จนท.ดอดรื้อไมโครโฟน-จอแอลอีดีพ้นห้องประชุม ครม. “ประยุทธ์” สั่งยุติโครงการทั้งหมด รับราคา 1.4 แสนแพงเกินจริง อ้างไม่ใช้ห้อง 501 เหตุเหม็นกลิ่นสี ป้องอธิบดีกรมโยธาฯ อย่าเพิ่งไปตราหน้าว่าโกง ยังไม่เลิกอัยการศึก อ้างต้องยึดประโยชน์ชาติ ไม่แคร์กระทบท่องเที่ยว เผยติดตาม “ทักษิณ - กลุ่มใต้ดิน” ตลอด แต่อ้อมแอ้มคำถามอยากให้ “นช.แม้ว” กลับไทยหรือไม่ ด้าน “สรรเสริญ” แจงชะลอซื้อไมค์มใหม่รอความชัดเจน สนช.ตั้งแท่นตรวจสอบหลังตั้ง กมธ.เสร็จ “อธิการบดีนิด้า” เตือนหากไม่เอาจริง รัฐบาลสะเทือนแน่
วานนี้ (16 ก.ย.) ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนัดแรก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงกรณีไมโครโฟนและชุดเครื่องเสียงที่ติดตั้งในห้อง 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่จะใช้เป็นห้องประชุม ครม.มีราคาแพงเกินจริง จนมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า ได้สั่งการให้มีการทบทวนใหม่ทั้งหมด และยุติโครงการไปก่อน
ผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่ราคาชุดไมโครโฟนที่สูงถึงชุดละ 1.4 แสนบาท พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ราคานั้น ต้องไปสอบสวนขั้นตอนว่าเหมาะสมหรือไม่ ควรจะต้องใช้ดีขนาดนี้หรือไม่ จริงๆแล้วเราต้องการให้มีการประชุมทางไกลได้ เห็นหน้าเห็นตาของทุกคนเวลาสั่งการ แนวคิดจึงเป็นแบบนั้นมา ส่วนเรื่องของราคานั้นเท่าที่ทราบไมโครโฟนรุ่นนี้นำเข้ามาราคากลางๆยังไม่ชัดเจน อยู่ในขั้นของการต่อรอง ซึ่งอยู่ในขั้นตอนว่าถูกต้องหรือไม่สมควรจะใช้หรือไม่ ตอนนี้ยุติทั้งหมดแล้ว
“ส่วนเรื่องที่ใครจะต้องรับผิดชอบนั้น อย่าเพิ่งให้ตอบตอนนี้เลย ต้องหาข้อมูลให้ได้ก่อนว่าการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ราคาเป็นอย่างไรเป็นอย่างไร แต่วันนี้ที่ยังไม่ใช้ห้องประชุมไม่ได้ เพราะเหม็นสีห้องยังไม่เรียบร้อย สัปดาห์หน้าจะสามารถใช้ห้องประชุมตึกบัญชาการได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯกล่าวด้วยว่า ระหว่างนี้ต้องใช้ไมโครโฟนเก่าไปชั่วคราวก่อน จะหาใหม่หรือไม่ค่อยว่ากัน ตอนนี้นายกฯรับผิดชอบอยู่แล้วในการให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็อย่าเพิ่งไปลงโทษกันหนักหนา เราต้องการให้เกิดความโปร่งใส แล้วก็ต้องดูเจตนาว่าทำเพราะอะไรอย่างไร ต้องไปหากันต่อใจเย็นๆ สำหรับสื่อก็ตรวจสอบไป แต่ต้องให้เวลาบ้าง เพราะต้องเรียกคนมาสอบ และทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เองก็มีกฎหมายตรวจสอบอยู่มีทั้งภาคทัณฑ์ กักขัง จำขัง ไล่ออก ตัดเงินเดือน ขึ้นอยู่กับเจตนาหรือไม่ ก็ให้ไปดูในข้อกฎหมาย ทั้งนี้สิ่งที่อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองพูด ให้รับฟังดูบ้าง ถ้ายังไม่ได้ทุจริตอย่างเพิ่งไปว่าอะไร
ย่องเงียบถอดไมค์-แอลอีดี
