ปฏิรูปพลังงานคิวต่อไปรัฐจ่อขึ้นLPGขนส่ง1.25บ./กก.ทันที ให้เท่าครัวเรือนเพื่อความเป็นธรรม กระทรวงพลังงานรับมีมาตรการพร้อมดูแลแท็กซี่ไม่ให้ได้รับผลกระทบ “แท็กซี่” รับได้ถ้ามีมาตรการให้ใช้ราคาเดิมแนะ คสช.ไปดูค่าการตลาดปั๊มแอลพีจีสงสัยสูงมากไป
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้ทำการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้วก่อนหน้านี้ทั้งการปรับภาษีสรรพสามิต กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คาดว่าหลังจากนี้จะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีในภาคขนส่งให้มีราคาเท่ากับภาคครัวเรือนโดยจะทำการปรับราคาเพิ่มขึ้นทันที1.25 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เนื่องจากขณะนี้ราคาแอลพีจีครัวเรือนอยู่ที่ 22.63 บาทต่อ กก.แต่แอลพีจีภาคขนส่งราคาอยู่ที่เพียง 21.38 บาทต่อ กก.
“ราคาแอลพีจีภาคขนส่งที่ต่ำทำให้เกิดการใช้ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับทางเลือกของผู้ใช้รถยนต์เองก็มีมากทั้งแก๊สโซฮอล์ที่รัฐบาลก็อุดหนุนราคา และยังรวมไปถึงก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวีอีก อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งอาจจะกระทบต่อรถโดยสารสาธารณะโดยเฉพาะแท็กซี่ที่ยังคงมีการใช้แอลพีจีอยู่ประมาณ 2 0,000 คัน ดังนั้นขณะนี้กระทรวงพลังงานได้เตรียมมาตรการที่จะดูแลรถแท็กซี่ไว้แล้วที่จะไม่ให้ได้รับผลกระทบซึ่งอาจให้ใช้ราคาเดิมไปก่อนคล้ายครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ซึ่งจุดนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” แหล่งข่าวกล่าว
น ายวิฑูรย์ แนวพานิช ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการแท็กซี่ กล่าวว่า หาก คสช.จะขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งจริงก็ควรจะต้องมีมาตรการเยียวยาผลกระทบซึ่งอาจจะให้แท็กซี่ใช้แอลพีจีในราคาเดิมเช่นกรณี เอ็นจีวี ที่ราคาจริงอยู่ที่ 10.50 บาทต่อ กก. แต่รัฐให้บัตรส่วนลดใช้ในราคาเดิมคือ 8.50 บาทต่อ กก. อย่างไรก็ตาม อยากให้ คสช.ไปควบคุมค่าการตลาดปั๊มแอลพีจีก่อนเพราะขณะนี้แต่ละแห่งขายราคาต่างกันมาก และบางแห่งมีโปรโมชั่นแจกน้ำดื่มได้ด้วย แสดงว่าน่าจะมีกำไรสูง
“เราก็กำลังดูว่า คสช.จะปฏิรูปราคาพลังงานอย่างไรแน่ เพราะขณะนี้ส่วนใหญ่แท็กซี่ก็จะใช้เอ็นจีวี และก็อีกส่วนใช้แอลพีจี ซึ่งเดิมรัฐก็บอกว่าจะขึ้นแอลพีจีขนส่งและที่สุดจะขึ้นราคาเอ็นจีวี ด้วยเพื่อให้สะท้อนต้นทุนซึ่งหากขึ้นราคาไม่ว่าจะเป็นแอลพีจีหรือเอ็นจีวี จะกระทบกับแท็กซี่ทั้งหมดซึ่งกรณีเอ็นจีวีแท็กซี่รับได้ที่ 8.50 บาทต่อ กก.เท่านั้น หากรัฐไม่มีมาตรการช่วยเหลือให้ใช้ราคาเดิมก็ต้องให้ขึ้นค่ามิเตอร์ให้” นายวิฑูรย์กล่าว
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งที่ขณะนี้ถูกกว่าครัวเรือนไปให้เท่ากันเนื่องจากขณะนี้ประชาชนเริ่มมีการนำถังแอลพีจีครัวเรือนไปเติมในปั๊มแก๊สเพิ่มมากขึ้นแล้วหากปล่อยไว้จะกลายเป็นความเคยชิน นอกจากนี้การขึ้นแอลพีจีขนส่งยังช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเข้าไปอุดหนุนราคาแม้จะเป็นปริมาณที่ไม่มากก็ตาม
“เดิมทีรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะให้ราคาของทั้งครัวเรือนและขนส่งไปสู่ราคาต้นทุนหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อ กก.เท่ากัน ดังนั้นหากปรับราคาแอลพีจีครัวเรือนและขนส่งให้เท่ากันแล้วจากนั้นจะมีการขึ้นราคาตามกรอบเดิมหรือไม่ก็คงอยู่ที่นโยบายภาครัฐแต่สมาคมฯเองสนับสนุนให้เป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพราะการอุดหนุนด้วยการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันโดยเฉพาะเบนซินถือไม่เป็นธรรมกับคนกลุ่มนี้”นายชิษณุพงศ์กล่าว
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้สมาคมฯได้ทำแบบสอบถามจากร้านค้าทั่วประเทศและนำข้อสรุปเสนอไปยังสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) แล้วว่า ร้านค้าส่วนใหญ่ซึ่งสัมผัสกับชาวบ้านผู้ใช้แอลพีจีโดยตรงส่วนใหญ่ระบุว่าไม่อยากให้รัฐขึ้นราคาแต่ถ้าจำเป็นก็ขอให้ทยอยขึ้นและคงมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนผู้มีรายได้น้อยให้ใช้ในราคาเดิมเพราะขณะนี้ค่าครองชีพประชาชนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้.
