00 จะเรียกว่าลองถ้าใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกชินวัตร ไม่ว่าจะเป็น ทักษิณ ชินวัตร หรือใครก็ตามในครอบครัวนี้ เป็นต้องถูกจับตาเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ล่าสุดกลายเป็นอัยการสูงสุดที่ยังสั่งไม่ฟ้อง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีที่ ป.ป.ช. สรุปสำนวนคดีความผิดตาม มาตรา 157 ละเว้นปล่อยปละให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวทุกขั้นตอน เมื่อได้เวลาจู่ๆ อัยการฯ ก็ให้ตั้ง กก.ร่วมกับป.ป.ช. ภายในเวลา 14 วัน ส่วนหลังจากนี้จะสั่งฟ้องหรือไม่ ยังไม่มีใครตอบได้ แต่เพียงแค่นี้ก็มีเสียงโวยวายจากสังคมชนิดที่เรียกว่า "อัยการหูชา" ก็แล้วกัน ความหมายเกือบทั้งหมดออกมาในทำนองว่า อัยการสูงสุด "ซูเอี๋ย" กับคนในครอบครัวนี้
00 จะด้วยแรงกดดันดังกล่าวหรือเปล่าทำให้ ตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ต้องออกมายืนยันว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. เพื่อร่วมกันทำสำนวนคดีให้รัดกุม ย้ำว่าทำตามกม. โปร่งใส แต่ถึงอย่างไรงานนี้อัยการโดนเข้าไปเต็มๆ จากเดิมที่มีภาพลบอยู่แล้ว ที่ผ่านมาหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลังมี คสช. แต่พอเกิดกรณี "ยังไม่สั่งฟ้อง" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกอย่างกลับมาทรุดหนักเหมือนเดิมอีก และเริ่มมีความเห็นว่า "อัยการนี่แหละที่ต้องปฏิรูปอย่างเข้มข้น" ไม่ต่างจากวงการตำรวจ อย่างน้อยต้องหาทางออกแบบให้อัยการมีความอิสระอย่างแท้จริง การสั่งคดีแต่ละคดีต้อง "เคลียร์" ไม่ใช่คาใจชาวบ้านตลอด
00 เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคนไทย ที่นายกฯ ที่ยืนยันมาตั้งแต่เป็นหัวหน้า คสช. ว่า "ไม่ทุจริต-ไม่ยอมให้ทุจริต" ซึ่งการยืนยันแบบนี้แหละที่เป็นส่วนสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน สังเกตหรือไม่ว่า รัฐบาลใดหรือผู้นำคนใดก็ตามที่เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ก็จะมีแต่เสื่อมถอยและถูกขับไล่ในที่สุด ที่เห็นเป็นตัวอย่างก็มีมาตั้งแต่ยุค ทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องมาจนถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อให้แข็งแกร่งมีกลไกสนับสนุนสารพัดก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันหนักแน่นก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชม หวังว่าจะมั่นคงตลอดไป เมื่อ "หัวไม่ส่ายหางก็ไม่กล้ากระดิก" อีกทั้งการมาร่วมงานวัน "ต่อต้านคอร์รัปชัน" ของโลก เมื่อวันเสาร์ที่ 6 ก.ย. และยืนยันเจตนารมณ์อีกครั้ง ทำให้น่าติดตามนับจากนี้ไปรัฐบาลใหม่จะมีผลงานด้านนี้อย่างเป็นรูปธรรมตามมาหรือไม่
