สอดแนมการเมือง
โดย...ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
“ชาติไหนเห็นด้วยกับการคอร์รัปชั่นยกมือขึ้น?”
ถ้า “บัน คีมูน” เลขาฯสหประชาชาติ (UN) ตั้ง“คำถาม”ปัญญาอ่อนกลางห้องประชุม ทั้งๆที่รู้“คำตอบ”ล่วงหน้าแล้วว่า ทุกชาติในโลกจะไม่ยกมือขึ้นเหนือหัวอย่างเด็ดขาด
เพราะคงไม่มีชาติไหนบ้า จนเห็นการ“คอร์รัปชั่น” เป็นสิ่งที่ดีและถูกต้องแน่นอน!
วันที่ 31 ตุลาคม 2546 ณ ที่ประชุมใหญ่ UN ประเทศภาคีสมาชิก 191 ประเทศ รวมทั้ง “ไทยแลนด์แดนคอร์รัปชั่น” ก็มีมติเห็นชอบกับ “อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 ” (United Nations Convention Against Corruption-UNCAC,2003) อย่างเป็นเอกฉันท์ และได้มีการร่วมลงนามในอนุสัญญาฯนี้ ระหว่างวันที่ 9-11 ธันวาคม 2546 ณ เมืองเมอริด้า ประเทศเม็กซิโก
UN จึงประกาศให้วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี เป็น “วันต่อต้านคอร์รัปชั่นสากล” (International Anti-Corruption Day)
คอร์รัปชั่นจึงเป็นหนึ่งใน “โรคร้าย”ของทุกชาติ ที่ต้องกำจัดให้สิ้นซากโดยด่วน!
ทั้งนี้เพราะชาวโลกรู้ว่า รัฐบาลทุกชาติล้วนมีการคอร์รัปชั่น เพียงแต่จะคอร์รัปชั่นกันมากหรือน้อยเท่านั้น ชาติใดได้ผู้นำดีหน่อย ก็จะโกงเนียนและโกงน้อยหน่อย หากได้ผู้นำชั่วที่ยึดอำนาจรัฐด้วยการใช้เงินซื้อเสียง ก็จะโกงกันอย่างมโหฬารชนิดไม่กลัวกฎหมาย หรือปล้นชาติกันแบบ “ไอ้เสือเอาละวา”ซึ่งๆหน้ากันเลยล่ะ
แล้ว UN ทำอะไรกับรัฐบาลคอร์รัปชั่นโกงชาติได้ไหม? ลงโทษรัฐบาลโกงชาติที่ลงนามในอนุสัญญาฯว่า จะต่อต้านการคอร์รัปชั่นด้วยการคอร์รัปชั่นชาติเสียเอง ได้สักรัฐบาลหนึ่งไหมล่ะ?
UN จึงเป็นแค่ “เสือกระดาษ”เหมือนเดิม! UN ทำได้แค่การสร้างภาพกับรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชั่นเท่านั้น แต่ UN ไม่มีน้ำยาจะลงโทษหรือทำอะไรกับรัฐบาลคอร์รัปชั่นในโลกนี้ได้เลย
สุดท้าย..ชาวโลกในชาติต่างๆนั่นแหละ ที่ต้องออกมาปกป้องรักษาเงินของตัวเอง ซึ่งถูกรีดนาทาเร้นจากรัฐบาลในรูปของภาษีสารพัด หลายชาติจึงมีประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลคอร์รัปชั่นกันอย่างเอาจริงเอาจัง
บนโลกใบนี้..จึงมีวีรชนคนกล้าที่บาดเจ็บล้มตาย เพื่อต่อสู้ขับไล่รัฐบาลคอร์รัปชั่นนับไม่ถ้วน!
