xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยเรื่อง ‘อำนาจ’

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

ยุคนี้เป็นช่วงขาขึ้นของพวกผู้มี “อำนาจ” บ้านเมืองจึงปราศจากบรรยากาศที่เคยเป็น ประชาชนขาดสิทธิเสรีภาพในการพูด เขียน แสดงความคิดเห็น แสดงออกโดยการชุมนุมเกิน 5 คน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ประชาชนโดยตรงหรือเรื่องการเมือง

เป็นช่วงผู้นำใช้อำนาจกฎอัยการศึกรักษาอำนาจที่ได้มาจากการทำรัฐประหาร!

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยอยู่ในสภาวะเช่นนี้ เพราะผ่านการทำรัฐประหารโดยผู้นำกองทัพ หรือกองกำลังมากถึง 17-18 ครั้ง สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่ไม่มีแม้แต่สักครั้งเดียวที่ประชาชนมีความพอใจหลังจากผู้มีอำนาจจากรัฐประหารบริหารบ้านเมือง

ส่วนใหญ่ใช้ข้ออ้างความรักชาติ ห่วงชาติ โยนความผิดให้ผู้สูญเสียอำนาจว่าเป็นผู้กระทำการทุจริต คอร์รัปชัน ข่มเหงข้าราชการ ประชาชน ผลสุดท้ายผู้รักชาติกำมะลอนั่นแหละไปไม่รอด ถูกประชาชนขับไล่เมื่อถูกจับได้ว่าเป็นตัวชั่วร้ายเลวทรามด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันประชาชนส่วนหนึ่ง มากหรือน้อยก็ตาม ที่เป็นห่วงใยสภาวะความเป็นไปของบ้านเมือง ยอมรับสภาพของการกดดัน ไม่สามารถปริปากวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มผู้มีอำนาจซึ่งใช้กฎหมายควบคุมประชาชน อ้างความจำเป็นเพื่อความมั่นคงของประเทศ

เมื่อยังไม่มีหลักฐานปรากฏชัดว่ามีการกระทำไม่ถูกต้อง ประชาชนต้องทนรอ! เพื่อเห็นแก่ความสงบของบ้านเมือง ประชาชนยอมเชื่อฟังผู้นำว่าขอให้เสียสละสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สื่อต่างๆ ถูกควบคุม ห้ามวิจารณ์ผู้มีอำนาจในวงการต่างๆ

องค์กรอิสระต้องอยู่เหนือคำวิจารณ์ แม้จะมีเรื่องฉาว พฤติกรรมไม่โปร่งใส!

ประชาชนยังอดสงสัยไม่ได้ว่าที่แท้แล้วเป็นเพื่อความมั่นคงของผู้มีอำนาจหรือไม่ต้องการอยู่ในอำนาจนานๆ ไร้ผู้ต่อต้านคัดค้านถึงขั้นห้ามประชาชนแสดงความรักชาติ เรียกร้องสิทธิในความเป็นคนในการแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า เช่นราคาพลังงานอย่างเป็นธรรม

“ผู้มีอำนาจ” หรือ “ผู้กุมอำนาจ” โดยทั่วไปมีพลังของอำนาจแตกต่างกัน เช่น มีทั้งเงินทุนมั่งคั่งมหาศาล มีตำแหน่ง กองกำลังหนุน มีอาวุธ มีความโหดเหี้ยม อิทธิพล และที่พูดให้ได้ยินบ่อยๆ คือ “อำนาจเกิดจากปากกระบอกปืน” จากปากของ “เหมา เจ๋อตุง”

“อำนาจ” มีความเร้นลับ อาถรรพ์ และพลัง แต่ใครจะมีอำนาจนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย!

ถ้าใครทำอะไรขัดใจผู้ทรงอำนาจ มักมีเสียงเตือนว่า “อย่าไปขัดขวางเค้า เค้ามีอำนาจ ไม่กลัวหรือ” ในความเป็นจริง ใครจะมีอำนาจไม่ได้ง่ายๆ เช่นถ้ามีใครทำตาขวางวางก้ามตะโกนข้างถนน “กูมีอำนาจโว้ย” อาจทำให้คนหมั่นไส้อยากเอาตีนลูบหน้าก็ได้

เว้นแต่ว่าคนนั้นเป็นของจริง เป็นคนมีสี คนในเครื่องแบบ เจ้าพ่อมีลูกน้องห้อมล้อม เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าคนนั้นเป็น “ขาใหญ่” เป็นนักการเมืองโหดโคตรโกง มีลูกเป็นนักเลง บอดี้การ์ดระรานชาวบ้านอย่างไร้ศีลธรรม คนดีไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย

