ผู้บริหารช่อง 3 ยันยินดีออกอากาศคู่ขนาน แต่ไม่อยากทำผิดกฎหมาย แถไม่เอาคนดูเป็นตัวประกัน เพราะละครช่อง 3 ไม่ใช่พรีเมียมคอนเทนต์ อ้างฉายฟุตบอลช่อง HD เรตติ้งยังสูงกว่า เผยหากถึงเวลาจอดำยอมขาดทุน คืนเงินให้ลูกค้า 70 เปอร์เซ็นต์ วอนขอความเมตตาจากศาล
หลังจากในช่วงเช้าวานนี้(24 ก.ย.) ได้เกิดกระแสฮือฮาในโลกโซเชียล เพราะเหล่านักแสดงและผู้จัดช่อง 3 ผู้ประกาศข่าว รวมถึงทีมงานและผู้เกี่ยวข้องได้พร้อมใจกันกระหน่ำแชร์ข้อความกระจายในอินสตาแกรม โดยระบุ ขอให้แฟนๆรอฟังคำชี้แจงจากช่อง 3 ที่จะแถลงข่าวทุกประเด็น ว่าช่อง 3 จะจอดำบนโครงข่ายเคเบิ้ลดาวเทียมตามมติบอร์ดกสท. ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ เวลา 17.00 น. ทำให้ประชาชนเฝ้ารอคอยช่วงเวลาดังกล่าวกันอย่างใจจดจ่อ
โดยปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาดังกล่าว“สรยุทธ สุทัศนะจินดา”พิธีกรรายการ ก็ได้เปิดโอกาสให้ นายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการบริหารช่อง 3 และ นายฉัตรชัย เทียนทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน ได้ชี้แจงถึงทุกประเด็นที่เป็นข้อสงสัยทางสังคม เผยเหตุผล ช่อง 3 อนาล็อก ไม่สามารถออกอากาศคู่ขนานช่องดิจิตอล เพราะติดขัดเงื่อนไขบางประการ นั่นคือบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ หรือ ช่อง 3 อนาล็อก และ บริษัทบีอีซี มัลติมีเดีย หรือ ช่อง 3 ดิจิตอล อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ บริษัท บีอีซีเวิลด์ อาจมีผลต่อใบอนุญาตสัมปทานช่อง 3 อนาล็อก เพราะถือว่าผู้ถือใบอนุญาต ไม่ได้บริหารจัดการเอง แต่ถ้าช่อง 3 ยืนยันว่า เป็นบริษัทเดียวกันทั้งหมด การออกอากาศคู่ขนานก็สามารถทำได้ ไม่ผิดข้อกฎหมาย ซึ่งแตกต่างจากช่อง 7 อีกทั้งการออกอากาศคู่ขนาน ไม่ใช่นโยบาย กสท.โดยตรง และไม่มีการเตรียมการโดยตรง ทำให้กลายเป็นอุปสรรค
นายสรยุทธได้ถามผู้บริหารว่า แสดงว่าการออกอากาศคู่ขนานนั้น ไม่เคยรับรู้มาก่อน นายฉัตรชัย ก็ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ทางตนมีเอกสารที่ทาง กสท.เคยเปรยเอาไว้ว่า ให้คู่ขนานเปลี่ยนผ่านสามช่อง แต่ไม่มีนโยบายให้ออกคู่ขนานหลังการประมูล ตนเคยแอบซูมดูแล้ว ไม่มีนโยบายดังกล่าว แต่ถึงจะมีนโยบาย ก็ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะขนาดประมูลสามจี ก็ยังตั้งบริษัทใหม่ไปประมูล ฉะนั้นช่อง 3 ก็ไม่ได้ต่างกัน
