**โดนศาลปกครองสูงสุด “สอนมวย”ไปแล้ว สำหรับ “บิ๊กกี่”พล.อ.นพดล อินทปัญญา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ 28 สนช. ที่ดอดเงียบไปยื่นเรื่อง ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ให้สนช. ต้องเปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณชน โดยอ้างว่า ตัวเองไม่ใช่นักการเมือง หลังศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ยึดตามมติ ป.ป.ช.
เมื่อออกมาแบบนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างเดินไปตามปฏิทินที่ต้องมีการเปิดเผยกัน ในวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคมนี้ สนช.ใครรวย ใครจน ใครซอกแซก ใครมีลับลมคมใน ได้รับรู้กันล่อนจ้อน ไม่เหลือ
แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้ คนที่โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง อย่างไรก็หนีไม่พ้น “บิ๊กกี่”และ 28 สนช. ที่ต้องรับชะตากรรมต่อจากนี้ จากการงอแง จะไม่ยอมแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อประชาชนด้วยการเปิดอกให้เห็นไส้เห็นพุง ก่อนทำเพื่อชาติ
**จริงๆ งานนี้ ต่อให้ศาลปกครองสูงสุดตัดสินใจออกมาให้ “บิ๊กกี่”และ 28 สนช. ชนะตามที่ยื่นร้อง ก็ไม่ได้ช่วยทำให้ภาพลักษณ์ที่ถูกประชาชนมองดีขึ้น เพราะตั้งแต่วินาทีที่สาธารณชนรู้ว่า มีกลุ่มผู้ทรงเกียรติ ซุ่มเงียบไปให้ศาลปกครองสูงสุดตีความในเรื่องนี้ ก็ถูกตีตราเรียบร้อยแล้วว่า เป็นพวก“อภิสิทธิ์ชน”มีเงื่อนไขพิเศษกว่าคนอื่น เพราะเรื่องทำนองนี้ ใช้ความรู้สึกและสามัญสำนึกตัดสิน ไม่ใช่ตัวบทกฎหมาย
ซึ่งการที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ฝ่าย ป.ป.ช. คว้าชัย จากที่ถูกครหาว่า หนีการตรวจสอบอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ “บิ๊กกี่”และองคาพยพผีซ้ำด้ามพลอยเข้าไปใหญ่ กลายเป็นเป้านิ่ง ที่ใครต่อใครจับจ้องและจับผิดว่า ทรัพย์สินต่างๆ ที่มีอยู่มันเป็นอย่างไร และที่มา ที่ไปอย่างไร
แต่รอบนี้อย่างไรก็ไม่มีเสมอตัวแน่ๆ เพราะต่อให้มีการเปิดเผยออกมาแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่การทำงานหลังจากนี้ของ “บิ๊กกี่”และ 28 สนช. ตามรายนาม จะโดนจับผิดทุกฝีก้าวแบบตาไม่กระพริบ ตามคิวที่สร้างความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นแล้วต่อสาธารณชน
แล้วหากไล่ส่องตามรายชื่อ 28 สนช. มันยังเหมือนเด็ดดอกไม้สะเทือนดวงจันทร์ เพราะแต่ละคนล้วนเป็นคนเด่น คนดัง ในสังคม ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นนายทหารระดับสูง ทั้งที่เกษียณอายุราชการแล้ว ทั้งที่ยังรับราชการอยู่ ที่สำคัญมีหลายคนที่ใกล้ชิดฝั่งผู้มีอำนาจที่ร่วมกันยื่นศาลปกครองสูงสุดในครั้งนี้
โดยเฉพาะ“ก๊กป่ารอยต่อ”หรือมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ที่มี “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานกรรมการมูลนิธิ
เริ่มตั้งแต่ตัว “บิ๊กกี่”ซึ่งเป็นเพื่อนรัก “บิ๊กป้อม”ที่รับรู้กันทั่ว สนช.ว่า มีกลุ่มก้อนใหญ่โตไม่เบาในฝ่ายนิติบัญญัติ พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และที่ปรึกษามูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.ต.อ.พิชิต ควรเตชะคุปต์ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) คนสนิท “บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) น้องรัก “บิ๊กป้อม” ซึ่งก็ร่วมลงชื่อในครั้งนี้ด้วย
