xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปฏิรูปพลังงาน ภาค ปตท.หรือ ปชช. ทางธุดงค์ที่ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ต้องเลือก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ด้วยเป้าประสงค์ในการตั้งธง “แปรรูปธุรกิจพลังงาน” เพื่อรองรับ “การปรับขึ้นราคาของพลังงานทั้งระบบ” โดยอาศัยการปฏิรูปพลังงานเป็นฉากบังหน้าของผู้มีอำนาจที่ฉายชัดตั้งแต่แรก จึงไม่แปลกที่ได้เห็นการตัดสินใจแต่งตั้ง นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ ตัวแทนกลุ่มทุนพลังงานในคราบกุนซือ กปปส. ขึ้นเป็นประธานบอร์ด บมจ.ปตท. พร้อมทั้งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ด้านพลังงานร่วมกับเทคโนแครตพลังงานที่มีผลงานชัดเจนในเรื่องการแปรรูปอีกหลายต่อหลายคน

ตามมาด้วยการอนุมัติให้แยกท่อก๊าซออกไปตั้งบริษัทใหม่โดยให้ ปตท.ถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ท่อก๊าซนั้นมีส่วนที่ยังเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ปตท.ทำเนียนฮุบเอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว

ตามมาติดๆ ด้วยการเร่งรัดเปิดสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 โดยไม่ได้พูดถึงข้อเสนอของภาคประชาชนในเรื่องการจ้างผลิต ซึ่งประเทศชาติจะได้ประโยชน์มากกว่า

และการปรับขึ้นราคาพลังงานทั้งระบบ ทั้งก๊าซ น้ำมัน

ถึงแม้บางเรื่องจะยังสะดุด และบางเรื่องยังทำไม่สำเร็จสะเด็ดน้ำในเวลานี้ก็ตาม แต่ช้าเร็ว ก็ต้องทำแน่

ดังจะเห็นได้จากการที่ คสช.เปิดโอกาสให้เทคโนแครตด้านพลังงานออกโทรทัศน์เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจหรืออาจจะใช้คำว่าโฆษณาชวนเชื่อมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคประชาชนกลับโดนบล็อกอย่างสิ้นเชิงในการปรากฏตัวทางสื่อสาธารณะ

นี่ไม่นับรวมถึงการมีคำสั่งให้ “ขาหุ้นปฏิรูปพลังงาน” หยุดเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ

เมื่อธงนำเป็นเช่นนี้แล้ว แรงต้านจากภาคประชาชนจึงหนักหน่วง รุนแรง และขยายวงกว้างมากเป็นลำดับ เพราะประจักษ์แล้วว่า โอกาสที่จะปฏิรูปพลังงานให้เป็นไปตามที่ใฝ่ฝันเลือนรางลงไปทุกที ขณะเดียวกันก็เฝ้าจับตาทุกความเคลื่อนไหวที่มาพร้อมกับเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ลับ ลวง ล่อ หลอกให้ภาคประชาชนหลงกล

และนี่คือปัญหาใหญ่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ปตท. ซึ่งมีนายปิยะสวัสดิ์เป็นหัวเรือใหญ่ต้องเร่งคลี่คลายให้จงได้ โดยมีเป้าหมายให้ภาคประชาชนกับ ปตท.และกลุ่มข้าราชการ มาถาม-ตอบในเวทีเดียวกันทั้งนี้ เพื่อเข้าร่วมฉากสร้างความชอบธรรมและเพื่อลดกระแสต่อต้านของสังคมที่แรงขึ้นเป็นลำดับ หาใช่เวทีที่จะรับฟังความคิดเห็น รับฟังข้อมูลที่ภาคประชาชนต้องการให้เกิดการปฏิรูปพลังงานอย่างที่หัวหน้าคสช.เคยทำเป็นใจกว้างว่า มีอะไรให้มาพูดคุยกัน

คำถามก็คือ แล้วใครคือผู้ที่จะสามารถเป็น “จิ๊กซอว์” คนสำคัญที่จะสามารถเชื่อมโยงและคลี่คลายสถานการณ์ได้ โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของคนๆ นี้ก็คือ จะต้องเป็นคนที่นอกจากจะเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของภาคประชาชนแล้ว ยังต้องสามารถพูดคุยกับภาครัฐได้รู้เรื่องอีกด้วย

แน่นอน ทอดตาทั่วแผ่นดินแล้วคนๆ นั้นจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจากหลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม

ทำไมจึงต้องเป็นหลวงปู่พุทธะอิสระ?

