**สัญญาณชัด !! การโยกย้ายใหญ่ข้าราชการเพื่อเปลี่ยนหัวเปลี่ยนท้ายกันใหม่ทดแทนของเก่าที่ปลดระวาง หรือทดแทนเพื่อให้เอื้อต่อการทำงานตามนโยบาย จะต้องรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือ “ครม.ประยุทธ์ 1” เข้ามาทุบโต๊ะออกมาเป็นมติการันตีให้
ตามคิวที่ “ดร.กบ”นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ ครม. ทำหนังสือเวียนไปยังปลัดทุกกระทรวงให้ชะลอการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ก่อน ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 29
เป็นอันว่า ตำแหน่งหัวหน้าราชการทั้งหลายจะมีพะยี่ห้อ ครม.ประทับตราให้เพื่อความชอบธรรม ดูสวยดูหรูกว่าทำในนาม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทั้งที่ความจริง จะใครเห็นชอบมันก็คนๆ เดียวกัน ไม่ว่าจะ คสช. หรือ ครม. เพราะมี “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งอยู่หัวโต๊ะอยู่ทุกวง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงอยากจะทำให้มันถูกต้องตามครรลองคลองระเบียบราชการ
ส่องไปดูบรรดาบิ๊กราชการที่ใกล้จะปลดระวางกันในเดือนกันยายนนี้ นอกจากเก้าอี้เด่นๆ ในเหล่าทัพ อย่างเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ของ “บิ๊กตู่” เก้าอี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของ “บิ๊กเจี๊ยบ”พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เก้าอี้ผู้บัญชาการทหารเรือของ “บิ๊กเข้”พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย และเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารอากาศของ “บิ๊กจิน”พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ในส่วนของพลเรือนยังมีอีกหลายเก้าอี้เตรียมตัวจะว่างเพียบ
อย่างที่โยกย้ายกันไปก่อนแล้วบางกระทรวง ด้วยเพราะต้องการลบภาพการเมืองเก่าออกไปนั้น คงจะไม่มีการขยับขยายกันเท่าไหร่นัก เพราะเพิ่งเข้ามาเสียบได้ไม่นาน ที่สำคัญ คสช. เป็นคนจับโยกเองด้วย หลักๆ ที่ต้องมองตอนนี้น่าจะเน้นไปที่พวกเกษียณอายุราชการมากกว่า
โดยเฉพาะเก้าอี้ใหญ่ๆ ที่มีความสำคัญเรื่องความมั่นคง ซึ่งที่ผ่านมาถูกมองว่า เป็นเก้าอี้ดนตรีของฝ่ายการเมือง ที่มักจะโยกย้ายคนของตัวเองมาเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล อย่างตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หรือที่ถูกขนานนามว่าเป็น “ซีไอเอเมืองไทย”หลังจาก “ถวิล เปลี่ยนศรี”ผู้กุมหัวเรือคนปัจจุบันกำลังจะปลดระวางเส้นทางราชการด้วยวัย 60 ขวบ
เรียกว่า กลับมาทำงานได้ยังไม่ทันเหงื่อแตกโชก ก็ต้องโบกมือลากันอีกแล้ว สำหรับ “ถวิล”เจ้าของฉายา “แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์”ในวีรกรรม เขี่ย “ปูกรรเชียง”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยเพราะพิษการเมืองเล่นงานแท้ๆ ที่ทำให้ต้องระหกระเหิน พ้นชายคาไปนาน ก่อนจะได้กลับมารำลึกความหลังกันแป๊บเดียว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่น่าสนใจก็คือ ใครจะเป็นผู้มารับไม้ต่อในฐานะ “ฝ่ายบุ๋น”ซึ่งทำหน้าที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศต่อจาก “ถวิล” โดยช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวลือออกมาเรื่อยๆ ถึงแคนดิเดต คนนั้น คนนี้ จนกระทั่งช่วงหลังๆ ชักเหลือแค่ 3 หน่อเท่านั้น
รายแรก เป็นคนใน สมช. เข้ามามีลุ้นตามอายุงานและพรรษา “อนุสิษฐ คุณากร”รองเลขาธิการ สมช. ซึ่งอาวุโสลำดับที่ 1 เป็นที่รู้กันว่า ได้รับการผลักดันจาก “ถวิล”อย่างเต็มที่ เพราะเป็นลูกหม้อ สมช. เติบโตกันมาในรุ่นราวคราวเดียวกัน
