน้าถึงการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพีฉบับใหม่(PDP2015) ซึ่งเป็นแผนระหว่างปี 2558-2579 โดยล่าสุดได้มีการรับฟังความคิดเห็นแล้ว 4 ครั้งทั้งในกทม.และภูมิภาคหลังจากนี้จะดำเนินการให้เสร็จภายใน 3 เดือนหรือสิ้นพ.ย.จากนั้นจะเปิดรับฟังความเห็นก่อนสรุปเสนอกพช.ภายในกลางธ.ค.57 เพื่อเห็นชอบต่อไป
สำหรับพีดีพีใหม่จะเป็นการปรับใหญ่สิ่งที่ต่างจากแผนเดิมเบื้องต้นจะมีการปรับการพยากรณ์การใช้ไฟฟ้าใหม่ พิจารณาแนวทางการประหยัดพลังงานเป็นสำดับแรกรองลงมาเป็นพลังงานทดแทน แต่พลังงานหลักฟอสซิลยังคงจำเป็นอยู่โดยแผนนี้จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟจากถ่านหินสะอาดมากขึ้นเพื่อลดการใช้ก๊าซธรรมชาติที่แนวโน้มต้องจัดหาในรูปแบบของก๊าซธรรมชาติเหลวหรือแอลเอ็นจีซึ่งมีราคาแพงกว่าก๊าซฯอ่าวไทยเท่าตัวซึ่งจะกระทบต่อค่าไฟได้ และนิวเคลียร์ยังคงไว้ในปลายแผน เป็นต้น
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แนวทางการปรับโครงสร้างที่กระทรวงเตรียมเสนอรมว.พลังงานเพื่อนำสู่การพิจารณาเห็นชอบในกรอบใหญ่คือ การปรับราคาแอลพีจีให้สะท้อนต้นทุนการจัดหาที่ 27.85 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) ดังนั้นแอลพีจีขนส่งปัจจุบันอยู่ที่ 22 บาทต่อกก.จะต้องปรับขึ้น 5.85 บาทต่อกก. และแอลพีจีครัวเรือนที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 22.63 บาทต่อกก.จะต้องปรับขึ้นอีก 5.22 บาทต่อกก. และเพื่อเป็นการลดผลกระทบจึงเสนอให้ทยอยปรับขึ้นเป็นแบบขั้นบันไดเดือนละ 0.50 บาทต่อกก.เป็นระยะเวลา 12 เดือน
อย่างไรก็ตามมาตรการช่วยเหลือยังคงเหมือนเดิมที่ดำเนินการอยู่ปัจจุบันกล่าวคือ ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย รัฐกำหนดช่วยเหลือให้ใช้ราคาแอลพจีราคาเดิมไม่เกิน 15 กก.ต่อ 3 เดือน ร้านค้าหาบเร่ แผงลอยอาหารไม่เกิน 150 กก.ต่อเดือนซึ่งทั้งหมดมีประมาณ 7.7 ล้านครัวเรือน ขณะที่แท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีจะส่งเสริมให้ปรับมาใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV แทน
“ เมื่อกองทุนน้ำมันฯไม่มีการชดเชยราคาแอลพีจี กองทุนน้ำมันก็จะทำหน้าที่ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนได้แก่ เอทานอลและไบโอดีเซล และยังใช้รักษาเสถียรภาพราคาในช่วงสั้นๆ และที่สำคัญอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันส่วนของเบนซินและแก๊สโซฮอล์ที่นำไปอุ้มแอลพีจีก็จะลดลงไปด้วย”แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมขณะนี้อยู่ที่ 29.02 บาทต่อกก.ขณะที่ต้นทุนจัดหาอยู่ที่ 27.85 บาทต่อกก. กองทุนน้ำมันฯจึงมีรายได้อยู่ที่ 1.17 บาทต่อกก. ขณะที่การใช้ภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 47,000 ตันต่อเดือนคิดเป็นมูลค่ากองทุนน้ำมันฯที่มีรายได้เข้ามาเดือนต.ค. 57 ประมาณ 55 ล้านบาท
ทั้งนี้เมื่อคำนวณผลกระทบต่อราคาอาหารพบว่าการปรับขึ้นแอลพีจีครัวเรือน 1 บาทต่อกก.หรือ 15 บาทต่อถัง 15 กก.จะส่งผลให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 0.05 บาทต่อจาน (ถัง 15 กก.ต่อ300จาน) หากปรับขึ้นให้สะท้อนต้นทุนอีก 5.22 บาทต่อกก.หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 78.30 บาทต่อถัง จะทำให้ต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 0.30 บาทต่อจานเท่านั้น
ขณะที่กรณีแอลพีจีขนส่งที่สะท้อนต้นทุนการจัดหาอยู่ที่ประมาณ 27.85 บาทต่อกก.หรือประมาณ 16 บาทต่อลิตรซึ่งคิดเป็นค่าเชื้อเพลิงของรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1.44 บาทต่อกม.ถ้าเปรียบเทียบกับผู้ที่ใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์แล้วก็ยังคงมีค่าเชื้อเพลิงที่ถูกกว่ามาก
