โสภณ องค์การณ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
อะไรกันเนี่ย? ทันทีที่ผู้นำรัฐบาลเกษียณอายุจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก หลังจากนั่งเก้าอี้ตัวสำคัญนาน 4 ปี ผู้มาใหม่ให้คำรับรองทันทีว่า “ไม่มีปฏิวัติซ้อน”
ฟังแล้วแทนที่จะสบายใจ พวกชอบมโนคงคิดเตลิดเปิดเปิง ย้อนสู่อดีต
ก่อนหน้ารัฐประหารทุกครั้ง มักมีคำพูดแบบนี้แหละ ทำให้หัวหน้ารัฐบาลตายใจว่าไม่มีใครหักขาเก้าอี้แน่นอน ทุกวันนี้บักเหลี่ยมเร่ร่อน และเสนาบดีรัฐบาลคุณน้องปูน่าจะไม่ลืมคำมั่นทำนองนี้แหละว่าการรัฐประหารเป็นสิ่งที่ล้าสมัย สวนกระแสโลก
แล้วเป็นไง...นอกจากไม่ล้าสมัย กลุ่มทำรัฐประหารยังเชื่อมั่นอีกด้วยว่ากระแสประชาคมโลกจะแผ่วเพราะช่วงนี้รัฐบาลตะวันตก ขาใหญ่ทั้งหลายมีปัญหาเต็มมือ ต้องรบกับไอซิสในซีเรีย อิรัก สงครามกบฎในยูเครน การระบาดของไวรัสอันตรายอีโบลา
ผบ.ทบ. คนใหม่ “บิ๊กโด่ง” มีลักยิ้มบนแก้ม มองดูน่ารัก ไม่ใช่ลักษณะของทหารดุ ห้าว ก้าวร้าว พูดไม่เข้าหูคน ดังนั้น เมื่อมีอายุราชการเหลือเพียง 1 ปี คำรับประกันน่าจะทำให้ใครก็ตามที่หวาดผวาการรัฐประหารซ้อนสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับสภาวะขาลอย
ทำไมมีคำถามเรื่องรัฐประหารซ้อน...มีอะไรไม่ลงตัวในการแบ่งอำนาจกุมรัฐหรือ
ดูเผินๆ แล้วไม่น่ามีปัญหา หัวหน้ารัฐบาลมาจากรัฐประหาร ทุกกองทัพหนุนจนเต็มบ้อง อดีตแม่ทัพได้เป็นรัฐมนตรีตำแหน่งเบ้งๆ ผู้มาแทนล้วนเป็นที่น่าไว้ใจได้ ถ้าใครคิดรัฐประหารซ้อน ต้องมั่นใจว่ามีกำลังเพียงพอ ต้องหาเหตุผลยิ่งกว่าพอเพื่อให้สำเร็จ
สภาวะอิ่มกับอำนาจขณะนี้ของกลุ่มผู้กุมอำนาจรัฐ จึงมีพวกมองโลกสวยเชื่อว่าการรัฐประหารเป็นไปได้ยาก แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่เกิดขึ้นให้เห็นกับตา ย่อมไม่มีคนเชื่อว่ามันจะเกิด คนเรารู้จักหน้าไม่รู้จักใจ คิดอะไรนอกใสในขุ่นไม่รู้ เมื่อไม่ออกอาการชัด
ผมเองเชื่อว่าการรัฐประหารที่ผ่านมาแหม็บๆ วันที่ 22 พฤษภาคมจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ในประวัติศาสตร์มีตัวอย่างให้เห็นว่าเมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้น ยังอาจมีรัฐปราหารซ้ำ และรัฐประหารซ้อน ถ้ามีบรรยากาศของการแก่งแย่งชิงอำนาจเมื่อไม่ไว้ใจกัน
การแบ่งปันผลประโยชน์จากโครงสร้างอำนาจไม่ลงตัว การขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจ การสืบอำนาจ ความจำเป็นในการกำจัดคู่แข่ง ฯลฯ ย่อมเป็นสาเหตุได้ เมืองไทยย่อมไม่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์เช่นกันเพราะเคยมีการรัฐประหารมากว่า 17 ครั้งแล้ว
การรัฐประหารบ้านเรามีทั้งสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ขึ้นอยู่กับบารมีผู้นำ การยอมรับของประชาชน บางครั้งความเบื่อหน่ายผู้กุมอำนาจรัฐปัจจุบัน ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา การทุจริต การเล่นพรรคเล่นพวก ทำให้เกิดความไม่พอใจ ต่อต้าน
กรณีคนถาม “บิ๊กโด่ง” เรื่องการรัฐประหารซ้อน คนตอบยิ่งแทบไม่ต้องคิด เพราะไม่มีมูลเหตุอะไรในช่วงนี้ ตัว ผบ.ทบ. คนใหม่มีเวลาทำงานไม่นาน โอกาสที่จะสร้างบารมีสั้นเหลือเกิน จากนี้ไปก็เริ่มนับถอยหลังถึงวันเกษียณด้วยซ้ำ เพราะวาระที่เหลืออยู่เอา เพียงแค่ไปเยือนเพื่อนบ้าน ทำงานอีกไม่กี่เดือนก็ต้องเดินสายอำลาแล้ว