รายที่สองอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน “พรชาติ บุนนาค”รองเลขาธิการสมช. อาวุโสลำดับที่ 2 ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้มีชื่อเข้ามาเบียดเสียด ด้วยเพราะคอนเนกชั่นที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ. และศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียลของ “บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ. ที่จ่อเก้าอี้ ผบ.ทบ. คนใหม่
รายสุดท้าย คนนอกรั้วสมช. ที่เคยมาแรงในช่วงแรกๆ “บิ๊กเซ็ง”พล.อ.สุรวัช บุตรวงษ์ หัวหน้าศูนย์ประสานงานประเทศเพื่อนบ้านกองทัพบก มือหนึ่งด้านการข่าวของกองทัพที่ทำงานทางลับมาตลอด และยังเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการเจรจาเพื่อปล่อยตัว “วีระ สมความคิด” ออกจากคุกเขมร
**ทว่า ตามทิศทางลมล่าสุด ดูเหมือนชื่อคนที่มาแรงและมีลุ้นกว่าใครเพื่อน เห็นจะเป็นชื่อของ “อนุสิษฐ”ที่บางกระแสข่าวยืนยันตรงกันว่า “ถวิล” ได้ชงชื่อนี้เพียงชื่อเดียวให้ คสช.พิจารณาเป็นที่เรียบร้อย หลังจากได้รับสัญญาณจาก“ท็อปบูต”ว่า จะไม่ส่ง “นายพล”เข้ามาเป็นเบอร์หนึ่งแล้ว
อีกทั้งยังมีการคาดการณ์กันว่า จะมีการดัน “บิ๊กเซ็ง”ไปนั่งในเก้าอี้ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งกำลังจะว่างลง เพราะดูจะสมน้ำสมเนื้อกับความถนัดมากกว่า
นอกจากนี้ คสช.เองเคยให้นโยบายกับส่วนราชการแล้วว่า ในยุครัฐบาลลูกผสม ทหาร-พลเรือน นี้จะใช้หลักอาวุโสในการแต่งตั้งโยกย้ายราชการ
**ดังนั้นชื่อของ“อนุสิษฐ”จึงแทบจะมีแต้มต่อกว่าคนอื่นๆ
ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับปอนด์ต่อปอนด์ระหว่างคนในด้วยกันเองอย่าง “อนุสิษฐ - พรชาติ”แล้ว รายแรกดูจะเหลื่อมๆ กว่าด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านความอาวุโสในตำแหน่ง หรือการได้รับการผลักดันจากคนที่ปากมีเสียงอย่าง “ถวิล” แม้รายที่สองดูจะมีความชำนาญในเรื่องปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่า แต่ด้วยขอบเขตของงานสมช.ที่ดูแลยุทธศาสตร์ความมั่นคงทุกมิติ จึงทำให้คุณสมบัติดังกล่าวเป็นรอง“อนุสิษฐ” ไปโดยปริยาย
ที่ผ่านมา “อนุสิษฐ”เคยรับผิดชอบงานมาหลากหลาย ทั้งในตำแหน่งผู้อำนวยการกองความมั่นคงด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงภายในประเทศ หรือที่ปรึกษาด้านกิจการความมั่นคง รวมทั้งในช่วงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ถูกมอบหมายให้ดูเรื่องกิจการชายแดน
**นอกเหนือจากนี้ตั้งแต่ “ถวิล”กลับมาเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ สมช.อีกครั้ง ก็ได้สลับเอา “อนุสิษฐ”จากเดิมที่ดูงานกิจการชายแดนมาดูแลงานด้านจังหวัดชายแดนภาคใต้แทน “พรชาติ” ที่ถูกมอบหมายให้ไปดูแลงานกิจการชายแดนแทน ซึ่งระยะหลังๆ “ถวิล” ยังมักจะควง “อนุสิษฐ” มาทำเรื่องพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย
เรื่องอายุงานเองก็มีส่วนไม่น้อย เพราะ “อนุสิษฐ”เหลืออายุราชการอีกปีเดียวเท่านั้น ส่วน “พรชาติ”นั้นจะเกษียณอายุราชการในปี 2558 ดังนั้น ทุกอย่างจึงต้องเป็นไปตามลำดับอาวุโส
จากปัจจัยทั้งหมดข้างต้นทำให้ ณ วินาทีนี้ โอกาสที่ “อนุสิษฐ”จะเข้าวินไปรับไม้ต่อจาก “ถวิล”จึงมีโอกาสสูงกว่าคนอื่นๆ ยกเว้นคดีนี้จะพลิกตอนท้าย “ท็อปบูต”ตัดสินใจส่งคนเข้ามาเป็นเลขาธิการ สมช.เอง เหมือนกับหลังการรัฐประหารทุกครั้ง
แต่ก็เป็นไปได้น้อย เพราะช่วงที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตอนโยก “เสธ.แมว” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เข้ามาภายใน สมช.เอง ได้มีการออกมาเรียกร้องตลอดว่า ต้องการให้ลูกหม้อได้เติบโต เพราะมีความสามารถไม่น้อยกว่าคนในเครื่องแบบ จึงไม่จำเป็นต้องเอาทหารโยกเข้ามาช่วย
