โดย...มัลลิกา ภูมิวาร
พาร์ทเนอร์บริษัท โบลลิเกอร์แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยได้พยายามที่จะปฏิรูปภาษีสรรพสามิตมาหลายครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มการเก็บรายได้ของรัฐ เพราะภาษีสรรพสามิตเป็นรายได้หลักของรัฐลำดับที่ 2 รองจากภาษีเงินได้ ซึ่งในปฏิรูปภาษีสรรพสามิตครั้งหลังๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษีรถยนต์หรือภาษีสุรา ต่างทำให้เกิดการโต้เถียงกันว่าจะถึงเวลาปฏิรูปภาษีสรรพสามิตทั้งระบบ ทั้งนี้ การปฏิรูปภาษีเป็นหนึ่งในเรื่องที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสำคัญ เพราะต้องการทำให้เกิดความมีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและโปร่งใสในการเก็บภาษี โดย นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิตได้ออกมาประกาศถึงเจตนารมณ์ที่จะผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเพื่อจะเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในเดือนกันยายนนี้
ร่างพ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ... เป็นการรวบรวม พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิตที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด 7 ฉบับเป็นฉบับเดียว และได้มีการปรับแก้และเพิ่มเติมในส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อโครงสร้างภาษีมากขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนมาใช้ระบบภาษีแบบผสมซึ่งมีทั้งส่วนที่คิดภาษีตามปริมาณ (Specific tax) และตามมูลค่า (Ad Valorem tax) จะสามารถลดปัญหาการเปลี่ยนพฤติกรรมไปบริโภคสินค้าที่ถูกกว่าและมีคุณภาพต่ำกว่าของผู้บริโภคและยังสามารถเพิ่มรายได้ของรัฐได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ร่างพ.ร.บ.ก็จะใช้ราคาขายปลีกแนะนำ (Recommended Retail Selling Price: RRSP) ที่ผู้ประกอบการหรือผู้นำเข้ากำหนดให้เป็นราคาขายต่อผู้บริโภคเป็นฐานภาษี ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความโปร่งใสในการคำนวณภาษีมากขึ้นแล้ว ยังจะลดปัญหาการแจ้งราคาเพื่อคำนวณภาษีต่ำเกินไปของฐานภาษีเดิม ทั้งนี้ ราคาขายปลีกแนะนำเหมาะสำหรับการนำมาคำนวณภาษีเพราะมีความชัดเจน ง่ายต่อคำนวณ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากกว่าฐานภาษีเดิม ในขณะเดียวกัน ราคาขายปลีกแนะนำสามารถนำมาคิดภาษีได้โดยตรง แทนที่จะต้องคำนวณภาษีแบบรวมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ทั้งยากและซับซ้อน
การปรับแก้เหล่านี้จะเพิ่มความมีประสิทธิภาพในการเก็บภาษีของรัฐได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญในขณะนี้ เนื่องจากสถิติล่าสุดจากกระทรวงการคลังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเก็บภาษีสรรพสามิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณนี้ โดยใน 9 เดือนแรกของปี เก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าถึง 62,000 ล้านบาทและต่ำกว่าปริมาณที่เก็บได้จากปีที่แล้วถึง 43,000 ล้านบาท
นอกเหนือจากการเก็บภาษีให้ได้ตามเป้านั้น ระบบภาษีที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรมก็จะช่วยดึงดูดการลงทุนของประเทศ เพราะอุตสาหกรรมที่สำคัญในไทยต่างก็เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตทั้งสิ้น รวมทั้งยังจะช่วยส่งเสริมการผลิตในประเทศและการส่งออกอีกด้วย นอกจากนี้ ในการปฏิรูปภาษีครั้งนี้ ภาคเอกชนได้ออกมาแสดงความชื่นชมต่อกรมสรรพสามิตที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นในระหว่างการยกร่าง พ.ร.บ.อย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้เห็นถึงความตั้งใจของกรมฯ ที่จะแก้ปัญหาในกฎระเบียบเก่า และร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่สำคัญในไทยสามารถเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าขั้นตอนการมีส่วนร่วมในการยกร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวกลับสวนทางกลับกับนโยบายการเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง (Earmarked Tax) ซึ่งพยายามที่จะใช้เงินได้จากภาษีสรรพสามิตเพื่อใช้เป็นงบประมาณสำหรับกลุ่มผลประโยชน์พิเศษต่างๆ ซึ่งนโยบายเหล่านี้มักเกิดจากข้อเสนอขององค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับนโยบายภาษีหรือแม้แต่วินัยคลังที่ดี นอกจากนี้ วิธีการบริหารเงินทุนเหล่านี้ทั้งไม่มีความโปร่งใสและการกำกับดูแลทางการคลังก็ยังหละหลวมอีกด้วย
สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลสำหรับผู้ประกอบการสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต โดยเฉพาะเมื่อเร็วๆ นี้ที่นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการอำนวยการโรงงานยาสูบและรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการยาสูบ ได้ออกมาเผยว่าหน่วยงาน อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้รับงบประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาทต่อปีจากเงินภาษีแอลกอฮอล์และยาสูบ ทั้งนี้ โรงงานยาสูบได้เสนอต่อ คสช.ให้นำงบประมาณส่วนนี้มาอยู่ในการดูแลของระบบงบประมาณกลางเพื่อให้มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ เพราะขณะนี้งบประมาณเหล่านี้ไม่ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งในตอนนี้ตรวจสอบเพียงงบประมาณกลางเท่านั้น โดยช่องโหว่เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายทางการคลังที่ไม่ดีและอาจจะส่งเสริมหน่วยงานอื่นๆ ดังที่เห็นจากข้อเสนอของการกีฬาแห่งประเทศไทยและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่ต้องการจะใช้งบดังกล่าวจากภาษีสรรพสามิตเพื่อโครงการต่างๆ ของตนเช่นกัน
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่รัฐบาลควรจะกลับมาพิจารณางบประมาณในส่วนนี้อีกครั้ง และป้องกันไม่ให้เกิดภาษีเพิ่มเติมเหล่านี้ให้มาใช้ประโยชน์ในช่วงเวลาการปฏิรูปภาษีสรรพสามิตและควรส่งเสริมแนวทางความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิรูปภาษีครั้งสำคัญครั้งนี้
พาร์ทเนอร์บริษัท โบลลิเกอร์แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยได้พยายามที่จะปฏิรูปภาษีสรรพสามิตมาหลายครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มการเก็บรายได้ของรัฐ เพราะภาษีสรรพสามิตเป็นรายได้หลักของรัฐลำดับที่ 2 รองจากภาษีเงินได้ ซึ่งในปฏิรูปภาษีสรรพสามิตครั้งหลังๆ ไม่ว่าจะเป็นภาษีรถยนต์หรือภาษีสุรา ต่างทำให้เกิดการโต้เถียงกันว่าจะถึงเวลาปฏิรูปภาษีสรรพสามิตทั้งระบบ ทั้งนี้ การปฏิรูปภาษีเป็นหนึ่งในเรื่องที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสำคัญ เพราะต้องการทำให้เกิดความมีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและโปร่งใสในการเก็บภาษี โดย นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิตได้ออกมาประกาศถึงเจตนารมณ์ที่จะผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเพื่อจะเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในเดือนกันยายนนี้
ร่างพ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ... เป็นการรวบรวม พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิตที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด 7 ฉบับเป็นฉบับเดียว และได้มีการปรับแก้และเพิ่มเติมในส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อโครงสร้างภาษีมากขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนมาใช้ระบบภาษีแบบผสมซึ่งมีทั้งส่วนที่คิดภาษีตามปริมาณ (Specific tax) และตามมูลค่า (Ad Valorem tax) จะสามารถลดปัญหาการเปลี่ยนพฤติกรรมไปบริโภคสินค้าที่ถูกกว่าและมีคุณภาพต่ำกว่าของผู้บริโภคและยังสามารถเพิ่มรายได้ของรัฐได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ร่างพ.ร.บ.ก็จะใช้ราคาขายปลีกแนะนำ (Recommended Retail Selling Price: RRSP) ที่ผู้ประกอบการหรือผู้นำเข้ากำหนดให้เป็นราคาขายต่อผู้บริโภคเป็นฐานภาษี ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความโปร่งใสในการคำนวณภาษีมากขึ้นแล้ว ยังจะลดปัญหาการแจ้งราคาเพื่อคำนวณภาษีต่ำเกินไปของฐานภาษีเดิม ทั้งนี้ ราคาขายปลีกแนะนำเหมาะสำหรับการนำมาคำนวณภาษีเพราะมีความชัดเจน ง่ายต่อคำนวณ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากกว่าฐานภาษีเดิม ในขณะเดียวกัน ราคาขายปลีกแนะนำสามารถนำมาคิดภาษีได้โดยตรง แทนที่จะต้องคำนวณภาษีแบบรวมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ทั้งยากและซับซ้อน