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้ทำการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้วก่อนหน้านี้ทั้งการปรับภาษีสรรพสามิต กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คาดว่าหลังจากนี้จะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีในภาคขนส่งให้มีราคาเท่ากับภาคครัวเรือนโดยจะทำการปรับราคาเพิ่มขึ้นทันที1.25 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เนื่องจากขณะนี้ราคาแอลพีจีครัวเรือนอยู่ที่ 22.63 บาทต่อ กก.แต่แอลพีจีภาคขนส่งราคาอยู่ที่เพียง 21.38 บาทต่อ กก.
“ราคาแอลพีจีภาคขนส่งที่ต่ำทำให้เกิดการใช้ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับทางเลือกของผู้ใช้รถยนต์เองก็มีมากทั้งแก๊สโซฮอล์ที่รัฐบาลก็อุดหนุนราคา และยังรวมไปถึงก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวีอีก อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งอาจจะกระทบต่อรถโดยสารสาธารณะโดยเฉพาะแท็กซี่ที่ยังคงมีการใช้แอลพีจีอยู่ประมาณ 2 0,000 คัน ดังนั้นขณะนี้กระทรวงพลังงานได้เตรียมมาตรการที่จะดูแลรถแท็กซี่ไว้แล้วที่จะไม่ให้ได้รับผลกระทบซึ่งอาจให้ใช้ราคาเดิมไปก่อนคล้ายครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ซึ่งจุดนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” แหล่งข่าวกล่าว
น ายวิฑูรย์ แนวพานิช ตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการแท็กซี่ กล่าวว่า หาก คสช.จะขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งจริงก็ควรจะต้องมีมาตรการเยียวยาผลกระทบซึ่งอาจจะให้แท็กซี่ใช้แอลพีจีในราคาเดิมเช่นกรณี เอ็นจีวี ที่ราคาจริงอยู่ที่ 10.50 บาทต่อ กก. แต่รัฐให้บัตรส่วนลดใช้ในราคาเดิมคือ 8.50 บาทต่อ กก. อย่างไรก็ตาม อยากให้ คสช.ไปควบคุมค่าการตลาดปั๊มแอลพีจีก่อนเพราะขณะนี้แต่ละแห่งขายราคาต่างกันมาก และบางแห่งมีโปรโมชั่นแจกน้ำดื่มได้ด้วย แสดงว่าน่าจะมีกำไรสูง
“เราก็กำลังดูว่า คสช.จะปฏิรูปราคาพลังงานอย่างไรแน่ เพราะขณะนี้ส่วนใหญ่แท็กซี่ก็จะใช้เอ็นจีวี และก็อีกส่วนใช้แอลพีจี ซึ่งเดิมรัฐก็บอกว่าจะขึ้นแอลพีจีขนส่งและที่สุดจะขึ้นราคาเอ็นจีวี ด้วยเพื่อให้สะท้อนต้นทุนซึ่งหากขึ้นราคาไม่ว่าจะเป็นแอลพีจีหรือเอ็นจีวี จะกระทบกับแท็กซี่ทั้งหมดซึ่งกรณีเอ็นจีวีแท็กซี่รับได้ที่ 8.50 บาทต่อ กก.เท่านั้น หากรัฐไม่มีมาตรการช่วยเหลือให้ใช้ราคาเดิมก็ต้องให้ขึ้นค่ามิเตอร์ให้” นายวิฑูรย์กล่าว
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งที่ขณะนี้ถูกกว่าครัวเรือนไปให้เท่ากันเนื่องจากขณะนี้ประชาชนเริ่มมีการนำถังแอลพีจีครัวเรือนไปเติมในปั๊มแก๊สเพิ่มมากขึ้นแล้วหากปล่อยไว้จะกลายเป็นความเคยชิน นอกจากนี้การขึ้นแอลพีจีขนส่งยังช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเข้าไปอุดหนุนราคาแม้จะเป็นปริมาณที่ไม่มากก็ตาม
“เดิมทีรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะให้ราคาของทั้งครัวเรือนและขนส่งไปสู่ราคาต้นทุนหน้าโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อ กก.เท่ากัน ดังนั้นหากปรับราคาแอลพีจีครัวเรือนและขนส่งให้เท่ากันแล้วจากนั้นจะมีการขึ้นราคาตามกรอบเดิมหรือไม่ก็คงอยู่ที่นโยบายภาครัฐแต่สมาคมฯเองสนับสนุนให้เป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพราะการอุดหนุนด้วยการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันโดยเฉพาะเบนซินถือไม่เป็นธรรมกับคนกลุ่มนี้”นายชิษณุพงศ์กล่าว
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้สมาคมฯได้ทำแบบสอบถามจากร้านค้าทั่วประเทศและนำข้อสรุปเสนอไปยังสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) แล้วว่า ร้านค้าส่วนใหญ่ซึ่งสัมผัสกับชาวบ้านผู้ใช้แอลพีจีโดยตรงส่วนใหญ่ระบุว่าไม่อยากให้รัฐขึ้นราคาแต่ถ้าจำเป็นก็ขอให้ทยอยขึ้นและคงมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนผู้มีรายได้น้อยให้ใช้ในราคาเดิมเพราะขณะนี้ค่าครองชีพประชาชนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้.