**ดังนั้น “ท็อปบูต”ก็คงจะคิดเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่น่าจะมีรายการว่าแต่เข้าอิเหนาเป็นเอง
ตามคิวที่ “ดร.กบ”นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ ครม. ทำหนังสือเวียนไปยังปลัดทุกกระทรวงให้ชะลอการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ก่อน ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 29
เป็นอันว่า ตำแหน่งหัวหน้าราชการทั้งหลายจะมีพะยี่ห้อ ครม.ประทับตราให้เพื่อความชอบธรรม ดูสวยดูหรูกว่าทำในนาม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทั้งที่ความจริง จะใครเห็นชอบมันก็คนๆ เดียวกัน ไม่ว่าจะ คสช. หรือ ครม. เพราะมี “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งอยู่หัวโต๊ะอยู่ทุกวง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงอยากจะทำให้มันถูกต้องตามครรลองคลองระเบียบราชการ
ส่องไปดูบรรดาบิ๊กราชการที่ใกล้จะปลดระวางกันในเดือนกันยายนนี้ นอกจากเก้าอี้เด่นๆ ในเหล่าทัพ อย่างเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ของ “บิ๊กตู่” เก้าอี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของ “บิ๊กเจี๊ยบ”พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เก้าอี้ผู้บัญชาการทหารเรือของ “บิ๊กเข้”พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย และเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารอากาศของ “บิ๊กจิน”พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ในส่วนของพลเรือนยังมีอีกหลายเก้าอี้เตรียมตัวจะว่างเพียบ
อย่างที่โยกย้ายกันไปก่อนแล้วบางกระทรวง ด้วยเพราะต้องการลบภาพการเมืองเก่าออกไปนั้น คงจะไม่มีการขยับขยายกันเท่าไหร่นัก เพราะเพิ่งเข้ามาเสียบได้ไม่นาน ที่สำคัญ คสช. เป็นคนจับโยกเองด้วย หลักๆ ที่ต้องมองตอนนี้น่าจะเน้นไปที่พวกเกษียณอายุราชการมากกว่า
โดยเฉพาะเก้าอี้ใหญ่ๆ ที่มีความสำคัญเรื่องความมั่นคง ซึ่งที่ผ่านมาถูกมองว่า เป็นเก้าอี้ดนตรีของฝ่ายการเมือง ที่มักจะโยกย้ายคนของตัวเองมาเมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล อย่างตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หรือที่ถูกขนานนามว่าเป็น “ซีไอเอเมืองไทย”หลังจาก “ถวิล เปลี่ยนศรี”ผู้กุมหัวเรือคนปัจจุบันกำลังจะปลดระวางเส้นทางราชการด้วยวัย 60 ขวบ
เรียกว่า กลับมาทำงานได้ยังไม่ทันเหงื่อแตกโชก ก็ต้องโบกมือลากันอีกแล้ว สำหรับ “ถวิล”เจ้าของฉายา “แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์”ในวีรกรรม เขี่ย “ปูกรรเชียง”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยเพราะพิษการเมืองเล่นงานแท้ๆ ที่ทำให้ต้องระหกระเหิน พ้นชายคาไปนาน ก่อนจะได้กลับมารำลึกความหลังกันแป๊บเดียว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่น่าสนใจก็คือ ใครจะเป็นผู้มารับไม้ต่อในฐานะ “ฝ่ายบุ๋น”ซึ่งทำหน้าที่ดูแลยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศต่อจาก “ถวิล” โดยช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวลือออกมาเรื่อยๆ ถึงแคนดิเดต คนนั้น คนนี้ จนกระทั่งช่วงหลังๆ ชักเหลือแค่ 3 หน่อเท่านั้น
รายแรก เป็นคนใน สมช. เข้ามามีลุ้นตามอายุงานและพรรษา “อนุสิษฐ คุณากร”รองเลขาธิการ สมช. ซึ่งอาวุโสลำดับที่ 1 เป็นที่รู้กันว่า ได้รับการผลักดันจาก “ถวิล”อย่างเต็มที่ เพราะเป็นลูกหม้อ สมช. เติบโตกันมาในรุ่นราวคราวเดียวกัน
