ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ฟาสซิสต์เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษยชาติซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนในโลกร่วมสมัยจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนสงครามและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปัจจุบันพลังของฟาสซิสต์ในฐานะที่เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์ที่รัฐบาลใช้เป็นแนวทางดำเนินการทางการเมืองได้ลดลง แต่ทว่าร่องรอยของความคิดและความเชื่อแบบฟาสซิสต์ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไปในหลายสังคม
อุดมการณ์ฟาสซิสต์เกิดขึ้นท่ามกลางความโกลาหลทางสังคมในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งสภาวะถดถอยและตกต่ำทางเศรษฐกิจแผ่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ความอดอยากและความทุกข์ยากของผู้คนที่หิวโหยก่อให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับอุดมการณ์หลักที่ครองอำนาจทางการเมืองยุคนั้น
อุดมการณ์เสรีนิยม อนุรักษ์นิยม สังคมนิยม และคอมมิวนิสต์ เป็นเป้าหมายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในฐานะที่เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่นำมาซึ่งความถดถอยทางเศรษฐกิจ การทรยศหักหลังทางการเมือง การทำให้ชาติอ่อนแอ และการทำให้ศีลธรรมเสื่อมถอย
นักปรัชญาที่มีอิทธิพลอย่างมากต่ออุดมการณ์ฟาสต์ซิสม์คือ เฟรดริช นิทซ์ชี่ หลักคิดเกี่ยวกับศีลธรรมที่ว่า ศีลธรรมไม่ได้อยู่ที่ความเมตตาหากแต่อยู่ที่กำลังอำนาจ เป้าหมายของการพัฒนามนุษย์ไม่ใช่อยู่ที่การยกระดับคนทั้งหมด หากแต่ต้องพัฒนาปัจเจกบุคคลที่แข็งแรงกว่าและมีคุณสมบัติดีกว่าให้เป็นอภิมนุษย์ นิทซ์ชี่กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า สิ่งสุดท้ายที่บุคคลซึ่งมีสติสัมปชัญญะจะกระทำคือการพัฒนามนุษยชาติทั้งหมด เพราะว่ามนุษยชาติเป็นเพียงนามธรรม ไม่มีตัวตนดำรงอยู่ แต่สิ่งที่ที่ดำรงอยู่อย่างแท้จริงคือปัจเจกบุคคล
นิทซ์ชี่ยังกล่าวว่า ให้สังคมสิ้นสุดเสียดีกว่า หากสังคมนั้นปราศจากผู้มีสติปัญญาระดับสูง สังคมเป็นเครื่องมือสำหรับส่งเสริมอำนาจและบุคลิกภาพของปัจเจกบุคคล สังคมและกลุ่มหาได้มีเป้าหมายในตัวมันเองแต่อย่างใด
อภิมนุษย์ของนิทซ์ชี่เริ่มจากการมีชาติกำเนิดที่สูงส่งหรือการมีสายเลือดที่ดีซึ่งจะเป็นรากฐานในการสร้างปัญญาให้สูงส่ง การสร้างอภิมนุษย์นั้นนิทซ์ชี่ระบุว่าต้องทำโดยการอบรมที่เข้มงวดภายใต้หลักสูตรที่สมบูรณ์แบบชัดเจน จักต้องมีการฝึกฝนร่างกายให้รับความทุกข์ทรมานทางกายอย่างสงบเยือกเย็น ฝึกฝนบ่มเพาะเจตจำนงแห่งการเรียนรู้ทั้งในแง่การเชื่อฟังคำสั่ง และการออกคำสั่ง