ส่วนกรณีที่ช่อง 7 สามารถออกคู่ขนานได้ เพราะเป็นบริษัทนิติบุคคลเดียวกัน ส่วนช่อง 3 ไม่สามารถใช้ชื่อ บริษัทบางกอกฯ ประมูลเพราะมีอุปสรรคในสัญญาเดิมกับทาง อสมท. และผิดกฎหมาย มาตรา 9 ทำให้ไม่สามารถออกอากาศคู่ขนานได้เช่นเดียวกัน โดยเมื่อวันอังคาร ที่ผ่านมาได้ไปพบ กสท. และเรียนถามว่า ที่จะให้ไปออกคู่ขนาน ตกลงเราทำได้โดยถูกกฎหมายหรือไม่ กฎหมายอนุญาตหรือเปล่า กรรมการท่านหนึ่งอ้างมาตรา 9 ว่า เท่ากับผิดกฎหมาย ส่วนกรรมการอีกท่านบอกเป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งได้กลายเป็นข้อถกเถียง และไม่มีข้อสรุปถึงเรื่องดังกล่าว คณะกรรมการจึงขอเวลากลับไปพิจารณาอีกครั้ง โดยเรารู้ว่า ผิดกฎหมาย
ขณะที่นายประวิทย์ ได้กล่าวเสริมว่า "อีกสามปี หากกรรมการ กสท.เปลี่ยน ถ้าเราดำเนินการเอง กสท. บางคนบอกผิดกฎหมาย อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับทางช่อง 3 มันไม่แน่นอน ก็ให้ออกมาเป็นคำสั่ง ถ้าผ่านเงื่อนไขอันนี้ไปแล้ว เราค่อยมาคุยเรื่องรองลงมา การเยียวยาหรืออะไร เป็นประเด็นรอง เอากฎหมายก่อน เราไม่อยากมีวิบากกรรมในอนาคต ยกตัวอย่าง อสมท. เพิ่งรับรองการสัมปทานช่อง 3 เมื่อต้นปี แต่ผ่านไปไม่กี่วัน มีคนไปยื่นให้ตรวจสอบการสัมปทานช่อง 3 หากบอกการกระทำเราผิดกฎหมาย แล้วใครเสียหาย"
นอกจากนี้ นายสรยุทธ ยังได้ถามถึงประเด็นช่อง 3 เป็นตัวถ่วงของการเปลี่ยนผ่านอนาล็อก หรือไม่ ผู้บริหารได้ชี้แจงว่า รายได้อยู่ที่อนาล็อก ไม่ได้อยู่ที่ดิจิตอล ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นคือ ติดขัดเรื่องกฎหมาย เพราะไม่มีนโยบายคู่ขนานมาก่อน เรื่องหลักคือ ขอให้แก้กฎหมาย ส่วนเรื่องเยียวยาค่อยมาคุยกันทีหลัง หากมองว่า ช่อง 3 เป็นตัวถ่วง ขอย้อนไปอีกนิดว่า เรากลัวการแข่งขันหรือไง ต้องเรียนว่า ตอนนี้ 70 เปอร์เซ็นต์ รับชมจากดาวเทียม และเคเบิ้ล ซึ่งอยู่ในสนามแข่งขันเดียวกันอยู่แล้ว ไม่มีใครกลัวการแข่งขัน ทุกคนมีความมั่นใจ แต่สิ่งที่ทำให้ยุ่งยาก คือกฎหมาย หากเคลียร์ตรงนี้ได้ ตนพร้อมไปออกอากาศคู่ขนานทันที ยันทุกวันนี้เสียเปรียบ เพราะกินงบโฆษณาตัวเอง หากตนไปออกคู่ขนาน ก็ยังอยู่ในกล่องเดียวกัน ถามว่าได้ประโยชน์อะไร ตราบใดที่กล่องยังไม่ได้แจก
