xs
xsm
sm
md
lg

ห่วงPACK1ดันสต๊อกล้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - การเคหะฯ แจง “คสช.-สศค.”อนุมัติโครงการแพ็กเกจ1 แค่ 16,000 หน่วย จากยอดขออนุมัติตามแผนแม่บท 49,769 หน่วย เหตุราคา-ลูกค้าบางส่วนเป็นกลุ่มเดียวกัน หวั่นปัญหาสต๊อกตกค้างซ้ำรอยบ้านเอื้อฯ เผยเตรียมเสนออนุมัติขอสร้าง เพิ่มในปีงบประมาณ2558 อีก7,000-9,000 หน่วย พร้อมทยอยขออนุมัติในปีถัดไปจนครบตามแผนแม่บท ล่าสุดเดินหน้าโครงการเชิงพาณิชย์ปั้นรายได้เข้าองค์กร พร้อมปรับกลยุทธ์การตลาด เน้นจับความต้องการแท้จริง แก้ปัญหาต้นทุนดอกเบี้ยบานปลายจากปัญหา สต๊อกติดมือ ชี้โมเดลบ้านเอื้อฯประสบการณ์ตรง ปัญหาต้นทุนบานปลายจากดีมานด์เทียม คาดแพ็กเกจ1ล็อตแรก 16 โครงการ เปิดขายก.ย.นี้

นายถวัลย์ สุนทรวินิต รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กคช. มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยหลักๆอยู่ 3 กลุ่มคือ 1.กลุ่มโครงการบ้านเอื้ออาทร 2.โครงการที่อยู่อาศัยชุดที่1 (PACK1) และ3.โครงการที่อยู่อาศัยแนวรถไฟฟ้า โดยทั้ง3กลุ่มที่อยู่อาศัยนี้ มีกลุ่มลูกค้าที่แยกกันชัดเจน โดยโครงการบ้านเอื้ออาทรเป็นการพัฒนาโครงการเพื่อผู้มีรายได้น้อย ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ปี 2554
ที่อนุมัติให้ลดจำนวนการก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรจากจำนวน 6 แสนหน่วย ที่ครม.อนุมัติไว้ในปี2546 ลงมาอยู่ที่ 2.81 แสนยูนิต เพื่อให้จำนวนบ้านในโครงการสอดรับกับความต้องการซื้อ(ดีมานด์) จริง
ซึ่ง ณ ปัจจุบันโครงการบ้านเอื้อฯมีการขายออกไปแล้วกว่า98% คงเหลือบ้านเอื้ออาทรที่สร้างเสร็จแล้วและต้องระบายออกในมือ ณ ปี 2557 ที่ 1.6-1.8 หมื่นหน่วย และส่วนที่อยู่ระหว่างก่อสร้างประมาณ 7พันหน่วย ซึ่งคาดว่าทั้งหมดนี้จะสามารถระบายออกได้หมดในปี2557-2558นี้

ส่วนโครงการแพ็กเกจ1 นั้นเป็นโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อจับกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลาง-บน โดยจะพัฒนาออกมาในรูปแบบบ้านเดี่ยว ทาวนเฮาส์ 3ชั้น และห้องชุด ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการเพื่อสร้างรายได้เข้าองค์กรหรือโครงการเชิงพาณิชย์ โดยในแผนแม่บทปี2557-2560นั้น กคช.มีแผนจะพัฒนาที่อยู่อาศัยกลุ่มนี้ออกมาขาย96โครงการรวม 49,769 หน่วย คิดเป็นวงเงินลงทุนรวม 34,198.475 ล้านบาท อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ กคช.ได้นำเสนอแผนแม่บทต่อสำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศค.) เพื่อเสนอขออนุมัติจาก ครม.นั้น ล่าสุด คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้พิจารณาและอนุมัติให้ กคช.ดำเนินการได้เพียง 38 โครงการ รวมทั้งสิ้น 16,146 หน่วย ในกรอบวงเงินลงทุนรวม 9,577.752 ล้านบาท

สำหรับโครงการกลุ่มที่ 3คือ โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยแนวรถไฟฟ้า ซึ่ง กคช. เตรียมเสนอ สศค. โดยโครงการดังกล่าวจะใช้บริเวณจุดจอดรถไฟฟ้า(ดีโป้) เพื่อก่อสร้างเป็นอาคารชุด คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของครม. รัฐบาลชุดใหม่ในช่วงปลายปีนี้ โดยโครงการดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในหลายด้าน เช่น ความต้องการที่อยู่อาศัยว่าจะต้องก่อสร้างจำนวนเท่าไหร่ ราคาเริ่มต้นเท่าใด เนื่องจากเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยราคาจึงต้องมีการคำนวณให้ชัดเจน เพราะมีการใช้ที่ดินของการรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) เรื่องการแบ่งผลตอบแทน รวมไปถึงทุกโครงการจะต้องมีการก่อสร้างเชิงพาณิชย์ด้วย เช่น คอมมูนิตี้มอลล์ขนาดเล็กภายในโครงการ