เหตุผลข้อที่หนึ่ง เชื่อว่ายังคงจำกันได้กับเหตุการณ์เมื่อครั้งที่หลวงปู่นำชาวนกหวีด กปปส. ที่เวทีแจ้งวัฒนะที่โดดเด่น แปลก แตกต่างจากเวทีอื่นๆ โดยเฉพาะการลุกขึ้นมาประกาศกร้าวจะต้องปฏิรูปพลังงานเสียใหม่ให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด จนมีสโลแกน “ปฏิรูปประเทศไทย หัวใจคือปฏิรูปพลังงาน” ปลุกเร้าให้เลือดในกายชาวนกหวีดสูบฉีดซาบซ่านไปด้วยความหวัง จึงทำให้สปอร์ตไลท์ฉายจับไปที่หลวงปู่นับแต่นั้น

หากยังจำกันได้ไม่ลืม บรรดาแกนนำขาหุ้นปฏิรูปพลังงานและแกนนำกลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานบางคน ก็ไปช่วยหลวงปู่ปลุกปล้ำทำพิมพ์เขียวปฏิรูปพลังงานออกมาเสียสวยหรู

ดังนั้น ฝั่งภาคประชาชนรับได้และเป็นฝ่ายที่มาขอให้หลวงปู่ช่วยจัดเวทีให้ เนื่องจากเห็นท่าทีเอาจริงเอาจังตอนอยู่ที่เวทีแจ้งวัฒนะที่หลวงปู่ไปไกลถึงขนาดทำพิมพ์เขียวปฏิรูปพลังงาน และจะตั้งเครื่องกลั่นน้ำมันขายให้ประชาชนในราคาย่อมเยา หักหน้ายักษ์ใหญ่ เครือปตท. ที่ผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของประเทศ ตอนนั้นใครๆ ต่างก็ยกนิ้วให้หลวงปู่ เชียร์หลวงปู่แน่มาก

แต่อย่าลืมว่า “ภาคประชาชน” ที่เคลื่อนไหวเรื่องพลังงานเวลานั้นก็มีอยู่หลายกลุ่มหลายพวก อย่างตัวละครเอกที่แกนนำ กปปส. ตัวแทนของมวลมหาประชาชน ภูมิใจนำเสนอให้เดินเรื่องปฏิรูปพลังงานก็คือ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ผู้ซึ่งวันก่อนอยู่ในคราบของภาคประชาชน กปปส. แต่วันนี้กลับกลายเป็นประธานบอร์ด ปตท.ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามประชาชนไปเสียแล้ว

เหตุผลข้อที่สอง ความที่หลวงปู่เป็นเกจิอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหานับถือศรัทธามากมายทั่วทุกวงการ วงการสื่ออย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ก็ใช่ นายทหารระดับบิ๊ก ก็ใช่ เมื่อทหารขึ้นมาเป็นใหญ่ ก็ต้องอาศัยบารมีหลวงปู่มาช่วยจัดการเรื่องยากๆ อย่างเรื่องพลังงาน เพื่อให้สองฟากฝั่งนั่งคุยกันได้

แน่นอน หลวงปู่ก็คงไม่ปฏิเสธคำขอของ คสช.ที่ให้เข้ามาช่วยงานนี้ เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า คสช.หลายคนคือลูกศิษย์ของหลวงปู่ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธความจริงในข้อนี้

เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2555 พี่น้องบูรพาพยัคฆ์ครบทีมนับตั้งแต่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พลเอกสมทัต อัตตะนันทน์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และอดีต ผบ.ทบ. พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในขณะนั้นก็มาเป็นประธานเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก "ปกเกล้า ปกแผ่นดิน" และยกองค์ฐานองค์พระฯขึ้นประดิษฐาน ที่วัดอ้อน้อย ตามคำเชิญของหลวงปู่ที่ทำตามความเชื่อคนสมัยโบราณเวลาสร้างหลักบ้านหลักเมืองหรือขึ้นบ้านใหม่จะเลือกคนมีบุญญาธิการ บุญบารมี หรือไม่ก็มียศฐาบรรดาศักดิ์มาเป็นผู้ยกหลักเมือง หลักบ้านหรือเสาเอก