เจตจำนงอิสระในทัศนะของนิทซ์ชี่เป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่เจตจำนงที่เป็นความดีคือเจตจำนงแห่งอำนาจ นิทซ์ชี่นิยามความดีว่าเป็นทุกสิ่งเพิ่มพูนความรู้สึกแห่งการมีพลังอำนาจ ส่วนความเลวคือสิ่งทั้งมวลที่เกิดจากความอ่อนแอ ดังนั้นคุณลักษณะของอภิมนุษย์คือความรักในอันตรายและการต่อสู้อย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ สงครามจึงเป็นสิ่งที่ดี นิทซ์ชี่ย้ำว่า สงครามที่ดีย่อมทำให้สาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์
นิทซ์ชี่วิจารณ์ชนชาติต่างๆในยุโรปได้อย่างแหลมคม เขามองว่าชาวอังกฤษเป็นบุคคลที่แย่ที่สุด คนอังกฤษทำให้จิตใจคนฝรั่งเศสเสื่อมด้วยความคิดประชาธิปไตยจอมปลอม เขากล่าวเสียดสีว่า เจ้าของร้านขายของ วัว สตรี คนอังกฤษ และนักประชาธิปไตยเป็นพวกเดียวกัน ทั้งยังประณามว่าลัทธิประโยชน์นิยมและความป่าเถื่อนของอังกฤษคือความตกต่ำ อย่างถึงที่สุดของวัฒนธรรมยุโรป
เมื่อกล่าวถึงประชาธิปไตย นิทซ์ชี่มองว่าประชาธิปไตยเป็นความเลื่อนลอยที่อนุญาตให้ผู้คนทำในสิ่งที่พอใจโดยละเลยความต่อเนื่องและการขึ้นแก่กันและกัน การบูชาเสรีภาพและความวุ่นวายคือการบูชาความสามัญและเกลียดชังความเป็นเลิศ และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีบุคคลยิ่งใหญ่ซึ่งยอมอยู่ภายใต้การเลือกตั้งที่ไร้ศักดิ์ศรีและไร้ระเบียบ อภิมนุษย์ไม่มีทางเกิดขึ้นมาภายใต้กระบวนการประชาธิปไตยอย่างเด็ดขาด และชาติจะไม่มีวันยิ่งใหญ่ได้เพราะบุคคลคลที่ยิ่งใหญ่ของชาติไม่ได้ถูกนำมาใช้
นิทซ์ชีมองว่าธรรมชาติรักความแตกต่างของปัจเจกบุคคล ชนชั้นและเชื้อชาติ ขณะที่รังเกียจความเท่าเทียม กระบวนการวิวัฒนาการของสรรพชีวิตนั้นเป็นกระบวนการที่ผู้ที่เหนือกว่าแสวงหาผลประโยชน์และยังชีพด้วยชีวิตของผู้อื่น ปรากฎการณ์ของปลาใหญ่กินปลาเล็กเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของธรรมชาติ บางครั้งบรรดาเหล่ามวลชนอาจแสดงปฏิกิริยาต่อต้านบ้างด้วยความอิจฉาริษยาผู้ปกครอง แต่การจัดการไม่ใช่เรื่องยากเพียงแต่เปิดประตูให้บรรดาฝูงชนบางคนเดินเข้ามาบนสวรรค์บ้างเป็นครั้งคราวก็สามารถสยบความวุ่นวายได้
แต่เมื่อไรก็ตามที่ผู้ปกครองเกิดความไร้ประสิทธิภาพและเฉื่อยชาสิ่งที่ตามมาคือคนที่อยู่เบื้องต่ำกว่าจะมีความคิดปฏิวัติเพื่อหนีให้พ้นจากสภาพของการเป็นผู้ต่ำต้อย และเมื่อบรรดาทาสทำการปฏิวัติสำเร็จพวกเขาก็จะกลายเป็นกลุ่มที่สูงส่งขึ้นมา