“เบื้องต้นคาดว่าจะก่อสร้าง 4 ทำเล คือ จุดจอดรถไฟฟ้า 1.สายสีม่วงบริเวณคลองบางไผ่ 2.สีเขียว บริเวณบางปิ้ง สีชมพู และสีส้ม ซึ่งเป็นจุดจอดเดียวกันบริเวณมีนบุรี จำนวน 7 โครงการ แบ่งเป็นโครงการอยู่บนที่ดินของการรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) 3 โครงการ และของการเคหะแห่งชาติ 4 โครงการ ซึ่งเป็นรูปแบบการเช่าระยะเวลา 30 ปี”

นายถวัลย์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามแม้ว่าตามแผนแม่บทปี2557-2560ของกคช. จะยื่นขอพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ ภายใต้ชื่อโครงการแพ็กเกจ 1 ต่อรัฐบาลเป็นจำนวน 49,769 หน่วย แต่โครงการดังกล่าวกลับได้รับการพิจารณาอนุมัติให้ก่อสร้างเพียง 16,146 หน่วย นั้นไม่ได้หมายความว่ากคช.จะมีการพัฒนาโครงการแพ็กเกจ1เพียง 16,146 หน่วยเท่านั้น เนื่องจากกคช.ยังมีแผนจะทยอยขออนุมัติก่อสร้างเพิ่มในปีถัดๆ โดยในปีงบประมาณ 2558นี้ กคช.เตรียมเสนอแผนขออนุมัติการพัฒนาเพิ่มอีก 7,000 -9,000 หน่วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและพิจารณาปรับจำนวนการก่อสร้างให้เหมาะกับดีมานด์จริง

“การที่ สศค.อนุมัติให้ก่อสร้างโครงการแพ็กเกจ1เพียง 16,146 หน่วยในปีงบประมาณ2557นั้น คาดว่าจะมีสาเหตุมาจากสต๊อกบ้านเอื้อฯที่ติดมืออยู่ อีกกว่า20,000 หน่วย ซึ่งต้องเร่งระบายออกในช่วงปี2557-2558ให้หมด ทั้งนี้เมื่อพิจารณาระดับราคาขายของบ้านเอื้อฯที่มีการปรับขึ้นตามต้นทุนก่อสร้างใหม่และราคาที่ดินกว่า10% ทำให้ราคาขายบ้านเอื้อฯในปัจจุบันขยับจาก4.2แสนบาทมาอยู่ที่ 4.4-5.5แสนบาทต่อหน่วย กับราคาขายที่อยู่อาศัยในกลุ่มแพ็กเกจ1ที่มีระดับราคาเริ่มต้น 550,000 บาทถึง 4ล้านบาทปลายๆ แล้ว พบว่ายังมีที่อยู่อาศัยบางส่วนที่มีฐานลูกค้าในกลุ่มตลาดเดียวกันคือ ดังนั้นการพิจารณาอนุมัติให้ก่อสร้างโครงการแพ็กเกจ1รวดเดียว 49,769 หน่วย อาจจะทำให้เกิดปัญหาบ้านค้างสต๊อกและกลายมาเป็นต้นทุนของกคช.ในอนาคตได้ โดยเฉพาะโครงการที่พัฒนาออกมาใหม่นี้จะเป็นโครงการพร้อมขายทันที ซึ่งประสบการณ์จากการบ้านค้างสต๊อกในโครงการเอื้ออาทร ถือว่าเป็นบทเรียนที่ดีที่ กคช.ต่อคำนึงถึง”

ด้านนายกฤษดา รักษากุล ผู้ว่าการการ กคช. กล่าวว่า หลังจาก คสช. เห็นชอบในหลักการกรอบแผนการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ 1 ปี 57-60 จำนวน 38 โครงการ รวมทั้งสิ้น 16,146 หน่วย ภายใต้กรอบวงเงินลงทุนรวม 9,577.752 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินอุดหนุนจำนวน 1,249.958 ล้านบาท เงินกู้ภายในประเทศ จำนวน 7,113.570 ล้านบาท และเงินรายได้ของการเคหะแห่งชาติ จำนวน 1,214.224 ล้านบาทแล้ว กคช. ได้เริ่มดำเนินการพัฒนาโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค ทันที โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 58