ข่าวล่ามาเร็วอัพเดทด้วยว่า เวลานี้ไม่เพียงแต่ผู้นำสื่อและบิ๊กทหารที่เท่านั้นที่เป็นลูกศิษย์ แม้แต่นายปิยสวัสดิ์ ก็เกิดเลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ขึ้นมากะทันหัน และได้เดินทางไปวัดอ้อน้อย ฝากตัวเป็นศิษย์รักของหลวงปู่อีกคนแล้ว

และเมื่อบิ๊กทหารส่งหลวงปู่มาช่วยเป็นตัวกลางบนเวที และหลวงปู่มีลูกศิษย์คนใหม่เป็นถึงประธานบอร์ด ปตท. ผู้ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. เป็นคนตั้งมากับมือ ดังนั้น ฝั่งผู้ตอบคำถามที่มีนายปิยสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าทีม พรักพร้อมไปด้วยผู้บริหารปตท.และข้าราชการระดับสูง ต่างมาขึ้นเวทีด้วยความยินดีอย่างยิ่ง โดยหวังว่าหลวงปู่จะช่วยทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามธงที่มีอยู่ในใจภายใต้ข้อตกลงซึ่งภาคประชาชนจำต้องรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เวทีการเสวนาปฏิรูปพลังงานครั้งที่ 1 ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ณ สโมสรกองทัพบก และมีหลวงปู่เป็นที่ดำเนินรายการ ก็เป็นไปในท่วงทำนองเช่นนี้ กระทั่งเกิดปัญหาและเห็นเค้าลางแห่งความหายนะรออยู่เบื้องหน้า

ซ้ำร้ายเมื่อตกลงปลงใจให้มีการเสวนาครั้งที่ 2 เงื่อนไขในการเข้าร่วมเวทีเสวนาจากภาคประชาชนก็เขม็งเกลียวมากกว่าเก่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การให้ภาคประชาชนส่งคำถามล่วงหน้า และให้เฉพาะแค่ถามคำถามเท่านั้น โดยไม่ให้ภาคประชาชนมีการอภิปรายเพื่อนำเสนอข้อมูลไปพร้อมๆ กัน

ปรากฏการณ์วงแตกบนเวทีเสวนาปฏิรูปพลังงานครั้งที่ 2 จึงบังเกิดขึ้น ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ในเมื่อธงของทั้งสองฝ่ายเป็นคนละเรื่องกัน

ในช่วงของการเสวนา ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อนายวีระ สมความคิด ตัวแทนภาคประชาชน นำรายงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในการตรวจสอบประเมินผลการใช้เงินกองทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ที่นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ จึงเห็นว่าควรยกเลิกกองทุนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ราคาน้ำมันลดลง ส่งผลให้นายปิยสวัสดิ์ แสดงความไม่พอใจ โดยกล่าวว่า ถ้าคิด ว่าใครทำผิดก็ควรไปฟ้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ควรมาเห่าหอนข้างนอก

บรรยากาศในช่วงดังกล่าว มีดังนี้

วีระ : เอกสารนะครับที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินนะครับ ได้ตรวจสอบประเมินผลกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนะครับ เอกสารเจ้าหน้าที่ขึ้นจอด้วยครับ จะได้เห็น เดี๋ยวจะหาว่าเราไปกล่าวหาโดยที่ไม่มีหลักฐาน เพราะว่าตรงนี้ สตง.ได้ตรวจสอบประเมินผลแล้วนะครับ เป็นการใช้จ่ายเงินที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน ...... หลักฐานทั้งหมดนี่ สตง.ชี้มาเลยบอกว่าเป็นการใช้จ่ายเงินที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์กองทุน อันนี้ตัวอย่างนะครับ มันมีจำนวนมาก นี่ผมยกตัวอย่างสั้นๆ ชี้ให้เห็น มันมีค่าแต่งตัว ค่าเสื้อผ้า ทั้งหมด ...

หลวงปู่พุทธะอิสระ : ขออนุญาตหน่อยได้ไหม...