นายสรยุทธ ได้สอบถามต่อถึงกรณี “ติดกระดุมผิดเม็ด”ว่า หมายความว่าอย่างไร ผู้บริหารได้ชี้แจงว่า ทุกวันนี้อยู่ในสนามเดียวกันอยู่แล้ว แต่ขอให้แก้ข้อกฎหมาย หากเปลี่ยนผ่านตรงนี้ได้ เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายพร้อมแข่งขัน แต่เพราะคูปองยังไม่แจก โครงข่ายไม่ได้เป็นไปตามแผน มันก็เหมือนติดกระดุมผิดเม็ด ฉะนั้นต้องเดินเรื่องโครงข่ายให้พร้อมก่อน แจกคูปองเพื่อแลกกล่องมาให้พร้อมก่อน ทุกวันนี้เน้นผู้ประกอบการทีวีเกินไป ไม่มีเวลาให้เตรียมตัว ในขณะที่คูปองกล่องก็ยังไม่แจก ห้าเดือนเหมือนนักมวย ชกเลย โดยไม่มีสนาม ไม่มีคนดู ชกกันมาห้าเดือน ทุกคนก็หมดแรงกันหมดแล้ว
" ผมไม่โทษใครนะ ผมโทษว่ามันมีอุปสรรค เรามองประเด็นไม่ถูก ทุกอย่างที่ทำไปแต่ต้น มันทำไปเสียเปล่า เพราะเราลงทุนไปทุกอย่าง ไม่มีคนดู ไม่มีรายได้ เห็นใจนะครับ เพราะย้อนกลับไปตอนเขาประมูลช่องไอทีวี เขามีช่วงให้ไปจัดหาเครื่องมือเตรียมตัว มีช่วงทดลองออกอากาศ ช่วงตรงนี้หนึ่งปี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ให้เตรียมพร้อมแล้วให้ทดลองออกอากาศ แต่ของเราประมูลได้ ได้ใบอนุญาตแล้วนับหนึ่งเลย ต้องทำคอนเทนต์ ตามกฎเกณฑ์กำหนด ทำให้ต้องมาแข่งขันกันดุเดือดทั้งที่สนามยังไม่มีความพร้อม"
" เราประมูลมา 3 ช่อง บวกอีกหนึ่งช่องอนาล็อก เรามี 4 ช่อง ผมถามว่าเป็นทางเลือกดีกว่าไหม ประเด็นที่สอง เรามีแผนธุรกิจว่าช่องเอชดี เราจะทำเป็นพรีเมี่ยม ทำรายการที่มีความคมชัดมมากๆ อย่างกีฬา มาอยู่ในช่องนี้ จำเป็นว่าต้องเป็นละครทุกช่องไหม ในเมื่อผมมีละครช่อง 3 อยู่แล้ว ช่องเอชดี ก็เหมือนเป็นทางเลือก อย่างนั้นไม่ดีกว่าหรือ ทำไมไม่รอให้ผมมีความพร้อมสักพัก ผมเอาละครไปลงเอชดี ก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อม เพราะผมทำไม่ทัน"
นายสรยุทธ ถามต่อว่า เพราะรอให้คนอื่นแข่งกันจนล้มตาย แล้วทำไมไม่เอามาอยู่ดิจิตอล นายประวิทย์ ได้ชี้แจงว่า ตั้งแต่ทำละครมา 40 กว่าปี มีแค่ละคร 2 เรื่อง ที่เรตติ้งสูงสุด โดยทั่วไปเรตติ้งถัวเฉลี่ยประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่มีทีวีดูละคร ในขณะที่ฟุตบอล ถ้าอยู่ในเวลาเดียวกัน เรตติ้งถึง 8 มากกว่าละครด้วยซ้ำ อย่าไปมองว่าละคร คือพรีเมียม ฟุตบอลหลายแมตซ์พรีเมี่ยมมากกว่าอีก ถ้าเรียกร้องให้ละครอยู่ช่องเอชดี วันหนึ่งจะทำให้ นี่คือแผนธุรกิจ ทางเราทำไมไม่อยากได้เปรียบคู่แข่ง แต่เราอยากทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าวันนี้พร้อม แก้อุปสรรคเรื่องกฎหมายก่อน เชื่อว่า การต่อรองเรื่องนี้จะน้อยมาก
ผู้บริหารยืนยันแผนหลังจากนี้ หากช่อง 3 จอดับบนดาวเทียม เคเบิ้ล ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะไม่มีอำนาจในการเรียกร้องอะไร ยอมรับว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ขอร้องว่าอย่าทำกันเลย