“บิ๊กปึ้ง”พล.อ.จิรพงศ์ วรรณรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษากองทัพบก และที่ปรึกษามูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด นพ.ธำรง ทัศนาญชลี รองประธานอนุกรรมการฝ่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตราษฎร มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด “บิ๊กน้อย”พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตประธานที่ปรึกษากองทัพบก และกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ส.ว.สรรหา และกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ อดีตเสนาธิการทหารบก และกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ อดีต ผบ.หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก และรองประธานอนุกรรมการฝ่ายตรวจสอบ และประเมินผล มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด “บิ๊กอ๊อด”พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม และกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด
เรียกว่า เกือบครึ่ง เป็นคนสนิทของ “บิ๊กป้อม”ที่เป็น “ป่ารอยต่อคอนเนกชัน”แทบทั้งสิ้น ซึ่งยังไม่นับบุคคลอื่นใน 28 ราย ที่มี ความสนิทสนมกันทางใดทางหนึ่งอีก
ขณะที่คนอื่นๆ ที่ร่วมแจมลงชื่อด้วย หลายรายไม่น่าเชื่อว่า จะอิดออดเรื่องเปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ประธานสภาคณาจารย์บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งเป็นนักวิชาการที่เคยเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศกับ กปปส. นางสุวิมล ภูมิสิงหราช อดีตเลขาธิการวุฒิสภา ในสมัยที่ปรมาจารย์ด้านกฎหมาย “มีชัย ฤชุพันธุ์”เป็นประธานวุฒิสภา “บิ๊กยาว”พล.อ.ยุวนัฏ สริยกุล ณ อยุธยา อดีต ผบ.กองอัยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) รุ่นเดียวกับ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นายชัชวาล อภิบาลศรี กลุ่มก้อนเดียวกับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว หรือแม้แต่คนใกล้ตัว “บิ๊กตู่”อย่าง “บิ๊กอ้อ”พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน ที่ก็ยึกยัก ลงชื่อไม่อยากเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน
ว่ากันตามเนื้อผ้า หลายคนยังจับจ้องไปที่ “ก๊กป่ารอยต่อ”เป็นหลัก เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการตั้งแง่จากหลายส่วนเหมือนกันว่า เป็นพวกน่าระแวง ที่จะทำให้ “รัฐนาวา”ลำนี้พังเอาได้ เพราะบางคนมีโปรไฟล์ที่ไม่ได้ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เมื่อเกิดกรณีดังกล่าว จึงถือเป็นสัญญาณ สะกิดผู้นำคนที่ 29 ของประเทศไทยได้เหมือนกันว่า คำเตือนที่ลอยๆ กันมา ไม่ใช่แค่เสียงของคนขี้ระแวง แต่เป็นการมองจากภายนอก เพื่อสะท้อนออกไป
เกิดเรื่องนี้จึง ถึงคราวต้องระมัดระวังมากขึ้นอีกเท่าตัว เพราะหากเกิดบ่อยๆ ไม่ส่งผลดีต่อการทำงาน เพราะ “บิ๊กตู่”เป็นคนประกาศก้องเองว่า รัฐบาลชุดนี้จะต้องโปรงใส่ ตรวจสอบได้ และไม่มีทุจริต แต่คนในกลับกลืนน้ำลาย ชักดิ้นชักงอ จะไม่ยอมเปิดเผย
**เข้าอีหรอบหัวขบวนดี แต่ท้ายเรือแย่ ก็ล่มทั้งลำเหมือนกัน !!
เอาพี่เอาน้อง เลือกคนไว้ใจมาทำงานไม่มีใครว่า เพราะภารกิจที่วางเอาไว้มันใหญ่ยักษ์ แต่หากเลือกมาแล้วไม่ดูแลกันให้ดี ปล่อยให้แตกแถวสะเปะ สะปะ โดนโจมตีด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ จะทำให้รัฐบาลภูมิต้านทานต่ำ
จะปฏิรูปนู่นปฏิรูปนี่ แต่ก่อนอื่นต้องปฏิรูปตัวเอง และคนของตัวเองก่อน เพื่อให้สังคมเกิดความมั่นใจ ไม่ใช่จะทำนู่น ทำนี่ แต่ตัวเองไม่เป็นแบบอย่าง ไม่ต้องระแวงศัตรู ไม่ต้องระแวงคลื่นใต้น้ำที่ไหน แต่กวาดบ้าน ดูแลคนของตัวเองให้ดีก่อน งานอื่นๆ ถึงจะไปรอด คนในนี่ล่ะตัวดีเลย
เมื่อออกมาแบบนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างเดินไปตามปฏิทินที่ต้องมีการเปิดเผยกัน ในวันศุกร์ที่ 3 ตุลาคมนี้ สนช.ใครรวย ใครจน ใครซอกแซก ใครมีลับลมคมใน ได้รับรู้กันล่อนจ้อน ไม่เหลือ
แต่ที่แน่ๆ เรื่องนี้ คนที่โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง อย่างไรก็หนีไม่พ้น “บิ๊กกี่”และ 28 สนช. ที่ต้องรับชะตากรรมต่อจากนี้ จากการงอแง จะไม่ยอมแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อประชาชนด้วยการเปิดอกให้เห็นไส้เห็นพุง ก่อนทำเพื่อชาติ
**จริงๆ งานนี้ ต่อให้ศาลปกครองสูงสุดตัดสินใจออกมาให้ “บิ๊กกี่”และ 28 สนช. ชนะตามที่ยื่นร้อง ก็ไม่ได้ช่วยทำให้ภาพลักษณ์ที่ถูกประชาชนมองดีขึ้น เพราะตั้งแต่วินาทีที่สาธารณชนรู้ว่า มีกลุ่มผู้ทรงเกียรติ ซุ่มเงียบไปให้ศาลปกครองสูงสุดตีความในเรื่องนี้ ก็ถูกตีตราเรียบร้อยแล้วว่า เป็นพวก“อภิสิทธิ์ชน”มีเงื่อนไขพิเศษกว่าคนอื่น เพราะเรื่องทำนองนี้ ใช้ความรู้สึกและสามัญสำนึกตัดสิน ไม่ใช่ตัวบทกฎหมาย
ซึ่งการที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ฝ่าย ป.ป.ช. คว้าชัย จากที่ถูกครหาว่า หนีการตรวจสอบอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ “บิ๊กกี่”และองคาพยพผีซ้ำด้ามพลอยเข้าไปใหญ่ กลายเป็นเป้านิ่ง ที่ใครต่อใครจับจ้องและจับผิดว่า ทรัพย์สินต่างๆ ที่มีอยู่มันเป็นอย่างไร และที่มา ที่ไปอย่างไร
แต่รอบนี้อย่างไรก็ไม่มีเสมอตัวแน่ๆ เพราะต่อให้มีการเปิดเผยออกมาแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่การทำงานหลังจากนี้ของ “บิ๊กกี่”และ 28 สนช. ตามรายนาม จะโดนจับผิดทุกฝีก้าวแบบตาไม่กระพริบ ตามคิวที่สร้างความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นแล้วต่อสาธารณชน
แล้วหากไล่ส่องตามรายชื่อ 28 สนช. มันยังเหมือนเด็ดดอกไม้สะเทือนดวงจันทร์ เพราะแต่ละคนล้วนเป็นคนเด่น คนดัง ในสังคม ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นนายทหารระดับสูง ทั้งที่เกษียณอายุราชการแล้ว ทั้งที่ยังรับราชการอยู่ ที่สำคัญมีหลายคนที่ใกล้ชิดฝั่งผู้มีอำนาจที่ร่วมกันยื่นศาลปกครองสูงสุดในครั้งนี้
โดยเฉพาะ“ก๊กป่ารอยต่อ”หรือมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ที่มี “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานกรรมการมูลนิธิ
เริ่มตั้งแต่ตัว “บิ๊กกี่”ซึ่งเป็นเพื่อนรัก “บิ๊กป้อม”ที่รับรู้กันทั่ว สนช.ว่า มีกลุ่มก้อนใหญ่โตไม่เบาในฝ่ายนิติบัญญัติ พล.อ.ไพโรจน์ พานิชสมัย อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และที่ปรึกษามูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.ต.อ.พิชิต ควรเตชะคุปต์ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) คนสนิท “บิ๊กป๊อด”พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) น้องรัก “บิ๊กป้อม” ซึ่งก็ร่วมลงชื่อในครั้งนี้ด้วย