รายที่สองอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน “พรชาติ บุนนาค”รองเลขาธิการสมช. อาวุโสลำดับที่ 2 ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้มีชื่อเข้ามาเบียดเสียด ด้วยเพราะคอนเนกชั่นที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ. และศิษย์เก่าเซนต์คาเบรียลของ “บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ. ที่จ่อเก้าอี้ ผบ.ทบ. คนใหม่
รายสุดท้าย คนนอกรั้วสมช. ที่เคยมาแรงในช่วงแรกๆ “บิ๊กเซ็ง”พล.อ.สุรวัช บุตรวงษ์ หัวหน้าศูนย์ประสานงานประเทศเพื่อนบ้านกองทัพบก มือหนึ่งด้านการข่าวของกองทัพที่ทำงานทางลับมาตลอด และยังเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการเจรจาเพื่อปล่อยตัว “วีระ สมความคิด” ออกจากคุกเขมร
**ทว่า ตามทิศทางลมล่าสุด ดูเหมือนชื่อคนที่มาแรงและมีลุ้นกว่าใครเพื่อน เห็นจะเป็นชื่อของ “อนุสิษฐ”ที่บางกระแสข่าวยืนยันตรงกันว่า “ถวิล” ได้ชงชื่อนี้เพียงชื่อเดียวให้ คสช.พิจารณาเป็นที่เรียบร้อย หลังจากได้รับสัญญาณจาก“ท็อปบูต”ว่า จะไม่ส่ง “นายพล”เข้ามาเป็นเบอร์หนึ่งแล้ว
อีกทั้งยังมีการคาดการณ์กันว่า จะมีการดัน “บิ๊กเซ็ง”ไปนั่งในเก้าอี้ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งกำลังจะว่างลง เพราะดูจะสมน้ำสมเนื้อกับความถนัดมากกว่า
นอกจากนี้ คสช.เองเคยให้นโยบายกับส่วนราชการแล้วว่า ในยุครัฐบาลลูกผสม ทหาร-พลเรือน นี้จะใช้หลักอาวุโสในการแต่งตั้งโยกย้ายราชการ
**ดังนั้นชื่อของ“อนุสิษฐ”จึงแทบจะมีแต้มต่อกว่าคนอื่นๆ
ขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับปอนด์ต่อปอนด์ระหว่างคนในด้วยกันเองอย่าง “อนุสิษฐ - พรชาติ”แล้ว รายแรกดูจะเหลื่อมๆ กว่าด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านความอาวุโสในตำแหน่ง หรือการได้รับการผลักดันจากคนที่ปากมีเสียงอย่าง “ถวิล” แม้รายที่สองดูจะมีความชำนาญในเรื่องปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มากกว่า แต่ด้วยขอบเขตของงานสมช.ที่ดูแลยุทธศาสตร์ความมั่นคงทุกมิติ จึงทำให้คุณสมบัติดังกล่าวเป็นรอง“อนุสิษฐ” ไปโดยปริยาย
ที่ผ่านมา “อนุสิษฐ”เคยรับผิดชอบงานมาหลากหลาย ทั้งในตำแหน่งผู้อำนวยการกองความมั่นคงด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงภายในประเทศ หรือที่ปรึกษาด้านกิจการความมั่นคง รวมทั้งในช่วงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ถูกมอบหมายให้ดูเรื่องกิจการชายแดน
**นอกเหนือจากนี้ตั้งแต่ “ถวิล”กลับมาเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ สมช.อีกครั้ง ก็ได้สลับเอา “อนุสิษฐ”จากเดิมที่ดูงานกิจการชายแดนมาดูแลงานด้านจังหวัดชายแดนภาคใต้แทน “พรชาติ” ที่ถูกมอบหมายให้ไปดูแลงานกิจการชายแดนแทน ซึ่งระยะหลังๆ “ถวิล” ยังมักจะควง “อนุสิษฐ” มาทำเรื่องพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย
เรื่องอายุงานเองก็มีส่วนไม่น้อย เพราะ “อนุสิษฐ”เหลืออายุราชการอีกปีเดียวเท่านั้น ส่วน “พรชาติ”นั้นจะเกษียณอายุราชการในปี 2558 ดังนั้น ทุกอย่างจึงต้องเป็นไปตามลำดับอาวุโส
จากปัจจัยทั้งหมดข้างต้นทำให้ ณ วินาทีนี้ โอกาสที่ “อนุสิษฐ”จะเข้าวินไปรับไม้ต่อจาก “ถวิล”จึงมีโอกาสสูงกว่าคนอื่นๆ ยกเว้นคดีนี้จะพลิกตอนท้าย “ท็อปบูต”ตัดสินใจส่งคนเข้ามาเป็นเลขาธิการ สมช.เอง เหมือนกับหลังการรัฐประหารทุกครั้ง
แต่ก็เป็นไปได้น้อย เพราะช่วงที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตอนโยก “เสธ.แมว” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เข้ามาภายใน สมช.เอง ได้มีการออกมาเรียกร้องตลอดว่า ต้องการให้ลูกหม้อได้เติบโต เพราะมีความสามารถไม่น้อยกว่าคนในเครื่องแบบ จึงไม่จำเป็นต้องเอาทหารโยกเข้ามาช่วย
**ดังนั้น “ท็อปบูต”ก็คงจะคิดเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่น่าจะมีรายการว่าแต่เข้าอิเหนาเป็นเอง