"ความเสียหายคือ คนดู 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เราทนุถนอมมาตลอด 40 ปีจะหายไปในพริบตา เราบอกลูกค้าว่า ถ้าจอดับเมื่อไหร่ เราจะคืนเงินให้ 70 เปอร์เซ็นต์ สถานการณ์จากดีๆ ก็จะขาดทุนทันที ขอเคลียร์ข้อหาว่า เราจับตัวคนดูเป็นตัวประกัน เคยดูหนัง เขาทำร้ายตัวเองนะครับ ถ้าผมเป็นคนร้าย ผมจับคนดูเป็นตัวประกัน ผมจะทำร้ายตัวเองไหม เพราะรายได้เราหายไป คนที่จับตัวคนอื่นเป็นตัวประกัน ต้องมีอำนาจ ต้องมีข้อเรียกร้อง ต้องควบคุมได้ ว่าจะปล่อยหรือไม่ปล่อยตัวประกัน แต่เราไม่มีตรงนี้ ข้อเรียกร้องของเรามี 2 เรื่อง คือปล่อยผมก่อน อย่าทรมานผมเลย สองอย่าให้คนดูของผมบาดเจ็บได้ไหม"
"ส่วนการแก้ปัญหาไม่ให้เกิดภาวะจอดำ ต่อจากนี้ไปคนที่จะเหยียบเบรกไม่ให้จอดับได้คือ กสท. หรือใกล้ๆ จอดับ ก็ไปยื่นเรื่องต่อศาลให้คุ้มครองชั่วคราว แต่ถ้าจอดับจริงๆ เราก็ทำอะไรไม่ได้ ไปคู่ขนานไม่ได้ ผิดกฎหมายอีก ถ้าดับ คือดับจริงๆ มีคนที่จะมาช่วยสถานการณ์ได้คือ ศาล ถ้าดับไปแล้ว กสท.ก็ช่วยไม่ได้ ต้องขอความเมตตาจากศาลต่อไป"
อย่างไรก็ตาม หลังจากผู้บริหารช่อง 3 ได้เคลียร์ปัญหาทั้งหมด ในเวลาต่อมา ก็มีนักแสดง ผู้จัด พิธีกร ต่างนำคำพูดของนายประวิทย์ มาชี้แจงในโซเชียลของตนเอง เพื่อให้ความกระจ่างแก่แฟนๆ อีกครั้ง
หลังจากในช่วงเช้าวานนี้(24 ก.ย.) ได้เกิดกระแสฮือฮาในโลกโซเชียล เพราะเหล่านักแสดงและผู้จัดช่อง 3 ผู้ประกาศข่าว รวมถึงทีมงานและผู้เกี่ยวข้องได้พร้อมใจกันกระหน่ำแชร์ข้อความกระจายในอินสตาแกรม โดยระบุ ขอให้แฟนๆรอฟังคำชี้แจงจากช่อง 3 ที่จะแถลงข่าวทุกประเด็น ว่าช่อง 3 จะจอดำบนโครงข่ายเคเบิ้ลดาวเทียมตามมติบอร์ดกสท. ในรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ เวลา 17.00 น. ทำให้ประชาชนเฝ้ารอคอยช่วงเวลาดังกล่าวกันอย่างใจจดจ่อ
โดยปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาดังกล่าว“สรยุทธ สุทัศนะจินดา”พิธีกรรายการ ก็ได้เปิดโอกาสให้ นายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการบริหารช่อง 3 และ นายฉัตรชัย เทียนทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน ได้ชี้แจงถึงทุกประเด็นที่เป็นข้อสงสัยทางสังคม เผยเหตุผล ช่อง 3 อนาล็อก ไม่สามารถออกอากาศคู่ขนานช่องดิจิตอล เพราะติดขัดเงื่อนไขบางประการ นั่นคือบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ หรือ ช่อง 3 อนาล็อก และ บริษัทบีอีซี มัลติมีเดีย หรือ ช่อง 3 ดิจิตอล อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ บริษัท บีอีซีเวิลด์ อาจมีผลต่อใบอนุญาตสัมปทานช่อง 3 อนาล็อก เพราะถือว่าผู้ถือใบอนุญาต ไม่ได้บริหารจัดการเอง แต่ถ้าช่อง 3 ยืนยันว่า เป็นบริษัทเดียวกันทั้งหมด การออกอากาศคู่ขนานก็สามารถทำได้ ไม่ผิดข้อกฎหมาย ซึ่งแตกต่างจากช่อง 7 อีกทั้งการออกอากาศคู่ขนาน ไม่ใช่นโยบาย กสท.โดยตรง และไม่มีการเตรียมการโดยตรง ทำให้กลายเป็นอุปสรรค
นายสรยุทธได้ถามผู้บริหารว่า แสดงว่าการออกอากาศคู่ขนานนั้น ไม่เคยรับรู้มาก่อน นายฉัตรชัย ก็ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ทางตนมีเอกสารที่ทาง กสท.เคยเปรยเอาไว้ว่า ให้คู่ขนานเปลี่ยนผ่านสามช่อง แต่ไม่มีนโยบายให้ออกคู่ขนานหลังการประมูล ตนเคยแอบซูมดูแล้ว ไม่มีนโยบายดังกล่าว แต่ถึงจะมีนโยบาย ก็ใช่เรื่องแปลกใหม่ เพราะขนาดประมูลสามจี ก็ยังตั้งบริษัทใหม่ไปประมูล ฉะนั้นช่อง 3 ก็ไม่ได้ต่างกัน
ส่วนกรณีที่ช่อง 7 สามารถออกคู่ขนานได้ เพราะเป็นบริษัทนิติบุคคลเดียวกัน ส่วนช่อง 3 ไม่สามารถใช้ชื่อ บริษัทบางกอกฯ ประมูลเพราะมีอุปสรรคในสัญญาเดิมกับทาง อสมท. และผิดกฎหมาย มาตรา 9 ทำให้ไม่สามารถออกอากาศคู่ขนานได้เช่นเดียวกัน โดยเมื่อวันอังคาร ที่ผ่านมาได้ไปพบ กสท. และเรียนถามว่า ที่จะให้ไปออกคู่ขนาน ตกลงเราทำได้โดยถูกกฎหมายหรือไม่ กฎหมายอนุญาตหรือเปล่า กรรมการท่านหนึ่งอ้างมาตรา 9 ว่า เท่ากับผิดกฎหมาย ส่วนกรรมการอีกท่านบอกเป็นความเห็นส่วนตัว ซึ่งได้กลายเป็นข้อถกเถียง และไม่มีข้อสรุปถึงเรื่องดังกล่าว คณะกรรมการจึงขอเวลากลับไปพิจารณาอีกครั้ง โดยเรารู้ว่า ผิดกฎหมาย
ขณะที่นายประวิทย์ ได้กล่าวเสริมว่า "อีกสามปี หากกรรมการ กสท.เปลี่ยน ถ้าเราดำเนินการเอง กสท. บางคนบอกผิดกฎหมาย อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับทางช่อง 3 มันไม่แน่นอน ก็ให้ออกมาเป็นคำสั่ง ถ้าผ่านเงื่อนไขอันนี้ไปแล้ว เราค่อยมาคุยเรื่องรองลงมา การเยียวยาหรืออะไร เป็นประเด็นรอง เอากฎหมายก่อน เราไม่อยากมีวิบากกรรมในอนาคต ยกตัวอย่าง อสมท. เพิ่งรับรองการสัมปทานช่อง 3 เมื่อต้นปี แต่ผ่านไปไม่กี่วัน มีคนไปยื่นให้ตรวจสอบการสัมปทานช่อง 3 หากบอกการกระทำเราผิดกฎหมาย แล้วใครเสียหาย"
