ASTVผู้จัดการ - ทูตยุโรป 11 ประเทศ แจง “บิ๊กเจี๊ยบ” ประเทศในยุโรปยังคงมีข้อสงวนเกี่ยวกับการแสดงท่าทีทางการเมืองต่อสถานการณ์ในไทย แต่ยินดีกำลังดำเนินตามโรดแมป เพื่อคืนเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจกลับสู่ประเทศ
วันนี้ (16 ต.ค.) กระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยภารกิจของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างเยือน ประเทศอิตาลี เพื่อประชุมร่วมการประชุมสภาธุรกิจเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Business Forum - AEBF) ครั้งที่ 15 ซึ่งเป็นการประชุมคู่ขนานของภาคธุรกิจกับการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 10 (ASEM 10)
โดยรองนายกฯ ได้เป็นประธานการประชุมเอกอัครราชทูตประจำภูมิภาคยุโรป เพื่อมอบนโยบายในการทำงานแก่เอกอัครราชทูต 11 คน ที่ประจำการในประเทศยุโรป 10 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส นอร์เวย์ เยอรมนี เบลเยียม เดนมาร์ก เช็ก เนเธอร์แลนด์ อิตาลี โปแลนด์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวถึงทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยที่มุ่งสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนานาชาติในทุกๆ ด้าน การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทย การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน การแก้ไขปัญหาการแก้ไขปัญหาข้ามชาติต่างๆ อย่างเป็นระบบ รวมถึงการดูแลคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้ย้ำถึงความสำคัญที่รัฐบาลไทยให้กับภาคเอกชนและการส่งเสริมการค้าและ การลงทุนระหว่างนักลงทุนไทยกับประเทศในยุโรป โดยอาศัยประโยชน์จากการที่ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ภาคเอกชนยุโรปสามารถต่อยอดการดำเนินธุรกิจไปประเทศเพื่อนบ้านและประเทศจีนตอนใต้ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ความเชื่อมั่นของต่างชาติเป็นเรื่องสำคัญ จึงขอให้เอกอัครราชทูตในภูมิภาคยุโรปทำงานอย่างต่อเนื่องและ แข็งขันในการดำเนินการเชิงรุกเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและขยายความร่วมมือกับประเทศในยุโรปในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน
ที่ประชุมเอกอัครราชทูตให้ความเห็นว่า ในขณะที่ประเทศในยุโรปยังคงมีข้อสงวนเกี่ยวกับการแสดงท่าทีทางการเมืองต่อสถานการณ์ในไทย แต่โดยรวมแล้วประเทศต่างๆ มีความยินดีที่ไทยกำลังดำเนินตามโรดแมป เพื่อนำเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจกลับคืนสู่ประเทศในระดับประชาชน ไทยยังมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของชาวยุโรป
ที่ประชุมเห็นว่า ในช่วงเวลาปัจจุบันไทยและประเทศในยุโรปจะต้องรักษาความร่วมมือในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันให้เดินหน้าต่อไป เช่น การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ความร่วมมือด้านพลังงานทดแทน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษา และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของชุมชนคนไทยในยุโรป
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำถึงความสำคัญของการทำงานอย่างมีบูรณาการ และทำงานโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ก่อนหน้านี้คณะ รมว.ต่างประเทศ ได้พบหารือกับผู้แทนนักธุรกิจไทยที่ลงทุนในอิตาลี รวมทั้งหน่วยงานไทยที่รับผิดชอบด้านการค้าการลงทุน และนักธุรกิจที่จะเป็นผู้แทนประเทศไทยในการกล่าวอภิปราย
พล.อ.ธนะศักดิ์ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับนักธุรกิจไทยเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับอิตาลี ตลอดจนสร้างความมั่นใจต่อภาคเอกชนไทยว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมให้เอกชนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ขณะนี้ประเทศไทยมีความมั่นคงมากขึ้นแล้ว อย่างไรก็ดี จำเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นคงที่ยั่งยืนโดยผ่านกระบวนการปฏิรูปที่มีส่วนร่วมโดยทุกฝ่าย พล.อ. ธนะศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการเยือนต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมาต่างประเทศแสดงความมั่นใจและสนใจที่จะลงทุนกับไทยอย่างต่อเนื่อง
ในเรื่องปัญหาอุปสรรคของภาคเอกชนไทย รวมทั้งประเด็นด้านแรงงาน พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวว่า รัฐบาลมีความตั้งใจในการจัดการแก้ไขปัญหาค้าการค้ามนุษย์ ประเด็นแรงงาน โดยการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมต่อการลงทุนที่ได้มาตรฐานสากล
ภาคธุรกิจไทยแสดงความพร้อมที่จะขยายการค้าและการลงทุนในอิตาลีและสหภาพยุโรป และเห็นว่าในขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยเหลือกัน แนวทางที่จะกล่าวกับนักธุรกิจของประเทศยุโรปคือการส่งเสริมให้สหภาพยุโรปเข้ามาค้าขายกับเอเชียมากขึ้นและต่างประเทศควรให้ความสำคัญที่จะมาลงทุนกับไทยซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังเอเชีย อเมริกา และยุโรป อย่างไรก็ดี ขั้นตอนและกระบวนการการนำเข้า-ส่งออกยังเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการลงทุนของต่างประเทศในไทย
นอกจากนี้ แสดงความประสงค์ให้กระบวนการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-EU โดยเร็ว หากสำเร็จแล้วจะช่วยแก้ไขปัญหาสินค้าต่างๆ รวมทั้งอาหารทะเลส่งออกของไทยซึ่งปัจจุบันเสียภาษีในอัตราที่สูงมาก ส่วนการค้ากับอิตาลีเห็นว่า จำเป็นที่ต้องเจรจาให้ภาครัฐของอิตาลีแก้ไขกฎ ระเบียบ เช่น กฎหมายแรงงาน เพื่อเอื้อต่อการกระตุ้นการค้าการลงทุน สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศเห็นว่าอาหาร กีฬา และแฟชั่น เป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ การสร้างโอกาสในการค้า การออกงานแสดงสินค้าจึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเน้น การสร้างความเข้าใจและภาพพจน์เกี่ยวกับสินค้าไทย งาน EXPO ในปีหน้าจะเป็นโอกาสที่ดีในการส่งเสริมการค้าสินค้าอาหารไทยได้ ทั้งนี้ ภาพลักษณ์ด้านอาหารของไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม แจ้งว่านโยบายการทูตด้านอาหาร (gastronomy diplomacy) เพื่อส่งเสริมอาหารไทยเป็นนโยบายที่ต่างชาติชื่นชมและนำไปปฏิบัติตาม
ภายหลังการหารือ พล.อ.ธนะศักดิ์ได้เข้าเยี่ยมชมธุรกิจที่ห้างสรรพสินค้า La Rinascente (ลีนาเชนเต้) ซึ่งห้างสรรพสินค้าที่ถือหุ้นโดยคนไทยทั้งหมดและเป็นการลงทุนที่ใหญ่สุดของไทยในอิตาลี