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ทางกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการปรับปรุงห้องประชุม ครม.ได้ให้เจ้าหน้าที่จากบริษัทผู้รับเหมาทำการรื้อ และถอดอุปกรณ์ระบบโสตทัศนูปกรณ์ ทั้งไมโครโฟน โทรทัศน์แอลอีดี และเครื่องเสียงที่ติดตั้งใหม่ภายในห้องออกจากการพื้นที่ทั้งหมด และนำไมโครโฟนเดิมที่เคยใช้ก่อนหน้านี้มาติดตั้งแทน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสถานที่ของสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล สั่งห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นไปบนตึกบัญชาการชั้น 5 โดยเด็ดขาดในช่วงที่เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการและผังเมืองถอดรื้อชุดไมโครโฟน
ทั้งนี้การรื้อถอนดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการที่ พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ปลัดบัญชีทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ (คตร.) เข้ารายงานผลสอบต่อที่ประชุม ครม. และสุดท้ายนายกฯมีคำสั่งให้ยกเลิกการติดตั้งไมโครโฟนดังกล่าว
ยังไม่เลิกประกาศกฎอัยการศึก
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังได้เปิดเผยด้วยว่า ยังไม่มีการพิจารณายกเลิกกฎอัยการศึก แต่ได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว โดยต้องอธิบายว่ากฎอัยการศึกเราใช้บางมาตราเท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่และต่างชาติมักจะตกใจคำว่ากฎอัยการศึก แต่ถ้าเราสามารถอธิบายได้ว่าเราใช้ตรงไหนอย่างไร ส่วนเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้นถ้าภายในประเทศไทยไม่มี แต่ถ้าต่างชาติอาจจะมีบ้าง ซึ่งเราต้องเลือกเอาว่าจะเอาผลประโยชน์ของใครก่อน ส่วนข้อกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวนั้น ถ้ายังมีกฎอัยการศึกอยู่ เช่น เรื่องของประกันชีวิตบางบริษัทไม่รับ ขณะนี้รัฐก็ได้อนุมัติตั้งกองทุนแล้ว 200 ล้านบาท เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวในกรณีที่เกิดเหตุ บาดเจ็บสูญเสีย หรือเกิดเหตุจากการปะทะกันจากกฎอัยการศึก หรือม็อบไว้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางลึกเรื่องความสงบถือว่าสงบจริงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้าบนดินก็โอเค มองภาพแบบนี้น่าจะรู้ดีกันอยู่แล้ว ในเว็บไซต์ โซเซียลมีเดีย หรือการปฏิบัติใต้ดิน เราก็มีการสืบทราบดีอยู่ ส่วนเรื่องคดีชายชุดดำนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ซึ่งข้อมูลมาจากประจักษ์พยานหลักฐาน วัตถุพยาน พยานบุคคล ขบวนการ เงินทอง
เกาะติดความเคลื่อนไหว “ทักษิณ”
เมื่อถามต่อว่า เรื่องความสงบนี้ยังไม่สามารถเบาใจได้แล้วหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เบาใจในทุกเรื่อง เพราะปัญหามีอยู่ทุกเรื่อง ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจที่อยู่หลายอย่างด้วยกัน ทั้งปัจจัยภายนอกด้วย สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังไม่ดีขึ้น ทั้งยุโรป ตะวันตก รวมถึงการสู้รบต่างๆ บางประเทศก็มีสงคราม ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบ ประเทศเราก็ได้รับผลกระทบ เช่น เรื่องการส่งออก การประเมินตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ตกทั้งโลก ประเทศใหญ่ๆ อย่างมหาอำนาจก็ตกลงหมด เขาสนใจแต่ว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจของเขาดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวอีกว่า รัฐบาลและ คสช.ยังมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคดีอาญาอยู่ในต่างประเทศหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ทุกพวกตามอยู่หมด เมื่อถามย้ำว่า ติดตามอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีๆ แต่เรื่องความมั่นคงคงบอกไม่ได้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีหน่วยข่าวลับ มีเยอะแยะ มีการติดตามทุกพวก ทั้งคลื่นใต้น้ำและบนน้ำ