นิทซ์ชี่มองว่านายทุนและชนชั้นกลางสมัยใหม่ในยุโรปเป็นสิ่งแสดงออกของความด้อยค่าและเสื่อมลงของวัฒนธรรมในศตวรรษที่สิบเก้า ลัทธิบูชาความมั่งมีละคนมีเงินแพร่ขยายออกไป อันที่จริงแล้วบรรดานักธุรกิจที่เกิดขึ้นในยุคนั้นเป็นทาสของงานประจำและความคิดในการแสวงหาเงินตรา พวกเขาไม่มีเวลาสำหรับสร้างความคิดใหม่ การคิดเป็นสิ่งต้องห้ามในกลุ่มคนเหล่านั้นและความสุขทางปัญญาเป็นสิ่งที่อยู่ปลายจักรวาลที่ยากจะเอื้อมไปถึง
นักธุรกิจและชนชั้นกลางแสวงหาความสุขอย่างกระวนกระวายและฉาบฉวยด้วยการซื้อบ้านอันใหญ่โตมโหฬาร ชอบความหรูหราที่ปราศจากรสนิยม สะสมภาพถ่ายราคาแพงที่ตนเองไม่มีเข้าใจอันใจเลยเกี่ยวกับความงามและสุนทรียภาพ นิยมชมชอบความบันเทิงทางโลกีย์ที่ทำให้จิตใจและปัญญามืดทึบ วิถีการดำเนินชีวิตเยี่ยงนี้เป็นการพาตนเองไปสู่ห้วงเหวแห่งโคลนตม และเต็มไปกลิ่นสาบสางแห่งความโลภ
ในท้ายที่สุดมนุษย์ก็กลายเป็นสัตว์ที่กินกันเอง ดักซุ่มโจมตีซึ่งกันและกันอย่างรุนแรงและโหดร้าย มุ่งแสวงหาผลกำไรเล็กๆน้อยๆจากขยะมูลฝอยนานาชนิด การใช้ชีวิตเยี่ยงนี้เปรียบประดุจโจรสลัดซึ่งประดิดประดอยวิธีการปล้นชิงให้มีความละเอียดประณีต นิทซ์ชี่เรียก การซื้อสินค้าในราคาถูกเพื่อนำมาขายในราคาแพงว่าเป็นศีลธรรมของโจรสลัด
สำกรับบรรดากลุ่มนายพล นิทซ์ชี่มองว่าเป็นกลุ่มที่ใช้ทหารของตนเองให้หมดไปในสนามรบ ทำให้พวกเขาพอใจกับการตายด้วยยาสลแห่งเกียรติยศ อย่างไรก็ตามนิทซ์ชี่กำหนดสถานะของกลุ่มนายพลไว้เหนือกว่ากลุ่มนักธุรกิจที่ใช้คนเป็นเครื่องจักรเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพราะว่ากลุ่มนายพลเป็นผู้สร้างสงครามซึ่งนิทซ์ชี่มองว่าเป็นยารักษามนุษย์ที่เริ่มอ่อนแอและสำราญกับความสุขสบายอันน่าเหยียดหยาม สงครามกระตุ้นจิตวิญญาณที่ผุพังอันเป็นผลมาจากความสงบมากจนเกินไป สงครามและการทหารจึงเป็นยารักษาพิษความอ่อนแอของระบอบประชาธิปไตยอันเป็นระบอบของคนขายของ
ปัญหาการเมืองคือการมีพวกพ่อค้านักธุรกิจมาปกครองประเทศเพราะว่าคนประเภทนี้สายตาสั้นและมีความเข้าใจคับแคบ พวกนี้มิได้มีวิสัยทัศน์ยาวและกว้างไกลเฉกเช่นชนชั้นสูงซึ่งได้รับการอบรมให้เป็นรัฐบุรุษ การจะแก้ปัญหาการเมืองได้อย่างยั่งยืนคือการหาวิธีการที่มีประสิทธิผลในการป้องกันมิให้บรรดานักธุรกิจเข้ามาปกครองประเทศ
นิทซ์ชี่มองว่าผู้ปกครองอันเป็นชนชั้นสูงต้องเป็นทั้งนักวิชาการและนายพลในบุคคลเดียวกัน มีความแหลมคมทางปัญญาขณะเดียวกันก็ต้องมีความกล้าหาญดุจทหาร กลุ่มที่เป็นผู้ปกครองมิใช่รัฐบาลเพราะว่างานที่แท้จริงของรัฐบาลคืองานรับใช้ ผู้ปกครองอันเป็นรัฐบุรุษและนักปราชญ์ต้องมีอำนาจเหนือรัฐบาลในการควบคุมการเงินและกองทัพ ต้องเป็นกลุ่มคนที่สามารถประสานความสุขภาพของร่างกายและจิตวิญญาณได้อย่างตลอดเวลา