โดย แบ่งโครงการฯ ออกเป็น 2 ประเภท คือ โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน รายได้น้อยถึงปานกลาง จำนวน 25 โครงการ รวมทั้งสิ้น 14,773 หน่วย ประกอบด้วย บางขุนเทียน 3 ระยะที่ 1, สมุทรปราการ (เทพารักษ์ 3) ระยะที่ 3 ส่วนที่ 1, นนทบุรี (วัดกู้ 3), พะเยา, เชียงใหม่ (หนองหาร) ระยะที่ 1, เชียงใหม่ (สันผีเสื้อ), เชียงใหม่ (ไนท์ซาฟารี) ระยะที่ 1, กระบี่ (กระบี่น้อย), ภูเก็ต (ถลาง) ระยะที่ 2, จันทุบรี ระยะที่ 3, นครราชสีมา (ปากช่อง 2), ลาดกระบัง 2 ระยะที่ 3/1, ลาดกระบัง 2 ระยะที่ 3/2, รังสิต คลอง 10/1, รังสิต คลอง 10/2, ตลาดไท (เทพกุญชร 34) ระยะที่ 2 ส่วนที่ 1, สมุทรปราการ (ประชาอุทิศ),ลำปาง (ต้นธงชัย), พิษณุโลก (บึงพระ 2), ชลบุรี (นาเกลือ) ระยะที่ 2, ชลบุรี (กุฎโง้ง), อุดรธานี (หนองสำโรง), หนองคาย (แยกเวียงจันทน์), ศรีสะเกษ (โพนข่า) ระยะที่ 1 ส่วนที่ 2 และสงขลา (หาดใหญ่-ลพบุรีราเมศวร์) ลักษณะอาคาร ได้แก่ อาคารชุดสูง 3-5 ชั้น ขนาดห้องประมาณ 33 ตารางเมตร, บ้านเดี่ยว 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น ขนาดพื้นที่ประมาณ 21-24 ตารางวา และทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ขนาดพื้นที่ประมาณ 16 ตารางวา

ส่วนโครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน ซึ่งเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ จะมีจำนวน 13 โครงการ รวมทั้งสิ้น 1,373 หน่วย ประกอบด้วย ร่มเกล้า ระยะที่ 10 พาร์ควิลล์ ร่มเกล้า, บ้านศรีนวมินทร์ 2, บางพลี ทาวน์โฮม, อยุธยา (โรจนะ), นครสวรรค์ นิวมาร์ท, ชลบุรี (นาจอมเทียน) ภูเก็ต 2, บางโฉลง ทาวน์โฮม,เชียงใหม่ (ดอยสะเก็ด), เพชรบูรณ์ ระยะที่ 1, ศรีสะเกษ (โพนข่า) ระยะที่ 1 ส่วนที่ 1, นครศรีธรรมราช (อ้อมค่าย) และภูเก็ต (เทพกระษัตรี) ลักษณะอาคาร ได้แก่ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว, บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดพื้นที่ประมาณ 31-50 ตารางวา, อาคารพาณิชย์ 2.5 ชั้น ขนาดพื้นที่ประมาณ 22.5 ตารางวา, อาคารพาณิชย์ 3-3.5 ชั้น ขนาดพื้นที่ประมาณ 18-42 ตารางวา, ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น ขนาดพื้นที่ประมาณ 24-54 ตารางวา และอาคารชุด 7 ชั้น ขนาดห้องประมาณ 40-50 ตารางเมตร

ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติได้มีมาตรการขายก่อนก่อสร้างโครงการ โดยคำนึงถึงความต้องการแท้จริงของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ และต้องมียอดขายไม่ต่ำกว่า 50 % จึงจะดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งการจัดทำโครงการการเคหะแห่งชาติพิจารณาแบ่งส่วนการดำเนินการก่อสร้างและขายแต่ละโครงการ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอาคารคงเหลือ โดยกำหนดระยะเวลาการขายแบ่งออกเป็น 3 ช่วงคือ ช่วงแรกจะดำเนินการขายจำนวน 16 โครงการรวมทั้งสิ้น 6,103 หน่วย ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. - 6ต.ค. ช่วงที่ 2 จะดำเนินการขายจำนวน 17 โครงการ รวมทั้งสิ้น 6,515 หน่วย ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2557 และช่วงที่ 3 จะดำเนินการขายจำนวน 5 โครงการ รวมทั้งสิ้น 3,528 หน่วย ตั้งแต่วันที่ 21-30 พ.ย.57

นายกฤษดา กล่าวว่า งานมหกรรมบ้านและเคหะแฟร์ 2014 ที่การเคหะแห่งชาติจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-31 ส.ค. ที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนที่สนใจซื้อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ 1 ลงชื่อแสดงความจำนงไว้ ซึ่งขณะนี้มียอดผู้สนใจกว่า 3,000 ราย เราจะใช้วิธีการขายแบบ Direct Sales โดยจะติดต่อกลับไปหาลูกค้าเพื่อยืนยันความต้องการอีกครั้งแล้วเรียกให้มาทำสัญญากับการเคหะแห่งชาติ วิธีนี้จะทำให้เราสามารถปิดการขายโครงการได้เร็วขึ้น ไม่เกิดปัญหาอาคารคงเหลือ
กำลังโหลดความคิดเห็น