เมื่อถามว่า ในความคิดของนายกฯ อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาถูกดำเนินคดีในไทยเพื่อยุติปัญหาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ ตนไม่ทราบ ไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น ใครทำผิดกฎหมายก็ว่าไปตามกฎหมาย
นายกฯโชว์ของขลัง “กำไล-แหวน” เต็มมือ
ในช่วงระหว่างให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่า นายกฯใส่กำไลอะไร พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้ยกข้อมือโชว์กำไล พร้อมกับกล่าวว่า เป็นกำไลเงินหางช้าง ใส่มานานแล้ว คนโบราณเขาเชื่อกันก็เชื่อตามเขา เราคนไทย ศาสนา เขาเชื่อถือกัน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงแหวนที่สวมอยู่ด้วยว่า แหวนก็เหมือนเดิม มีแหวนพระ แหวนนะโม แหวนสมเด็จ แหวนนพเก้า
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า วันก่อนนายกฯสวมแหวนทองที่นิ้วมือข้างขวา แต่วันนี้ทำไมถึงมาสวมนิ้วมือข้างซ้าย นายกฯ กล่าวว่า เวลาสวมเครื่องแบบ มือขวามันตะเบ๊ะไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยน
เมื่อถามว่า แจงไปในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ไปด้วยใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แจงหมด ไม่มีอะไร ตนมีเจตนาดี และก็ไม่ใช่คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกเท่าไรมั้ง หรือดูหน้าตนแล้วจนมากหรืออย่างไร หรือรวยมาก
ผู้สื่อข่าวถามกระเซ้าด้วยว่า ตั้งแต่มาเป็นนายกฯรู้สึกอารมณ์ดีกว่าตอนเป็น ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนก็ดีมาตลอด บางทีต้องอดทนกันบ้าง เมื่อถามย้ำว่า เพราะนักข่าวทำเนียบน่ารักใช่ไหม นายกฯ กล่าวว่า คงเป็นไปได้
“สรรเสริญ” วอนสื่อเลิกถามเรื่องไมค์แพง
ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกครั้งที่พล.อ.ประยุทธ์ ประชุมกับหน่วยงานต่างๆ จะเน้นเรื่องประสิทธิภาพของการทำงาน ความตั้งใจจริง และความโปร่งใสตรวจสอบได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันความสับสนของข้อมูลข่าวสารนายกฯจึงสั่งให้ยุติการจัดซื้อจัดจ้าง และให้ทบทวนใหม่ว่าจะใช้อะไรมาใช้แทนและมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ไม่สิ้นเปลืองเงินจนเกินเหตุและความจำเป็น และให้หน่วยงานต่างๆเข้ามาตรวจสอบว่าที่ผ่านมาขั้นตอนต่างๆมีอะไรเกิดขึ้น ระหว่างนี้นายกฯยังไม่อยากให้ลงไปถึงขั้นว่ามีอะไรทุจริตหรือไม่ มันเสียความตั้งใจ เพราะเท่าที่ผู้เกี่ยวข้องรายงานทุกคนมีความตั้งใจดี และนายกฯสั่งการว่าเรื่องไมโครโฟน ระบบการติดต่อสื่อสารที่จะต้องมีการประชุมวิดีโอคอนเฟอร์เรนท์ไปยังท้องถิ่นต่างๆ ต้องถ่ายทอดคำสั่งสื่อเห็นหน้าตา เพราะระหว่างการเห็นหน้ากับการได้ยินเสียงอย่างเดียว คนละอารมณ์กัน การเห็นหน้าจะได้รู้ว่าตั้งใจ