หลักคิดของนิทซ์ชีเกี่ยวกับอภิมนุษย์ กฎความแตกต่างของธรรมชาติ การรักษาสายเลือดให้บริสุทธิ์ การสนับสนุนสงคราม และการปกครองแบบอภิชนาธิปไตยเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนำมาวางรากฐานเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองและสถาปนาลัทธิฟาสซิสต์ขึ้นมาในประเทศอิตาลี และได้ขยายไปสู่ประเทศเยอรมันจนกระทั่งพัฒนาเป็นลัทธินาซี
อุดมการณ์ของฟาสซิสต์และนาซีคือ ความเชื่อที่ว่ากฎธรรมชาติแล้วมนุษย์เกิดมาไม่เท่าเทียม การเชิดชูความเสมอภาคและเท่าเทียมเท่ากับละเมิดกฎธรรมชาติ ในสังคมมีผู้กลุ่มที่มีสายเลือดสูงส่งอันเป็นชนชั้นสูงหรือเผ่าพันธุ์ที่มีศักยภาพในการเป็นอภิมนุษย์เป็นผู้สร้างวัฒนธรรมอันได้แก่เผ่าอารยัน ส่วนเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่ทำลายอารยธรรมคือพวกยิว ความเชื่อเช่นนี้นำไปสู่การทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยพรรคนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และสร้างโศกนาฏกรรมและรอยแผลที่ยากแก่การลบเลือนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ฟาสซิสต์เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษยชาติซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนในโลกร่วมสมัยจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนสงครามและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในปัจจุบันพลังของฟาสซิสต์ในฐานะที่เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์ที่รัฐบาลใช้เป็นแนวทางดำเนินการทางการเมืองได้ลดลง แต่ทว่าร่องรอยของความคิดและความเชื่อแบบฟาสซิสต์ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไปในหลายสังคม
อุดมการณ์ฟาสซิสต์เกิดขึ้นท่ามกลางความโกลาหลทางสังคมในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งสภาวะถดถอยและตกต่ำทางเศรษฐกิจแผ่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ความอดอยากและความทุกข์ยากของผู้คนที่หิวโหยก่อให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับอุดมการณ์หลักที่ครองอำนาจทางการเมืองยุคนั้น
อุดมการณ์เสรีนิยม อนุรักษ์นิยม สังคมนิยม และคอมมิวนิสต์ เป็นเป้าหมายที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในฐานะที่เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่นำมาซึ่งความถดถอยทางเศรษฐกิจ การทรยศหักหลังทางการเมือง การทำให้ชาติอ่อนแอ และการทำให้ศีลธรรมเสื่อมถอย