นอกจากนี้ นายสรยุทธ ยังได้ถามถึงประเด็นช่อง 3 เป็นตัวถ่วงของการเปลี่ยนผ่านอนาล็อก หรือไม่ ผู้บริหารได้ชี้แจงว่า รายได้อยู่ที่อนาล็อก ไม่ได้อยู่ที่ดิจิตอล ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นคือ ติดขัดเรื่องกฎหมาย เพราะไม่มีนโยบายคู่ขนานมาก่อน เรื่องหลักคือ ขอให้แก้กฎหมาย ส่วนเรื่องเยียวยาค่อยมาคุยกันทีหลัง หากมองว่า ช่อง 3 เป็นตัวถ่วง ขอย้อนไปอีกนิดว่า เรากลัวการแข่งขันหรือไง ต้องเรียนว่า ตอนนี้ 70 เปอร์เซ็นต์ รับชมจากดาวเทียม และเคเบิ้ล ซึ่งอยู่ในสนามแข่งขันเดียวกันอยู่แล้ว ไม่มีใครกลัวการแข่งขัน ทุกคนมีความมั่นใจ แต่สิ่งที่ทำให้ยุ่งยาก คือกฎหมาย หากเคลียร์ตรงนี้ได้ ตนพร้อมไปออกอากาศคู่ขนานทันที ยันทุกวันนี้เสียเปรียบ เพราะกินงบโฆษณาตัวเอง หากตนไปออกคู่ขนาน ก็ยังอยู่ในกล่องเดียวกัน ถามว่าได้ประโยชน์อะไร ตราบใดที่กล่องยังไม่ได้แจก
นายสรยุทธ ได้สอบถามต่อถึงกรณี “ติดกระดุมผิดเม็ด”ว่า หมายความว่าอย่างไร ผู้บริหารได้ชี้แจงว่า ทุกวันนี้อยู่ในสนามเดียวกันอยู่แล้ว แต่ขอให้แก้ข้อกฎหมาย หากเปลี่ยนผ่านตรงนี้ได้ เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายพร้อมแข่งขัน แต่เพราะคูปองยังไม่แจก โครงข่ายไม่ได้เป็นไปตามแผน มันก็เหมือนติดกระดุมผิดเม็ด ฉะนั้นต้องเดินเรื่องโครงข่ายให้พร้อมก่อน แจกคูปองเพื่อแลกกล่องมาให้พร้อมก่อน ทุกวันนี้เน้นผู้ประกอบการทีวีเกินไป ไม่มีเวลาให้เตรียมตัว ในขณะที่คูปองกล่องก็ยังไม่แจก ห้าเดือนเหมือนนักมวย ชกเลย โดยไม่มีสนาม ไม่มีคนดู ชกกันมาห้าเดือน ทุกคนก็หมดแรงกันหมดแล้ว
" ผมไม่โทษใครนะ ผมโทษว่ามันมีอุปสรรค เรามองประเด็นไม่ถูก ทุกอย่างที่ทำไปแต่ต้น มันทำไปเสียเปล่า เพราะเราลงทุนไปทุกอย่าง ไม่มีคนดู ไม่มีรายได้ เห็นใจนะครับ เพราะย้อนกลับไปตอนเขาประมูลช่องไอทีวี เขามีช่วงให้ไปจัดหาเครื่องมือเตรียมตัว มีช่วงทดลองออกอากาศ ช่วงตรงนี้หนึ่งปี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ให้เตรียมพร้อมแล้วให้ทดลองออกอากาศ แต่ของเราประมูลได้ ได้ใบอนุญาตแล้วนับหนึ่งเลย ต้องทำคอนเทนต์ ตามกฎเกณฑ์กำหนด ทำให้ต้องมาแข่งขันกันดุเดือดทั้งที่สนามยังไม่มีความพร้อม"
" เราประมูลมา 3 ช่อง บวกอีกหนึ่งช่องอนาล็อก เรามี 4 ช่อง ผมถามว่าเป็นทางเลือกดีกว่าไหม ประเด็นที่สอง เรามีแผนธุรกิจว่าช่องเอชดี เราจะทำเป็นพรีเมี่ยม ทำรายการที่มีความคมชัดมมากๆ อย่างกีฬา มาอยู่ในช่องนี้ จำเป็นว่าต้องเป็นละครทุกช่องไหม ในเมื่อผมมีละครช่อง 3 อยู่แล้ว ช่องเอชดี ก็เหมือนเป็นทางเลือก อย่างนั้นไม่ดีกว่าหรือ ทำไมไม่รอให้ผมมีความพร้อมสักพัก ผมเอาละครไปลงเอชดี ก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อม เพราะผมทำไม่ทัน"