“ทุกคนจึงตั้งใจดีที่จะตอบสนองต่อนโยบายและติดตั้งให้เร็ว แต่ขั้นตอนอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองราคายังไม่เสร็จสิ้น กลับมีการไปบอกกันก่อนจึงเกิดปัญหา นายกฯจึงวิงวอนทุกฝ่ายว่าเมื่อทุกอย่างมีการทบทวนและขั้นตอนการจัดซื้อยุติแล้ว ของที่ได้มามีประสิทธิภาพไม่แพงเกินจริง และมีการตรวจสอบของคณะกรรมการแล้ว ก็ขอให้ยุติเพื่อให้รัฐบาลมีกำลังใจทำงานต่อไป ขอให้ถามเป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้นายกฯยังฝากขอบคุณสื่อที่ช่วยเป็นหูเป็นตาตรวจสอบเพราะเป็นหน้าที่ อย่าเพิ่งไปมองว่าทุจริต” พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
สนช.ตั้งแท่นเตรียมสอบไมค์ฉาว
อีกด้าน นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบโครงการจัดซื้อไมโครโฟนสำหรับห้องประชุม ครม.ว่า สนช.สามารถตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องรอให้ข้อบังคับการประชุมของ สนช.ผ่านความเห็นชอบก่อน เพราะจะมีการตั้งกรรมาธิการสามัญจำนวน 16 คณะ ขึ้นมาพิจารณาได้ สามารถเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงได้ทันที โดยไม่ต้องมีผู้ยื่นคำร้องเข้ามา
ขณะที่ นายประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในฐานะสมาชิก สนช.กล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลว่า สำหรับโครงการที่พบการทุจริต เช่น โครงการจัดซื้อไมโครโฟน ในห้องประชุม 501 ในทำเนียบรัฐบาล ที่แพงเกินจริงควรใช้การตรวจสอบอย่างเข้มข้นและหากพบความผิดแม้เพียงนิดเดียวต้องใช้กระบวนการลงโทษที่เด็ดขาด หรือ ยาแรง เพื่อป้องกันข้อครหาที่จะทำให้เป็นจุดอ่อนของรัฐบาล
“ผมเชื่อว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง อาจจะมีกรณีที่เรียกว่าถูกวางยาจากกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ขึ้นอีกจำนวนมาก และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้” นายประดิษฐ์ กล่าว
วานนี้ (16 ก.ย.) ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนัดแรก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงกรณีไมโครโฟนและชุดเครื่องเสียงที่ติดตั้งในห้อง 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่จะใช้เป็นห้องประชุม ครม.มีราคาแพงเกินจริง จนมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า ได้สั่งการให้มีการทบทวนใหม่ทั้งหมด และยุติโครงการไปก่อน
ผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่ราคาชุดไมโครโฟนที่สูงถึงชุดละ 1.4 แสนบาท พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ราคานั้น ต้องไปสอบสวนขั้นตอนว่าเหมาะสมหรือไม่ ควรจะต้องใช้ดีขนาดนี้หรือไม่ จริงๆแล้วเราต้องการให้มีการประชุมทางไกลได้ เห็นหน้าเห็นตาของทุกคนเวลาสั่งการ แนวคิดจึงเป็นแบบนั้นมา ส่วนเรื่องของราคานั้นเท่าที่ทราบไมโครโฟนรุ่นนี้นำเข้ามาราคากลางๆยังไม่ชัดเจน อยู่ในขั้นของการต่อรอง ซึ่งอยู่ในขั้นตอนว่าถูกต้องหรือไม่สมควรจะใช้หรือไม่ ตอนนี้ยุติทั้งหมดแล้ว