นักปรัชญาที่มีอิทธิพลอย่างมากต่ออุดมการณ์ฟาสต์ซิสม์คือ เฟรดริช นิทซ์ชี่ หลักคิดเกี่ยวกับศีลธรรมที่ว่า ศีลธรรมไม่ได้อยู่ที่ความเมตตาหากแต่อยู่ที่กำลังอำนาจ เป้าหมายของการพัฒนามนุษย์ไม่ใช่อยู่ที่การยกระดับคนทั้งหมด หากแต่ต้องพัฒนาปัจเจกบุคคลที่แข็งแรงกว่าและมีคุณสมบัติดีกว่าให้เป็นอภิมนุษย์ นิทซ์ชี่กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า สิ่งสุดท้ายที่บุคคลซึ่งมีสติสัมปชัญญะจะกระทำคือการพัฒนามนุษยชาติทั้งหมด เพราะว่ามนุษยชาติเป็นเพียงนามธรรม ไม่มีตัวตนดำรงอยู่ แต่สิ่งที่ที่ดำรงอยู่อย่างแท้จริงคือปัจเจกบุคคล
นิทซ์ชี่ยังกล่าวว่า ให้สังคมสิ้นสุดเสียดีกว่า หากสังคมนั้นปราศจากผู้มีสติปัญญาระดับสูง สังคมเป็นเครื่องมือสำหรับส่งเสริมอำนาจและบุคลิกภาพของปัจเจกบุคคล สังคมและกลุ่มหาได้มีเป้าหมายในตัวมันเองแต่อย่างใด
อภิมนุษย์ของนิทซ์ชี่เริ่มจากการมีชาติกำเนิดที่สูงส่งหรือการมีสายเลือดที่ดีซึ่งจะเป็นรากฐานในการสร้างปัญญาให้สูงส่ง การสร้างอภิมนุษย์นั้นนิทซ์ชี่ระบุว่าต้องทำโดยการอบรมที่เข้มงวดภายใต้หลักสูตรที่สมบูรณ์แบบชัดเจน จักต้องมีการฝึกฝนร่างกายให้รับความทุกข์ทรมานทางกายอย่างสงบเยือกเย็น ฝึกฝนบ่มเพาะเจตจำนงแห่งการเรียนรู้ทั้งในแง่การเชื่อฟังคำสั่ง และการออกคำสั่ง
เจตจำนงอิสระในทัศนะของนิทซ์ชี่เป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่เจตจำนงที่เป็นความดีคือเจตจำนงแห่งอำนาจ นิทซ์ชี่นิยามความดีว่าเป็นทุกสิ่งเพิ่มพูนความรู้สึกแห่งการมีพลังอำนาจ ส่วนความเลวคือสิ่งทั้งมวลที่เกิดจากความอ่อนแอ ดังนั้นคุณลักษณะของอภิมนุษย์คือความรักในอันตรายและการต่อสู้อย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ สงครามจึงเป็นสิ่งที่ดี นิทซ์ชี่ย้ำว่า สงครามที่ดีย่อมทำให้สาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์
นิทซ์ชี่วิจารณ์ชนชาติต่างๆในยุโรปได้อย่างแหลมคม เขามองว่าชาวอังกฤษเป็นบุคคลที่แย่ที่สุด คนอังกฤษทำให้จิตใจคนฝรั่งเศสเสื่อมด้วยความคิดประชาธิปไตยจอมปลอม เขากล่าวเสียดสีว่า เจ้าของร้านขายของ วัว สตรี คนอังกฤษ และนักประชาธิปไตยเป็นพวกเดียวกัน ทั้งยังประณามว่าลัทธิประโยชน์นิยมและความป่าเถื่อนของอังกฤษคือความตกต่ำ อย่างถึงที่สุดของวัฒนธรรมยุโรป