00 อีกเรื่องที่น่าติดตามก็คือ การยกเลิกกฎอัยการศึก ที่ล่าสุดกำลังมีการพิจารณายกเลิกในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ด้านการท่องเที่ยว ที่ไม่ใช่เป็นจุดอ่อนไหวทางการเมือง เหตุผลก็เพื่อผ่อนคลายสร้างบรรยากาศด้านการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ยังไม่ฟื้นเท่าที่ควร จากการที่มี ยังมีประกาศดังกล่าวบังคับอยู่ทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวหลายประเทศในแถบยุโรป ตะวันตก ยังไม่เข้ามามากเท่าที่ควร รวมไปถึงยังมีผลกระทบทางด้านการลงทุนอีกด้วย จะปฏิเสธความจริงไม่ได้ เพราะจะใช้วิธีเดินสายชี้แจงอย่างเดียวคงไม่ได้ผล หากไม่มีการสร้างบรรยากาศด้วยยกเลิกกม. หรือ ใช้วิธีผ่อนคลายให้เห็น
00 ที่ผ่านมา นายกฯ ประยุทธ์ ก็เพิ่งย้ำให้เห็นเองว่า "เราคงอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกนี้ไม่ได้" ดังนั้นแม้ว่าในระยะอันใกล้นี้ยังไม่มีการยกเลิกกฎอัยการศึกพร้อมกันทั่วประเทศ แต่เชื่อเถอะในที่สุดก็ต้องยกเลิกอยู่ดี แม้ว่าจะมี "คลื่นใต้น้ำ" ก่อกวนแค่ไหน มันก็ต้องยกเลิก "จะบังคับกดหัว" กันตลอดไปไม่ได้หรอก อีกทั้งในระยะยาว มันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อเรามีรัฐบาลก็ต้องถือว่าเป็น "สากล" สภาพจะแตกต่างจากการบริหารโดย คสช.โดดๆ เพราะนั่นเป็นบรรยากาศของการ "ก่อรัฐประหาร" ที่ถึงอย่างไรต่างชาติก็ไม่ยอมรับ ดังนั้นถ้าให้สรุปก็คือ ในที่สุดแล้วอีกไม่นานเกินรอก็ต้องยกเลิกแน่นอน เพียงแต่ว่าจะค่อยๆ ผ่อนคลายนำร่องกันบางพื้นที่กันไปก่อนเท่านั้นเอง !!
00 ถือว่าผ่านไปด้วยดีและตามเป้าหมายชนิดที่เรียกว่า "เกินเป้า" สำหรับการสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. รวมเบ็ดเสร็จเกิน 7 พันคน หลากหลายอาชีพเข้ามาอย่างล้นหลาม ก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่าเอาเข้าจริงจะมีการ "ล็อกสเปก" กันจริงหรือไม่ แต่สำหรับตัวประธานกมธ.ยกร่างรธน.ฉบับใหม่ นี่สิมีการคาดเดากันแล้วว่า คสช.จะเสนอใครเข้ามาระหว่าง มีชัย ฤชุพันธุ์ กับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือว่ามาแบบคนแรกนั่งประธาน สปช. คนหลังเป็นประธานกมธ.ยกร่างฯ เริ่มลุ้นกันแล้ว แต่ถึงอย่างไรขาด "ขาประจำ" แบบนี้ไม่ได้หรอก ขอบอก !!
00 จะด้วยแรงกดดันดังกล่าวหรือเปล่าทำให้ ตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ต้องออกมายืนยันว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. เพื่อร่วมกันทำสำนวนคดีให้รัดกุม ย้ำว่าทำตามกม. โปร่งใส แต่ถึงอย่างไรงานนี้อัยการโดนเข้าไปเต็มๆ จากเดิมที่มีภาพลบอยู่แล้ว ที่ผ่านมาหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลังมี คสช. แต่พอเกิดกรณี "ยังไม่สั่งฟ้อง" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทุกอย่างกลับมาทรุดหนักเหมือนเดิมอีก และเริ่มมีความเห็นว่า "อัยการนี่แหละที่ต้องปฏิรูปอย่างเข้มข้น" ไม่ต่างจากวงการตำรวจ อย่างน้อยต้องหาทางออกแบบให้อัยการมีความอิสระอย่างแท้จริง การสั่งคดีแต่ละคดีต้อง "เคลียร์" ไม่ใช่คาใจชาวบ้านตลอด