“ส่วนเรื่องที่ใครจะต้องรับผิดชอบนั้น อย่าเพิ่งให้ตอบตอนนี้เลย ต้องหาข้อมูลให้ได้ก่อนว่าการจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ราคาเป็นอย่างไรเป็นอย่างไร แต่วันนี้ที่ยังไม่ใช้ห้องประชุมไม่ได้ เพราะเหม็นสีห้องยังไม่เรียบร้อย สัปดาห์หน้าจะสามารถใช้ห้องประชุมตึกบัญชาการได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯกล่าวด้วยว่า ระหว่างนี้ต้องใช้ไมโครโฟนเก่าไปชั่วคราวก่อน จะหาใหม่หรือไม่ค่อยว่ากัน ตอนนี้นายกฯรับผิดชอบอยู่แล้วในการให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็อย่าเพิ่งไปลงโทษกันหนักหนา เราต้องการให้เกิดความโปร่งใส แล้วก็ต้องดูเจตนาว่าทำเพราะอะไรอย่างไร ต้องไปหากันต่อใจเย็นๆ สำหรับสื่อก็ตรวจสอบไป แต่ต้องให้เวลาบ้าง เพราะต้องเรียกคนมาสอบ และทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เองก็มีกฎหมายตรวจสอบอยู่มีทั้งภาคทัณฑ์ กักขัง จำขัง ไล่ออก ตัดเงินเดือน ขึ้นอยู่กับเจตนาหรือไม่ ก็ให้ไปดูในข้อกฎหมาย ทั้งนี้สิ่งที่อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองพูด ให้รับฟังดูบ้าง ถ้ายังไม่ได้ทุจริตอย่างเพิ่งไปว่าอะไร
ย่องเงียบถอดไมค์-แอลอีดี
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ทางกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการปรับปรุงห้องประชุม ครม.ได้ให้เจ้าหน้าที่จากบริษัทผู้รับเหมาทำการรื้อ และถอดอุปกรณ์ระบบโสตทัศนูปกรณ์ ทั้งไมโครโฟน โทรทัศน์แอลอีดี และเครื่องเสียงที่ติดตั้งใหม่ภายในห้องออกจากการพื้นที่ทั้งหมด และนำไมโครโฟนเดิมที่เคยใช้ก่อนหน้านี้มาติดตั้งแทน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสถานที่ของสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล สั่งห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นไปบนตึกบัญชาการชั้น 5 โดยเด็ดขาดในช่วงที่เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการและผังเมืองถอดรื้อชุดไมโครโฟน
ทั้งนี้การรื้อถอนดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการที่ พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ปลัดบัญชีทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ (คตร.) เข้ารายงานผลสอบต่อที่ประชุม ครม. และสุดท้ายนายกฯมีคำสั่งให้ยกเลิกการติดตั้งไมโครโฟนดังกล่าว
ยังไม่เลิกประกาศกฎอัยการศึก
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังได้เปิดเผยด้วยว่า ยังไม่มีการพิจารณายกเลิกกฎอัยการศึก แต่ได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว โดยต้องอธิบายว่ากฎอัยการศึกเราใช้บางมาตราเท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่และต่างชาติมักจะตกใจคำว่ากฎอัยการศึก แต่ถ้าเราสามารถอธิบายได้ว่าเราใช้ตรงไหนอย่างไร ส่วนเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้นถ้าภายในประเทศไทยไม่มี แต่ถ้าต่างชาติอาจจะมีบ้าง ซึ่งเราต้องเลือกเอาว่าจะเอาผลประโยชน์ของใครก่อน ส่วนข้อกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวนั้น ถ้ายังมีกฎอัยการศึกอยู่ เช่น เรื่องของประกันชีวิตบางบริษัทไม่รับ ขณะนี้รัฐก็ได้อนุมัติตั้งกองทุนแล้ว 200 ล้านบาท เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวในกรณีที่เกิดเหตุ บาดเจ็บสูญเสีย หรือเกิดเหตุจากการปะทะกันจากกฎอัยการศึก หรือม็อบไว้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางลึกเรื่องความสงบถือว่าสงบจริงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้าบนดินก็โอเค มองภาพแบบนี้น่าจะรู้ดีกันอยู่แล้ว ในเว็บไซต์ โซเซียลมีเดีย หรือการปฏิบัติใต้ดิน เราก็มีการสืบทราบดีอยู่ ส่วนเรื่องคดีชายชุดดำนั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ซึ่งข้อมูลมาจากประจักษ์พยานหลักฐาน วัตถุพยาน พยานบุคคล ขบวนการ เงินทอง