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลที่มาจากการซื้อเสียงเลือกตั้งมักอยู่ไม่นาน เพราะโกงชาติจนโดนประชาชนขับไล่ หรือไม่ก็โดนทหารทำรัฐประหารโค่นล้มลง ทว่า..รัฐบาลของคณะรัฐประหารก็มักอยู่ได้ไม่ยืดเช่นกัน ถ้าไม่จัดให้มีการการเลือกตั้งใหม่ ทำให้นักการเมืองใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง หวนกลับเข้ามายึดอำนาจรัฐได้อีก ก็มักโดนประชาชนขับไล่ จนต้องขนทหารออกมาไล่ฆ่าผู้คน ให้ต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ ก่อนที่รัฐบาลทหารจะล้มครืนลง
นั่นคือประวัติศาสตร์การเมืองไทยในอดีต ส่วนอนาคตยังต้องดูกันต่อไปว่าจะลงเอยเช่นไร?
อำนาจรัฐไทยที่เป็นของประชาชน จึงถูกผลัดกันนำไปใช้เพื่อโกงชาติเรื่อยมา โดยไม่เคยมีผู้นำหรือรัฐบาลใดกล้าปราบคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง และไม่มีผู้นำหรือรัฐบาลใด จะกล้าผ่าวิกฤติชาติด้วยการปฏิรูปประเทศไทย ทุกภาคส่วนอย่างแท้จริงสักครา
ทั้งๆ ที่ทุกรัฐบาลไทยในอดีต ล้วนอ้างการปราบ“คอร์รัปชั่น”เป็นวาระแห่งชาติ โดยทุกรัฐบาลจะสร้างภาพว่า รัฐบาลจะปราบ “คอร์รัปชั่น”ให้เหี้ยนเต้ไปจากชาติไทยโดยเร็วที่สุด
แต่น่าเศร้า..ที่บางรัฐบาลประกาศปาวๆว่า จะปราบ “คอร์รัปชั่น”อย่างจริงจังนั่นแหละ กลับเป็นรัฐบาลที่คอร์รัปชั่นเสียเอง จนผู้นำรัฐบาลบางคนที่ปล้นสมบัติชาติ ต้องแอบขนทรัพย์สินเงินทอง หนีไปอยู่ยังต่างประเทศจนทุกวันนี้
ในปี 2555 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ที่จัดอันดับการคอร์รัปชั่นรัฐบาลต่างๆรวม 176 ประเทศ ได้ประกาศว่า ประเทศ “เดนมาร์ค-ฟินแลนด์-นิวซีแลนด์” เป็นประเทศที่โปร่งใสต่อการคอร์รัปชั่น ติดอันดับ 1 ของโลก
ทางด้านเอเชียนั้น ประเทศสิงคโปร์ได้อันดับ 1 และประเทศไทยอยู่ในอันดับ 88 โดยได้คะแนนเพียง 37 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ส่วนประเทศจีนอยู่ในอันดับที่ 80 ดีกว่าไทยแค่ 8 อันดับเท่านั้น
งานนี้..รัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ชาติไทยเสียชื่อ ต้องไล่เรียงมาตั้งแต่รัฐบาล “ทักษิณ-พล.อ.สุรยุทธ์-สมัคร-สมชาย-อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์”โน่นเลย ส่วนรัฐบาลเผด็จการของ “ท่านผู้นำตู่”ยังไม่เกี่ยวนะเจี๊ยะ..
แต่ที่ยกประเทศจีนขึ้นมาอ้างด้วย เพื่อจะได้ “ส่องกล้อง” ดูรัฐบาลเผด็จการ ที่ปกครองด้วยระบอบ”ลูกครึ่ง” หรือสังคมนิยมผสมทุนนิยมว่า รัฐบาลมหาอำนาจอย่างจีนเขาปราบ คนที่คอร์รัปชั่นโกงชาติกันจริงจังแค่ไหน?