นายสรยุทธ ถามต่อว่า เพราะรอให้คนอื่นแข่งกันจนล้มตาย แล้วทำไมไม่เอามาอยู่ดิจิตอล นายประวิทย์ ได้ชี้แจงว่า ตั้งแต่ทำละครมา 40 กว่าปี มีแค่ละคร 2 เรื่อง ที่เรตติ้งสูงสุด โดยทั่วไปเรตติ้งถัวเฉลี่ยประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่มีทีวีดูละคร ในขณะที่ฟุตบอล ถ้าอยู่ในเวลาเดียวกัน เรตติ้งถึง 8 มากกว่าละครด้วยซ้ำ อย่าไปมองว่าละคร คือพรีเมียม ฟุตบอลหลายแมตซ์พรีเมี่ยมมากกว่าอีก ถ้าเรียกร้องให้ละครอยู่ช่องเอชดี วันหนึ่งจะทำให้ นี่คือแผนธุรกิจ ทางเราทำไมไม่อยากได้เปรียบคู่แข่ง แต่เราอยากทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าวันนี้พร้อม แก้อุปสรรคเรื่องกฎหมายก่อน เชื่อว่า การต่อรองเรื่องนี้จะน้อยมาก
ผู้บริหารยืนยันแผนหลังจากนี้ หากช่อง 3 จอดับบนดาวเทียม เคเบิ้ล ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพราะไม่มีอำนาจในการเรียกร้องอะไร ยอมรับว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ขอร้องว่าอย่าทำกันเลย
"ความเสียหายคือ คนดู 70 เปอร์เซ็นต์ ที่เราทนุถนอมมาตลอด 40 ปีจะหายไปในพริบตา เราบอกลูกค้าว่า ถ้าจอดับเมื่อไหร่ เราจะคืนเงินให้ 70 เปอร์เซ็นต์ สถานการณ์จากดีๆ ก็จะขาดทุนทันที ขอเคลียร์ข้อหาว่า เราจับตัวคนดูเป็นตัวประกัน เคยดูหนัง เขาทำร้ายตัวเองนะครับ ถ้าผมเป็นคนร้าย ผมจับคนดูเป็นตัวประกัน ผมจะทำร้ายตัวเองไหม เพราะรายได้เราหายไป คนที่จับตัวคนอื่นเป็นตัวประกัน ต้องมีอำนาจ ต้องมีข้อเรียกร้อง ต้องควบคุมได้ ว่าจะปล่อยหรือไม่ปล่อยตัวประกัน แต่เราไม่มีตรงนี้ ข้อเรียกร้องของเรามี 2 เรื่อง คือปล่อยผมก่อน อย่าทรมานผมเลย สองอย่าให้คนดูของผมบาดเจ็บได้ไหม"
"ส่วนการแก้ปัญหาไม่ให้เกิดภาวะจอดำ ต่อจากนี้ไปคนที่จะเหยียบเบรกไม่ให้จอดับได้คือ กสท. หรือใกล้ๆ จอดับ ก็ไปยื่นเรื่องต่อศาลให้คุ้มครองชั่วคราว แต่ถ้าจอดับจริงๆ เราก็ทำอะไรไม่ได้ ไปคู่ขนานไม่ได้ ผิดกฎหมายอีก ถ้าดับ คือดับจริงๆ มีคนที่จะมาช่วยสถานการณ์ได้คือ ศาล ถ้าดับไปแล้ว กสท.ก็ช่วยไม่ได้ ต้องขอความเมตตาจากศาลต่อไป"
อย่างไรก็ตาม หลังจากผู้บริหารช่อง 3 ได้เคลียร์ปัญหาทั้งหมด ในเวลาต่อมา ก็มีนักแสดง ผู้จัด พิธีกร ต่างนำคำพูดของนายประวิทย์ มาชี้แจงในโซเชียลของตนเอง เพื่อให้ความกระจ่างแก่แฟนๆ อีกครั้ง