วีระ : เดี๋ยวครับหลวงปู่ครับ ถ้าผมพูดยังไม่จบ หลวงปู่จะไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวข้องอะไร นะครับ

หลวงปู่พุทธะอิสระ : ไม่ ไม่ เราตกลงกันแล้วว่า เราจะหาทิศทางพลังงานของบ้านเมือง ไอ้ที่คุณถาม คุณเอาไปขึ้นศาลได้ไหม?

วีระ : หลวงปู่ครับ ตรงนี้จะชี้ให้ประชาชนเห็นครับว่า ถ้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ได้ทำตามวัตถุประสงค์แล้วเก็บเงินไปลิตรละเฉลี่ย 25 สตางค์ ที่มันเก็บอยู่ ...
หลวงปู่พุทธะอิสระ : แล้วไป สตง.ได้ไหม

วีระ : ถ้าไม่เก็บได้ไหม มันได้ประโยชน์ปีละ 8 พันล้านถึงหมื่นกว่าล้านเนี่ย มันเก็บจากเราใช้น้ำมันทุกลิตรนะครับ นี่เรากำลังพูดถึงนะครับว่า มันมีรายละเอียดจำนวนมาก ผมไม่อยากใช้เวลามาก แต่สรุปว่ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ไม่มีประโยชน์ และมันเป็นต้นทุนของน้ำมัน ถ้ายกเลิกออกไป เพราะมันไปใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ เอาไปใช้สุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายผิดประเภทต้องคืนเงินให้รัฐ เดี๋ยวต้องตามคืนเงินกันอีกจำนวนมากมาย สตง.เขายืนยันแล้วนะครับ นี่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าไม่เก็บได้ไหม ยกเลิกได้ไหม?

ใครที่ได้รับชมและรับฟังก็จะเห็นได้ว่า มีการตัดบทและเบรกคำถามอยู่ตลอดเวลา

ด้วยเหตุดังกล่าว ภาคประชาชนจึงติดสินใจวอล์กเอาท์เนื่องเพราะผิดหวังกับเวทีการเสวนาที่เสมือนหนึ่งเป็นการฟอกตัวให้กับ ปตท.

หลังการเสวนา น.ส.รสนา โตสิตระกูล รวมถึงนายวีระ สมความคิด ตลอดรวมถึงตัวแทนจากภาคประชาชนคนอื่นๆ จึงได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อแสดงความรู้สึกผิดหวังบทเวทีการเสวนาที่กลายเป็นเวทีการฟอกตัวให้กับ ปตท.

แน่นอน เป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างอะไรกับประชาชนที่เฝ้าติดตามเวทีการเสวนาดังกล่าวเช่นเดียวกัน

ในที่สุดก็ร้อนถึงหลวงปู่ที่เมตตาลูกศิษย์ทั้งสองฝ่ายต้องออกมาชี้แจงแถลงไขเพื่ออธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านฟซบุ๊ก “หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)” โดยใช้ชื่อว่า “ทำไมไม่ถาม ทำไมถึงถาม” เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2557

หลวงปู่พุทธะอิสระโพสต์ เอาไว้อย่างน่าสนใจในบางช่วงบางตอนว่า...

“ช่างน่าชื่นชมนักกับบรรดานักสู้เพื่อพลังงานทุกท่าน ที่เสียสละเวลาและความสุขอุทิศให้แก่ชาติประชาชน มาช่วยกันตั้งประเด็นคำถาม เพื่อค้นหาคำตอบ แม้จะไม่ค่อยตรงใจฉันนัก ผิดหวังบ้าง แต่ก็ยังเป็นต้นแบบของผู้เสียสละทำเพื่อชาติ...ประชาชน เป็นตัวอย่างที่คนรุ่นหลังจะได้เดินตาม เป็นความงดงามของสังคมไทย

“ที่ฉันกล่าวว่ารู้สึกผิดหวังบ้างนั้นเพราะฉันหวังเอาไว้ก่อนออกจากวัด หวังเอาไว้ตอนรับปากว่าจะเป็นประธานในการถามตอบปัญหาพลังงาน ด้วยมุ่งหวังที่จะหาทิศทางพลังงานของชาติอย่างยั่งยืน เอาไว้ให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานชั้นหลังๆ แต่แล้วคำถามที่พรั่งพรูออกมาจากปากบรรดานักสู้ทั้งหลายกลับไม่ตรงใจฉันเลย จะมีก็แต่คำถามของคุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และคุณรุ่งชัย จันทสิงห์ ที่พอจะพึ่งพาอาศัยได้ในอนาคต...

