ASTVผู้จัดการรายวัน - นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม (Asia-Europe Finance Ministers’ Meeting: ASEM FinMM) ครั้งที่ 11ได้ใช้โอกาสชี้แจงถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและนโยบายของรัฐบาลไทยแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจากประเทศสมาชิกอาเซมทั้งจากฝ่ายยุโรปและเอเชีย รวม 49 ประเทศ ให้เชื่อมั่นในแนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์การบริหารประเทศ 3 ระยะของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่มีเป้าหมายในการวางรากฐานทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่แข็งแกร่งและสร้างความปรองดองในชาติ และจะจัดให้มีการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมในปี 2558
นายสมหมายได้อธิบายถึงสถานการณ์ในประเทศไทยว่า หลังจาก คสช. ได้เข้ามาบริหารประเทศ สถานการณ์ในประเทศได้มีความสงบสุขและมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงนโยบายของประเทศที่ยึดมั่นในระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและเสรี และมุ่งเน้นการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนอย่างมั่นคงในระยะยาว
การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม มีการพิจารณาความร่วมมือระหว่างยุโรปและเอเชียในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ใช้โอกาสนี้ ชักนำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิกอาเซม ตลอดจนสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ พิจารณาร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยและของภูมิภาคเอเชีย เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงทางการค้าและการลงทุน และพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในภูมิภาค โดยได้ย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการคลังและเสริมสร้างประสิทธิภาพให้มากขึ้น.
นายสมหมายได้อธิบายถึงสถานการณ์ในประเทศไทยว่า หลังจาก คสช. ได้เข้ามาบริหารประเทศ สถานการณ์ในประเทศได้มีความสงบสุขและมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้เน้นย้ำถึงนโยบายของประเทศที่ยึดมั่นในระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและเสรี และมุ่งเน้นการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนอย่างมั่นคงในระยะยาว
การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซม มีการพิจารณาความร่วมมือระหว่างยุโรปและเอเชียในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ใช้โอกาสนี้ ชักนำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิกอาเซม ตลอดจนสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ พิจารณาร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยและของภูมิภาคเอเชีย เพื่อสนับสนุนการเชื่อมโยงทางการค้าและการลงทุน และพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในภูมิภาค โดยได้ย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการคลังและเสริมสร้างประสิทธิภาพให้มากขึ้น.