เกาะติดความเคลื่อนไหว “ทักษิณ”
เมื่อถามต่อว่า เรื่องความสงบนี้ยังไม่สามารถเบาใจได้แล้วหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เบาใจในทุกเรื่อง เพราะปัญหามีอยู่ทุกเรื่อง ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจที่อยู่หลายอย่างด้วยกัน ทั้งปัจจัยภายนอกด้วย สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังไม่ดีขึ้น ทั้งยุโรป ตะวันตก รวมถึงการสู้รบต่างๆ บางประเทศก็มีสงคราม ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบ ประเทศเราก็ได้รับผลกระทบ เช่น เรื่องการส่งออก การประเมินตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ตกทั้งโลก ประเทศใหญ่ๆ อย่างมหาอำนาจก็ตกลงหมด เขาสนใจแต่ว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจของเขาดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวอีกว่า รัฐบาลและ คสช.ยังมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคดีอาญาอยู่ในต่างประเทศหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ทุกพวกตามอยู่หมด เมื่อถามย้ำว่า ติดตามอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีๆ แต่เรื่องความมั่นคงคงบอกไม่ได้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีหน่วยข่าวลับ มีเยอะแยะ มีการติดตามทุกพวก ทั้งคลื่นใต้น้ำและบนน้ำ
เมื่อถามว่า ในความคิดของนายกฯ อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาถูกดำเนินคดีในไทยเพื่อยุติปัญหาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ ตนไม่ทราบ ไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น ใครทำผิดกฎหมายก็ว่าไปตามกฎหมาย
นายกฯโชว์ของขลัง “กำไล-แหวน” เต็มมือ
ในช่วงระหว่างให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่า นายกฯใส่กำไลอะไร พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้ยกข้อมือโชว์กำไล พร้อมกับกล่าวว่า เป็นกำไลเงินหางช้าง ใส่มานานแล้ว คนโบราณเขาเชื่อกันก็เชื่อตามเขา เราคนไทย ศาสนา เขาเชื่อถือกัน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงแหวนที่สวมอยู่ด้วยว่า แหวนก็เหมือนเดิม มีแหวนพระ แหวนนะโม แหวนสมเด็จ แหวนนพเก้า
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า วันก่อนนายกฯสวมแหวนทองที่นิ้วมือข้างขวา แต่วันนี้ทำไมถึงมาสวมนิ้วมือข้างซ้าย นายกฯ กล่าวว่า เวลาสวมเครื่องแบบ มือขวามันตะเบ๊ะไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยน
เมื่อถามว่า แจงไปในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ไปด้วยใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แจงหมด ไม่มีอะไร ตนมีเจตนาดี และก็ไม่ใช่คนที่สิ้นไร้ไม้ตอกเท่าไรมั้ง หรือดูหน้าตนแล้วจนมากหรืออย่างไร หรือรวยมาก