คนมีอำนาจใช่ว่าจะเป็นคนใจกล้าทุกคน อาจเป็นคนใจเสาะ อาศัยสมุนบริวาร กองกำลังติดอาวุธ จึงแสดงความอหังการเมื่อสวมหัวโขน ถ้าหลุดจากตำแหน่ง ขาลอยเมื่อไหร่ก็ไม่ต่างจากคนเดินดิน มีวันตายอย่างที่พูดกันว่า “ใหญ่แค่ไหนก็เล็กกว่าโลง”

คนจะมี “อำนาจ” ได้ ต้องมีคนอื่นยอมรับสภาพของอำนาจ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็อ้างได้ว่า “ข้ามีอำนาจ” ในความเป็นจริง เดี่ยวๆ แล้วไม่มีใครกลัวใครถ้าไม่ใจเสาะเกินไป ดังนั้นคนมีอำนาจจึงมีปัจจัยสนับสนุนให้คนอื่นยอมรับรู้สึกเกรงขาม ไม่กล้าลอง

ไม่มีใครสามารถเป็นผู้มีอำนาจถาวร จะมีคนท้าทายอำนาจเสมอ ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย ต้องหาทางเพิ่มอำนาจ เพราะความหวาดกลัว ถ้ามีอำนาจแล้วจะยั่งยืนให้ผู้อื่นยอมรับหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าใช้อำนาจนั้นเพื่อผลประโยชน์อันใด

ถ้าเป็นผู้นำประเทศ ใช้อำนาจพร่ำเพรื่อ ไร้แก่นสาร ขาดศรัทธาของผู้อื่น สักวันหนึ่งอำนาจก็ไร้พลัง ถ้ามีอำนาจแต่ไม่ใช้ อีกไม่นานอำนาจก็เสื่อมสลาย เหมือนคนถือปืนไร้กระสุน โดยทั่วไป มักมีการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง

ผู้นำประเทศที่ได้อำนาจมาโดยการยึดอำนาจจากผู้อื่นจำเป็นต้องใช้อำนาจเพื่อรักษาความมั่นคงของตัวเอง บ้างก็เป็นเผด็จการ บ้างก็เป็นทรราช ขึ้นอยู่กับความทะเยอทะยานในความต้องการอำนาจเพื่อกดขี่ผู้อื่นตามที่เห็นในประวัติศาสตร์ทุกยุค

มีผู้นำไม่กี่รายที่มีอำนาจอยู่บนฐานของการทำความดีเพื่อประชาชน มีพลังแห่งศรัทธา! แต่ส่วนใหญ่มักใช้อำนาจเพื่อกดหัวอาณาประชาราษฎร์โดยอ้างความรักชาติ ผูกขาดความรักชาติ บางคนถึงกล้าสั่งฆ่าประชาชนเพื่อรักษาอำนาจจนกว่าจะถูกโค่น

“อำนาจ” จึงเป็นเหมือนดาบสองคม เมื่อใช้จัดการคนอื่นโดยขาดความระวัง ปราศจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สักวันหนึ่งจะโดนดาบบาดเสียเอง ทั้งๆ ที่เห็นตัวอย่างในประวัติศาสตร์ ก็ยังมีผู้ต้องการอำนาจหน้าใหม่เกิดขึ้นเสมอ นึกว่าตัวเองเก่งกว่าผู้อื่น

ไม่ฟังเสียงเตือน “คนอื่นๆ ที่เก่งกว่าเอ็งก็มี แต่ตายไปหมดแล้ว” นั่นเป็นเพราะความกลัวจึงต้องดิ้นรนแสวงหาอำนาจเหนือผู้อื่น โดยลืมไปว่ายิ่งมีอำนาจมากเพียงใด ก็มีคนอยากให้ตกจากอำนาจเร็วขึ้น ถ้าเห็นการใช้อำนาจอย่างไร้คุณธรรม ศีลธรรมอันดี

อำนาจไม่เข้าใครออกใคร ทำให้ลืมตัว บางคนใช้อำนาจเงินเปิดทางไปสู่อำนาจการเมือง จากนั้นใช้ทั้ง 2 อำนาจต่อยอดอำนาจ เสริมฐานให้แข็งแกร่ง เริ่มไม่ฟังเสียงท้วงติง ไม่แยแสใส่ใจประชาชน ลำพองผยองอำนาจจนถูกโค่นโดยผู้มีอำนาจมากกว่า

ประเทศไทยได้มีทั้งเผด็จการและทรราช ทั้งระดับใช้ได้ และระดับกระจอก ขี้ขลาดตาขาว ใจไม่ถึง ขาดเจตนาดีต่อบ้านเมือง แก่งแย่งอำนาจ สุดท้ายไปตายเมืองนอก ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยเพราะไม่ศึกษา หลงผิด นึกว่ามีอำนาจแล้วจะอยู่ค้ำฟ้า
กำลังโหลดความคิดเห็น