ก่อนอื่น..ต้องถือหลักการว่า ทุกชาติมีคนดีและคนชั่วปนเปกัน จึงมีปัญหามากมายสารพัดต้องแก้ไข ดังนั้น ผู้นำและรัฐบาลที่ดี-เก่ง-รักชาติ-รักประชาชน จะทำให้ปัญหาเลวร้ายทั้งหลายถูกแก้ไข ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทำให้ชาติเจริญรุ่งเรืองวิวัฒน์ไปในทางที่ดีอย่างยั่งยืน
แต่ถ้าได้ผู้นำและรัฐบาลโกงเก่ง ไม่รักชาติไม่รักประชาชน แทนที่ปัญหาวิกฤติทั้งหลายจะถูกแก้ไข กลับจะเพิ่มวิกฤติให้ร้ายแรงจนชาติ และประชาชนต้องเสียหายวายป่วงเกินจะเยียวยา
ดังนั้น การได้ผู้นำและรัฐบาลที่ดี-เก่ง-รักชาติ-รักประชาชน หรือการทำให้คนดีได้ขึ้นปกครองชาติบ้านเมือง จึงเป็น “ปัจจัยสำคัญที่สุด” และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดของทุกชาติ
เพราะทุกคนบนโลกใบนี้ มิได้กำลัง “แสดงละคร” แต่ทุกคนกำลังต่อสู้อยู่บนโลกแห่งความจริง ที่เต็มไปด้วยความรัก-โลภ-โกรธ-หลง มนุษย์โลกเต็มไปด้วยการต่อสู้กับตนเอง บนทางเลือกดีกับชั่ว-ถูกกับผิด -ควรกับไม่ควร ฯลฯ
ครานี้มาดูประเทศที่คอร์รัปชั่น ติดอันดับ 80 ของโลกอย่างจีน ว่าเขาจัดการอย่างไรกับคนคอร์รัปชั่นโกงชาติกันหน่อยดีไหม?
หลังสงครามปฏิวัติจีนยุติลง ผู้นำจีนยุคใหม่ที่สำคัญๆและมีบทบาทอย่างสูงต่อการปกครองและการเติบโตของประเทศจีน หลักๆ คือ “เหมาเจ๋อตง-เติ้งเสี่ยวผิง-เจียงเจ๋อหมิน-หูจิ่นเทา” ตามด้วยผู้นำรุ่นที่ 5 หรือรุ่นปัจจุบัน“สีจิ้นผิง”
ต้องถือว่าชาวจีนกว่า 1,340 ล้านคนนั้นโชคดีมาก แต่จะดีไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่..คงต้องตามดูกันต่อไป! ผู้นำจีนยุคเหมาเจ๋อตงเรื่อยมา ได้ส่งต่อการบริหารชาติอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผู้นำจีนทุกรุ่นที่ผ่านมารักชาติรักประชาชน จึงทำให้ประชาชนจีนกว่าพันล้านคน ที่เคยอดอยากยากจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จนเศรษฐกิจจีนพุ่งขึ้นสู่อันดับที่สองของโลก และจีนยังเป็นเจ้าหนี้อันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกอีกด้วย
วันนี้..จีนส่งดาวเทียมมากมายขึ้นสู่วงโคจรโลก แถมยังส่งนักบินอวกาศไปโลกพระจันทร์ได้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์จีน พัฒนาเทคโนโลยีด้านต่างๆ รุดหน้าไปได้อย่างก้าวกระโดด
วันนี้..เทคโนโลยีด้านต่างๆ รวมทั้งด้านการทหารของจีนนั้น บางด้านไล่กวดมหาอำนาจอเมริกาและยุโรปมาติดๆ และบางด้านได้ล้ำหน้าไปแล้ว เพียงแต่ยังคงถูกปิดเป็นความลับทางการทหารอยู่
อย่างไรก็ตาม..ท่ามกลางความก้าวหน้าของชาติ จีนก็มีการคอร์รัปชั่นเพิ่มขึ้นในทุกมิติของสังคม ทั้งข้าราชการและรัฐวิสาหกิจนับแสนๆแห่งของจีน รวมทั้งในรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย ซึ่งถือเป็นปัญหาร้ายแรงที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกภาคส่วนของจีนมาจนทุกวันนี้
เมื่อวันที่ 8-15 พฤศจิกายน 2557 วาระการประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 18 ได้มีการประกาศชื่อผู้นำคนใหม่ของจีน “สีจิ้นผิง” อย่างเป็นทางการ
เป็นการเริ่มนับหนึ่งของ “มังกรสีจิ้นผิง” ผู้นำจีนคนใหม่ที่มาพร้อมคำประกาศ จะปราบ“คอร์รัปชั่น”ให้สิ้นซาก! (ติดตามตอนสอง)