ผู้สื่อข่าวถามกระเซ้าด้วยว่า ตั้งแต่มาเป็นนายกฯรู้สึกอารมณ์ดีกว่าตอนเป็น ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนก็ดีมาตลอด บางทีต้องอดทนกันบ้าง เมื่อถามย้ำว่า เพราะนักข่าวทำเนียบน่ารักใช่ไหม นายกฯ กล่าวว่า คงเป็นไปได้
“สรรเสริญ” วอนสื่อเลิกถามเรื่องไมค์แพง
ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกครั้งที่พล.อ.ประยุทธ์ ประชุมกับหน่วยงานต่างๆ จะเน้นเรื่องประสิทธิภาพของการทำงาน ความตั้งใจจริง และความโปร่งใสตรวจสอบได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันความสับสนของข้อมูลข่าวสารนายกฯจึงสั่งให้ยุติการจัดซื้อจัดจ้าง และให้ทบทวนใหม่ว่าจะใช้อะไรมาใช้แทนและมีประสิทธิภาพและเหมาะสม ไม่สิ้นเปลืองเงินจนเกินเหตุและความจำเป็น และให้หน่วยงานต่างๆเข้ามาตรวจสอบว่าที่ผ่านมาขั้นตอนต่างๆมีอะไรเกิดขึ้น ระหว่างนี้นายกฯยังไม่อยากให้ลงไปถึงขั้นว่ามีอะไรทุจริตหรือไม่ มันเสียความตั้งใจ เพราะเท่าที่ผู้เกี่ยวข้องรายงานทุกคนมีความตั้งใจดี และนายกฯสั่งการว่าเรื่องไมโครโฟน ระบบการติดต่อสื่อสารที่จะต้องมีการประชุมวิดีโอคอนเฟอร์เรนท์ไปยังท้องถิ่นต่างๆ ต้องถ่ายทอดคำสั่งสื่อเห็นหน้าตา เพราะระหว่างการเห็นหน้ากับการได้ยินเสียงอย่างเดียว คนละอารมณ์กัน การเห็นหน้าจะได้รู้ว่าตั้งใจ
“ทุกคนจึงตั้งใจดีที่จะตอบสนองต่อนโยบายและติดตั้งให้เร็ว แต่ขั้นตอนอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองราคายังไม่เสร็จสิ้น กลับมีการไปบอกกันก่อนจึงเกิดปัญหา นายกฯจึงวิงวอนทุกฝ่ายว่าเมื่อทุกอย่างมีการทบทวนและขั้นตอนการจัดซื้อยุติแล้ว ของที่ได้มามีประสิทธิภาพไม่แพงเกินจริง และมีการตรวจสอบของคณะกรรมการแล้ว ก็ขอให้ยุติเพื่อให้รัฐบาลมีกำลังใจทำงานต่อไป ขอให้ถามเป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้นายกฯยังฝากขอบคุณสื่อที่ช่วยเป็นหูเป็นตาตรวจสอบเพราะเป็นหน้าที่ อย่าเพิ่งไปมองว่าทุจริต” พ.อ.สรรเสริญ กล่าว
สนช.ตั้งแท่นเตรียมสอบไมค์ฉาว
อีกด้าน นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบโครงการจัดซื้อไมโครโฟนสำหรับห้องประชุม ครม.ว่า สนช.สามารถตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องรอให้ข้อบังคับการประชุมของ สนช.ผ่านความเห็นชอบก่อน เพราะจะมีการตั้งกรรมาธิการสามัญจำนวน 16 คณะ ขึ้นมาพิจารณาได้ สามารถเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงได้ทันที โดยไม่ต้องมีผู้ยื่นคำร้องเข้ามา
ขณะที่ นายประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในฐานะสมาชิก สนช.กล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลว่า สำหรับโครงการที่พบการทุจริต เช่น โครงการจัดซื้อไมโครโฟน ในห้องประชุม 501 ในทำเนียบรัฐบาล ที่แพงเกินจริงควรใช้การตรวจสอบอย่างเข้มข้นและหากพบความผิดแม้เพียงนิดเดียวต้องใช้กระบวนการลงโทษที่เด็ดขาด หรือ ยาแรง เพื่อป้องกันข้อครหาที่จะทำให้เป็นจุดอ่อนของรัฐบาล
“ผมเชื่อว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง อาจจะมีกรณีที่เรียกว่าถูกวางยาจากกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ขึ้นอีกจำนวนมาก และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้” นายประดิษฐ์ กล่าว