เมื่อกล่าวถึงประชาธิปไตย นิทซ์ชี่มองว่าประชาธิปไตยเป็นความเลื่อนลอยที่อนุญาตให้ผู้คนทำในสิ่งที่พอใจโดยละเลยความต่อเนื่องและการขึ้นแก่กันและกัน การบูชาเสรีภาพและความวุ่นวายคือการบูชาความสามัญและเกลียดชังความเป็นเลิศ และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีบุคคลยิ่งใหญ่ซึ่งยอมอยู่ภายใต้การเลือกตั้งที่ไร้ศักดิ์ศรีและไร้ระเบียบ อภิมนุษย์ไม่มีทางเกิดขึ้นมาภายใต้กระบวนการประชาธิปไตยอย่างเด็ดขาด และชาติจะไม่มีวันยิ่งใหญ่ได้เพราะบุคคลคลที่ยิ่งใหญ่ของชาติไม่ได้ถูกนำมาใช้
นิทซ์ชีมองว่าธรรมชาติรักความแตกต่างของปัจเจกบุคคล ชนชั้นและเชื้อชาติ ขณะที่รังเกียจความเท่าเทียม กระบวนการวิวัฒนาการของสรรพชีวิตนั้นเป็นกระบวนการที่ผู้ที่เหนือกว่าแสวงหาผลประโยชน์และยังชีพด้วยชีวิตของผู้อื่น ปรากฎการณ์ของปลาใหญ่กินปลาเล็กเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของธรรมชาติ บางครั้งบรรดาเหล่ามวลชนอาจแสดงปฏิกิริยาต่อต้านบ้างด้วยความอิจฉาริษยาผู้ปกครอง แต่การจัดการไม่ใช่เรื่องยากเพียงแต่เปิดประตูให้บรรดาฝูงชนบางคนเดินเข้ามาบนสวรรค์บ้างเป็นครั้งคราวก็สามารถสยบความวุ่นวายได้
แต่เมื่อไรก็ตามที่ผู้ปกครองเกิดความไร้ประสิทธิภาพและเฉื่อยชาสิ่งที่ตามมาคือคนที่อยู่เบื้องต่ำกว่าจะมีความคิดปฏิวัติเพื่อหนีให้พ้นจากสภาพของการเป็นผู้ต่ำต้อย และเมื่อบรรดาทาสทำการปฏิวัติสำเร็จพวกเขาก็จะกลายเป็นกลุ่มที่สูงส่งขึ้นมา
นิทซ์ชี่มองว่านายทุนและชนชั้นกลางสมัยใหม่ในยุโรปเป็นสิ่งแสดงออกของความด้อยค่าและเสื่อมลงของวัฒนธรรมในศตวรรษที่สิบเก้า ลัทธิบูชาความมั่งมีละคนมีเงินแพร่ขยายออกไป อันที่จริงแล้วบรรดานักธุรกิจที่เกิดขึ้นในยุคนั้นเป็นทาสของงานประจำและความคิดในการแสวงหาเงินตรา พวกเขาไม่มีเวลาสำหรับสร้างความคิดใหม่ การคิดเป็นสิ่งต้องห้ามในกลุ่มคนเหล่านั้นและความสุขทางปัญญาเป็นสิ่งที่อยู่ปลายจักรวาลที่ยากจะเอื้อมไปถึง
นักธุรกิจและชนชั้นกลางแสวงหาความสุขอย่างกระวนกระวายและฉาบฉวยด้วยการซื้อบ้านอันใหญ่โตมโหฬาร ชอบความหรูหราที่ปราศจากรสนิยม สะสมภาพถ่ายราคาแพงที่ตนเองไม่มีเข้าใจอันใจเลยเกี่ยวกับความงามและสุนทรียภาพ นิยมชมชอบความบันเทิงทางโลกีย์ที่ทำให้จิตใจและปัญญามืดทึบ วิถีการดำเนินชีวิตเยี่ยงนี้เป็นการพาตนเองไปสู่ห้วงเหวแห่งโคลนตม และเต็มไปกลิ่นสาบสางแห่งความโลภ
ในท้ายที่สุดมนุษย์ก็กลายเป็นสัตว์ที่กินกันเอง ดักซุ่มโจมตีซึ่งกันและกันอย่างรุนแรงและโหดร้าย มุ่งแสวงหาผลกำไรเล็กๆน้อยๆจากขยะมูลฝอยนานาชนิด การใช้ชีวิตเยี่ยงนี้เปรียบประดุจโจรสลัดซึ่งประดิดประดอยวิธีการปล้นชิงให้มีความละเอียดประณีต นิทซ์ชี่เรียก การซื้อสินค้าในราคาถูกเพื่อนำมาขายในราคาแพงว่าเป็นศีลธรรมของโจรสลัด