00 เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคนไทย ที่นายกฯ ที่ยืนยันมาตั้งแต่เป็นหัวหน้า คสช. ว่า "ไม่ทุจริต-ไม่ยอมให้ทุจริต" ซึ่งการยืนยันแบบนี้แหละที่เป็นส่วนสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน สังเกตหรือไม่ว่า รัฐบาลใดหรือผู้นำคนใดก็ตามที่เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ก็จะมีแต่เสื่อมถอยและถูกขับไล่ในที่สุด ที่เห็นเป็นตัวอย่างก็มีมาตั้งแต่ยุค ทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องมาจนถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อให้แข็งแกร่งมีกลไกสนับสนุนสารพัดก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันหนักแน่นก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชม หวังว่าจะมั่นคงตลอดไป เมื่อ "หัวไม่ส่ายหางก็ไม่กล้ากระดิก" อีกทั้งการมาร่วมงานวัน "ต่อต้านคอร์รัปชัน" ของโลก เมื่อวันเสาร์ที่ 6 ก.ย. และยืนยันเจตนารมณ์อีกครั้ง ทำให้น่าติดตามนับจากนี้ไปรัฐบาลใหม่จะมีผลงานด้านนี้อย่างเป็นรูปธรรมตามมาหรือไม่
00 อีกเรื่องที่น่าติดตามก็คือ การยกเลิกกฎอัยการศึก ที่ล่าสุดกำลังมีการพิจารณายกเลิกในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ด้านการท่องเที่ยว ที่ไม่ใช่เป็นจุดอ่อนไหวทางการเมือง เหตุผลก็เพื่อผ่อนคลายสร้างบรรยากาศด้านการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ยังไม่ฟื้นเท่าที่ควร จากการที่มี ยังมีประกาศดังกล่าวบังคับอยู่ทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวหลายประเทศในแถบยุโรป ตะวันตก ยังไม่เข้ามามากเท่าที่ควร รวมไปถึงยังมีผลกระทบทางด้านการลงทุนอีกด้วย จะปฏิเสธความจริงไม่ได้ เพราะจะใช้วิธีเดินสายชี้แจงอย่างเดียวคงไม่ได้ผล หากไม่มีการสร้างบรรยากาศด้วยยกเลิกกม. หรือ ใช้วิธีผ่อนคลายให้เห็น
00 ที่ผ่านมา นายกฯ ประยุทธ์ ก็เพิ่งย้ำให้เห็นเองว่า "เราคงอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกนี้ไม่ได้" ดังนั้นแม้ว่าในระยะอันใกล้นี้ยังไม่มีการยกเลิกกฎอัยการศึกพร้อมกันทั่วประเทศ แต่เชื่อเถอะในที่สุดก็ต้องยกเลิกอยู่ดี แม้ว่าจะมี "คลื่นใต้น้ำ" ก่อกวนแค่ไหน มันก็ต้องยกเลิก "จะบังคับกดหัว" กันตลอดไปไม่ได้หรอก อีกทั้งในระยะยาว มันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อเรามีรัฐบาลก็ต้องถือว่าเป็น "สากล" สภาพจะแตกต่างจากการบริหารโดย คสช.โดดๆ เพราะนั่นเป็นบรรยากาศของการ "ก่อรัฐประหาร" ที่ถึงอย่างไรต่างชาติก็ไม่ยอมรับ ดังนั้นถ้าให้สรุปก็คือ ในที่สุดแล้วอีกไม่นานเกินรอก็ต้องยกเลิกแน่นอน เพียงแต่ว่าจะค่อยๆ ผ่อนคลายนำร่องกันบางพื้นที่กันไปก่อนเท่านั้นเอง !!
00 ถือว่าผ่านไปด้วยดีและตามเป้าหมายชนิดที่เรียกว่า "เกินเป้า" สำหรับการสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. รวมเบ็ดเสร็จเกิน 7 พันคน หลากหลายอาชีพเข้ามาอย่างล้นหลาม ก็ต้องจับตามองกันต่อไปว่าเอาเข้าจริงจะมีการ "ล็อกสเปก" กันจริงหรือไม่ แต่สำหรับตัวประธานกมธ.ยกร่างรธน.ฉบับใหม่ นี่สิมีการคาดเดากันแล้วว่า คสช.จะเสนอใครเข้ามาระหว่าง มีชัย ฤชุพันธุ์ กับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือว่ามาแบบคนแรกนั่งประธาน สปช. คนหลังเป็นประธานกมธ.ยกร่างฯ เริ่มลุ้นกันแล้ว แต่ถึงอย่างไรขาด "ขาประจำ" แบบนี้ไม่ได้หรอก ขอบอก !!