“ฉันสู้อุตส่าห์ยอมรับเป็นผู้ดำเนินรายการควบคุมเวทีเสวนาชี้ทิศทางพลังงานประเทศไทย ด้วยหัวใจที่พองโต เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่า เป็นการดียิ่งที่ได้มีโอกาสทำงานเพื่อชาติเพื่อประชาชน โดยหวังว่าการจัดเสวนาในครั้งนี้ จะนำมาซึ่งพลังงานราคาถูกให้แก่คนทั้งแผ่นดิน จะนำมาซึ่งทิศทางพลังงานของประเทศไทยที่ยั่งยืน จะนำมาซึ่งความรู้ความเข้าใจถึงปริมาณพลังงานที่มีอยู่ในแผ่นดินไทยอย่างแท้จริง จะนำมาซึ่งการลดความสูญเสียงบประมาณและพลังงานอย่างพร่ำเพรื่อ ซ้ำซ้อน จะนำมาซึ่งการสงวนพลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัด เอาไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานไทยในอนาคต และสุดท้ายต้องการกระตุ้นเตือนให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้องมีส่วนรับผิดชอบค้นคว้าแสวงหาพลังงานทางเลือก เพื่อให้เป็นทางรอดของลูกไทยหลานไทยในอนาคต

“ฉันจัดเวทีเสวนามิได้ต้องการให้ใครมาใช้เวทีนี้เพื่อหาคนผิด ใครจะผิดใครจะถูกหากมีหลักฐาน ควรต้องไปว่ากันในชั้นศาลสถิตยุติธรรม อย่ามาใช้เวทีสาธารณะที่ฉันสู้อุตส่าห์จัดขึ้นเพื่อประโยชน์สาธารณะ มาแสดงความรู้ความสามรถในการซักฟอก อภิปราย อวดภูมิ ให้ดูดี โดยชาติประชาชนแทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไร หรืออาจจะได้ สำหรับฉันแล้วมันไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป ฉันคิดว่าประชาชนคนที่สู้อุตส่าห์เดินทางมาจากบ้านอย่างยากลำบากเขาต้องการรับฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ ให้เกิดขึ้นแก่ชาติบ้านเมือง และหากเป็นผู้ไม่มีอคติในใจ ไม่ตั้งธงเอาไว้ว่าใครผิดใครถูก และพร้อมรับฟังทั้งสองฝ่าย เขาควรจะได้อะไรมากกว่าการมานั่งฟังคนทะเลาะกัน

“หากฉันทำผิดอะไร ทำให้ใครไม่สบายใจ ฉันก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย แต่ฉันมั่นใจว่า ชั่วชีวิตฉันไม่เคยทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์แน่นอน”

เมื่อหลวงปู่ได้ออกมาไขข้อสงสัยกันถึงขนาดนี้ คงต้องบอกว่า “เย็นกันไว้โยม” หนังเรื่องนี้คงต้องดูกันยาวๆ ส่วนใครจะใช้พระสงฆ์เป็นเครื่องมือหรือมีจิตเจตนาไม่บริสุทธิ์ประการไม่ทราบได้ รู้แต่เพียงว่า เวรกรรมมีจริงและสักวันเวรกรรมจะตามทันอย่างแน่นอน

ขณะที่ตัวหลวงปู่เองนั้น ถึงตรงนี้ ถ้าหากเปรียบกับการธุดงค์ หลวงปู่ก็เดินมาถึงจุดที่ต้องเลือกทางเดินแล้วว่า จะเดินไปในเส้นทางใด ระหว่างทางเดินของภาคประชาชนกับทางเดินของบรรษัทพลังงานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้



หลวงปู่พุทธะอิสระ ขณะทำหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินรายการ“ถาม-ตอบพลังงาน” ณ ห้องประชุมกองทัพบก ถ.วิภาวดี เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2557
ลูกศิษย์สายทหารของหลวงปู่พุทธะอิสระที่เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองขณะเดินทางมาเป็นประธานเททองหล่อพระเกตุมาลาพระนาคปรก ปกเกล้า ปกแผ่นดิน และยกองค์ฐานองค์พระฯขึ้นประดิษฐาน ที่วัดอ้อน้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น