สำกรับบรรดากลุ่มนายพล นิทซ์ชี่มองว่าเป็นกลุ่มที่ใช้ทหารของตนเองให้หมดไปในสนามรบ ทำให้พวกเขาพอใจกับการตายด้วยยาสลแห่งเกียรติยศ อย่างไรก็ตามนิทซ์ชี่กำหนดสถานะของกลุ่มนายพลไว้เหนือกว่ากลุ่มนักธุรกิจที่ใช้คนเป็นเครื่องจักรเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพราะว่ากลุ่มนายพลเป็นผู้สร้างสงครามซึ่งนิทซ์ชี่มองว่าเป็นยารักษามนุษย์ที่เริ่มอ่อนแอและสำราญกับความสุขสบายอันน่าเหยียดหยาม สงครามกระตุ้นจิตวิญญาณที่ผุพังอันเป็นผลมาจากความสงบมากจนเกินไป สงครามและการทหารจึงเป็นยารักษาพิษความอ่อนแอของระบอบประชาธิปไตยอันเป็นระบอบของคนขายของ
ปัญหาการเมืองคือการมีพวกพ่อค้านักธุรกิจมาปกครองประเทศเพราะว่าคนประเภทนี้สายตาสั้นและมีความเข้าใจคับแคบ พวกนี้มิได้มีวิสัยทัศน์ยาวและกว้างไกลเฉกเช่นชนชั้นสูงซึ่งได้รับการอบรมให้เป็นรัฐบุรุษ การจะแก้ปัญหาการเมืองได้อย่างยั่งยืนคือการหาวิธีการที่มีประสิทธิผลในการป้องกันมิให้บรรดานักธุรกิจเข้ามาปกครองประเทศ
นิทซ์ชี่มองว่าผู้ปกครองอันเป็นชนชั้นสูงต้องเป็นทั้งนักวิชาการและนายพลในบุคคลเดียวกัน มีความแหลมคมทางปัญญาขณะเดียวกันก็ต้องมีความกล้าหาญดุจทหาร กลุ่มที่เป็นผู้ปกครองมิใช่รัฐบาลเพราะว่างานที่แท้จริงของรัฐบาลคืองานรับใช้ ผู้ปกครองอันเป็นรัฐบุรุษและนักปราชญ์ต้องมีอำนาจเหนือรัฐบาลในการควบคุมการเงินและกองทัพ ต้องเป็นกลุ่มคนที่สามารถประสานความสุขภาพของร่างกายและจิตวิญญาณได้อย่างตลอดเวลา
หลักคิดของนิทซ์ชีเกี่ยวกับอภิมนุษย์ กฎความแตกต่างของธรรมชาติ การรักษาสายเลือดให้บริสุทธิ์ การสนับสนุนสงคราม และการปกครองแบบอภิชนาธิปไตยเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนำมาวางรากฐานเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองและสถาปนาลัทธิฟาสซิสต์ขึ้นมาในประเทศอิตาลี และได้ขยายไปสู่ประเทศเยอรมันจนกระทั่งพัฒนาเป็นลัทธินาซี
อุดมการณ์ของฟาสซิสต์และนาซีคือ ความเชื่อที่ว่ากฎธรรมชาติแล้วมนุษย์เกิดมาไม่เท่าเทียม การเชิดชูความเสมอภาคและเท่าเทียมเท่ากับละเมิดกฎธรรมชาติ ในสังคมมีผู้กลุ่มที่มีสายเลือดสูงส่งอันเป็นชนชั้นสูงหรือเผ่าพันธุ์ที่มีศักยภาพในการเป็นอภิมนุษย์เป็นผู้สร้างวัฒนธรรมอันได้แก่เผ่าอารยัน ส่วนเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่ทำลายอารยธรรมคือพวกยิว ความเชื่อเช่นนี้นำไปสู่การทำสงครามล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยพรรคนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และสร้างโศกนาฏกรรมและรอยแผลที่ยากแก่การลบเลือนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