การปรับแก้เหล่านี้จะเพิ่มความมีประสิทธิภาพในการเก็บภาษีของรัฐได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญในขณะนี้ เนื่องจากสถิติล่าสุดจากกระทรวงการคลังชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเก็บภาษีสรรพสามิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณนี้ โดยใน 9 เดือนแรกของปี เก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าถึง 62,000 ล้านบาทและต่ำกว่าปริมาณที่เก็บได้จากปีที่แล้วถึง 43,000 ล้านบาท
นอกเหนือจากการเก็บภาษีให้ได้ตามเป้านั้น ระบบภาษีที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรมก็จะช่วยดึงดูดการลงทุนของประเทศ เพราะอุตสาหกรรมที่สำคัญในไทยต่างก็เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตทั้งสิ้น รวมทั้งยังจะช่วยส่งเสริมการผลิตในประเทศและการส่งออกอีกด้วย นอกจากนี้ ในการปฏิรูปภาษีครั้งนี้ ภาคเอกชนได้ออกมาแสดงความชื่นชมต่อกรมสรรพสามิตที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นในระหว่างการยกร่าง พ.ร.บ.อย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้เห็นถึงความตั้งใจของกรมฯ ที่จะแก้ปัญหาในกฎระเบียบเก่า และร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่สำคัญในไทยสามารถเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าขั้นตอนการมีส่วนร่วมในการยกร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวกลับสวนทางกลับกับนโยบายการเก็บภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง (Earmarked Tax) ซึ่งพยายามที่จะใช้เงินได้จากภาษีสรรพสามิตเพื่อใช้เป็นงบประมาณสำหรับกลุ่มผลประโยชน์พิเศษต่างๆ ซึ่งนโยบายเหล่านี้มักเกิดจากข้อเสนอขององค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับนโยบายภาษีหรือแม้แต่วินัยคลังที่ดี นอกจากนี้ วิธีการบริหารเงินทุนเหล่านี้ทั้งไม่มีความโปร่งใสและการกำกับดูแลทางการคลังก็ยังหละหลวมอีกด้วย
สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความกังวลสำหรับผู้ประกอบการสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต โดยเฉพาะเมื่อเร็วๆ นี้ที่นางสาวดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการอำนวยการโรงงานยาสูบและรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการยาสูบ ได้ออกมาเผยว่าหน่วยงาน อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพและองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้รับงบประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาทต่อปีจากเงินภาษีแอลกอฮอล์และยาสูบ ทั้งนี้ โรงงานยาสูบได้เสนอต่อ คสช.ให้นำงบประมาณส่วนนี้มาอยู่ในการดูแลของระบบงบประมาณกลางเพื่อให้มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ เพราะขณะนี้งบประมาณเหล่านี้ไม่ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งในตอนนี้ตรวจสอบเพียงงบประมาณกลางเท่านั้น โดยช่องโหว่เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงนโยบายทางการคลังที่ไม่ดีและอาจจะส่งเสริมหน่วยงานอื่นๆ ดังที่เห็นจากข้อเสนอของการกีฬาแห่งประเทศไทยและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่ต้องการจะใช้งบดังกล่าวจากภาษีสรรพสามิตเพื่อโครงการต่างๆ ของตนเช่นกัน
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่รัฐบาลควรจะกลับมาพิจารณางบประมาณในส่วนนี้อีกครั้ง และป้องกันไม่ให้เกิดภาษีเพิ่มเติมเหล่านี้ให้มาใช้ประโยชน์ในช่วงเวลาการปฏิรูปภาษีสรรพสามิตและควรส่งเสริมแนวทางความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการปฏิรูปภาษีครั้งสำคัญครั้งนี้