“บิ๊กปึ้ง”พล.อ.จิรพงศ์ วรรณรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษากองทัพบก และที่ปรึกษามูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด นพ.ธำรง ทัศนาญชลี รองประธานอนุกรรมการฝ่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตราษฎร มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด “บิ๊กน้อย”พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตประธานที่ปรึกษากองทัพบก และกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ส.ว.สรรหา และกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ อดีตเสนาธิการทหารบก และกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ อดีต ผบ.หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก และรองประธานอนุกรรมการฝ่ายตรวจสอบ และประเมินผล มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด “บิ๊กอ๊อด”พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ อดีตประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม และกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด
เรียกว่า เกือบครึ่ง เป็นคนสนิทของ “บิ๊กป้อม”ที่เป็น “ป่ารอยต่อคอนเนกชัน”แทบทั้งสิ้น ซึ่งยังไม่นับบุคคลอื่นใน 28 ราย ที่มี ความสนิทสนมกันทางใดทางหนึ่งอีก
ขณะที่คนอื่นๆ ที่ร่วมแจมลงชื่อด้วย หลายรายไม่น่าเชื่อว่า จะอิดออดเรื่องเปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ประธานสภาคณาจารย์บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งเป็นนักวิชาการที่เคยเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศกับ กปปส. นางสุวิมล ภูมิสิงหราช อดีตเลขาธิการวุฒิสภา ในสมัยที่ปรมาจารย์ด้านกฎหมาย “มีชัย ฤชุพันธุ์”เป็นประธานวุฒิสภา “บิ๊กยาว”พล.อ.ยุวนัฏ สริยกุล ณ อยุธยา อดีต ผบ.กองอัยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) รุ่นเดียวกับ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นายชัชวาล อภิบาลศรี กลุ่มก้อนเดียวกับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว หรือแม้แต่คนใกล้ตัว “บิ๊กตู่”อย่าง “บิ๊กอ้อ”พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน ที่ก็ยึกยัก ลงชื่อไม่อยากเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน
ว่ากันตามเนื้อผ้า หลายคนยังจับจ้องไปที่ “ก๊กป่ารอยต่อ”เป็นหลัก เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการตั้งแง่จากหลายส่วนเหมือนกันว่า เป็นพวกน่าระแวง ที่จะทำให้ “รัฐนาวา”ลำนี้พังเอาได้ เพราะบางคนมีโปรไฟล์ที่ไม่ได้ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เมื่อเกิดกรณีดังกล่าว จึงถือเป็นสัญญาณ สะกิดผู้นำคนที่ 29 ของประเทศไทยได้เหมือนกันว่า คำเตือนที่ลอยๆ กันมา ไม่ใช่แค่เสียงของคนขี้ระแวง แต่เป็นการมองจากภายนอก เพื่อสะท้อนออกไป
เกิดเรื่องนี้จึง ถึงคราวต้องระมัดระวังมากขึ้นอีกเท่าตัว เพราะหากเกิดบ่อยๆ ไม่ส่งผลดีต่อการทำงาน เพราะ “บิ๊กตู่”เป็นคนประกาศก้องเองว่า รัฐบาลชุดนี้จะต้องโปรงใส่ ตรวจสอบได้ และไม่มีทุจริต แต่คนในกลับกลืนน้ำลาย ชักดิ้นชักงอ จะไม่ยอมเปิดเผย
**เข้าอีหรอบหัวขบวนดี แต่ท้ายเรือแย่ ก็ล่มทั้งลำเหมือนกัน !!
เอาพี่เอาน้อง เลือกคนไว้ใจมาทำงานไม่มีใครว่า เพราะภารกิจที่วางเอาไว้มันใหญ่ยักษ์ แต่หากเลือกมาแล้วไม่ดูแลกันให้ดี ปล่อยให้แตกแถวสะเปะ สะปะ โดนโจมตีด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ จะทำให้รัฐบาลภูมิต้านทานต่ำ
จะปฏิรูปนู่นปฏิรูปนี่ แต่ก่อนอื่นต้องปฏิรูปตัวเอง และคนของตัวเองก่อน เพื่อให้สังคมเกิดความมั่นใจ ไม่ใช่จะทำนู่น ทำนี่ แต่ตัวเองไม่เป็นแบบอย่าง ไม่ต้องระแวงศัตรู ไม่ต้องระแวงคลื่นใต้น้ำที่ไหน แต่กวาดบ้าน ดูแลคนของตัวเองให้ดีก่อน งานอื่นๆ ถึงจะไปรอด คนในนี่ล่ะตัวดีเลย