ระยะเวลา 1 ปี จึงแทบไม่มีเวลาสร้าง สะสมบารมีสำหรับความเสี่ยงระดับนั้น ยิ่งเห็นสภาวะการนั่งหลังเสือดังเช่นปัจจุบัน ก็ยิ่งไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว สู้นั่งรอดูผลงานของคณะรัฐประหารดีกว่าว่าจะรอดสันดอนได้หรือไม่ท่ามกลางความสงบแบบเทียมๆ
ฉะนั้น คณะผู้กุมอำนาจรัฐปัจจุบันน่าจะมีความมั่นใจพอสมควร มีสัญญาใจอะไรหรือไม่ ต้องรอดูวันเกษียณของ “บิ๊กโด่ง” ว่าจะได้เข้ามาร่วมรัฐบาลหรือไม่ ทุกวันนี้มีแต่พวกมองโลกสวยจนเซ่อเท่านั้นที่เชื่อว่าจะมีเลือกตั้งหลังจากเดือนตุลาคมปี 2558
คุณท่านประกาศนโยบายปฏิรูป โรดแหม็บๆ แทบไม่ซ้ำกันทุกวันศุกร์ ถ้าจะให้ สำเร็จ ต่อให้อยู่ยาว 4 ปี ทำงานได้ผลเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่ามหัศจรรย์แล้ว การอยู่รอดของรัฐบาลขึ้นอยู่กับผลงานในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รายได้ของประชาชน
เห็นชัดๆ ว่าสินค้าทุกอย่างจะเดินหน้าขึ้นราคาหลังจากการขึ้นราคาน้ำมัน แก๊ส การขนส่ง ล้วนเป็นต้นทุนสำคัญ จะให้ไพร่ฟ้าหน้าใส ไร้เสียงบ่น คงไม่ใช่ลักษณะของคนไทยแท้แน่นอน การไล่แจกเงินให้ชาวนา เกษตรกร บัตรเครดิตพลังงาน ไม่ได้สร้างแรงกระตุ้นในคนได้รับแจกทำงานหนัก เพราะมองว่านโยบายประชานิยมยังอยู่อีกนาน
การไม่เอาใจประชาชน เท่ากับไม่ใส่ใจกับการรักษาฐานอำนาจของตัวเอง!
การประกาศโครงการต่างๆ เท่ากับเป็นพันธกิจผูกมัดกลุ่มผู้กุมอำนาจรัฐ ยิ่งสัญญาซ้ำซากว่าจะไม่มีการทุจริต คอร์รัปชั่น มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ก็เท่ากับว่าประชาชน เฝ้ารอให้คำประกาศเป็นความจริง พิสูจน์ว่าคำพูดเป็นนายของคนให้สัญญา
บางครั้ง การให้สัญญาจนตัวเองแทบจำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้างนั้นเป็นเพราะต้องการเอาใจประชาชน สร้างมโนภาพให้เห็นว่าอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า ถ้าไม่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างสี กลุ่มการเมือง เปิดทางให้ผู้มีอำนาจทำงานฟื้นฟูอย่างเต็มที่
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่พร้อมให้โอกาสผู้กุมอำนาจรัฐ ยอมอยู่ในบรรยากาศเผด็จการ สิ้นเสรีภาพทางความคิดเห็น การชุมนุม แม้จะเริ่มเห็นว่าลำไม้ไผ่ถูกเหลาให้เป็นบ้องกัญชาอย่างชัดเจน มีการเล่นพรรคเล่นพวก ไม่ยอมใช้อำนาจจัดการกลุ่มปัญหา
สภาพปัจจุบันทำให้หลายคนอดเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาล รสช. และ คสช. ไม่ได้ โดยเฉพาะตัวผู้นำ “บิ๊กสุ” และ “บิ๊กตู่” ซึ่งแตกต่างกันในชั้นเชิง ลีลา บารมี สติปัญญา การยอมรับในกลุ่มคนในกองทัพ หลายเหตุเริ่มซ้ำรอยเดิมแทบไม่น่าเชื่อ
ลำพังปัญหาเศรษฐกิจก็เต็มกลืน ยังมีสภาวะ “กระเพื่อม” เป็นระรอกอีกด้วย
“บิ๊กสุ” ไม่มีบุคคลิกของคนพูดมาก ใจเย็น สุขุมลุ่มลึก เก็บอาการ แต่กระนั้นยังอยู่ได้เพียง 47 วัน ส่วน “บิ๊กตู่” มีท่วงท่าลีลาสไตล์เป็นอย่างไรก็รู้เห็นกันอยู่ หลายคนรอดูว่าจะคุมสถานการณ์ได้นานสักเท่าไหร่ เมื่อมีทั้งคลื่นไต้น้ำ ไฟสุมขอน หนอนบ่อนไส้
เมื่อปล่อยให้คนชั่วลอยนวล แปลงกัลยาณมิตรให้เป็นฝ่ายตรงข้าม ขาลอยแบบนี้ พวกมองโลกสวยคงเชื่อมั่นต่อไป ดูบรรยากาศเข้มของการ “ลองของ” ว่ายังไม่น่ากังวล แต่พวกวงใน รู้เยอะ เริ่มเห็นเค้าลางความไม่น่าไว้ใจ แอบกระซิบบอกดังๆ ว่า “เสียววุ้ย”