ASTVผู้จัดการรายวัน - ทุนอิสราเอล “โกลบอลท็อปกรุ๊ป” เผยอสังหาฯพัทยาเปลี่ยน ตลาดจีนมาแรงลูกค้านิยมซื้อห้องชุดช่วงพรีเซล ราคา 2.5-3.5 ล้านบาทขายต่อทำกำไร ปล่อยเช่า จากเดิมกลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวยุโรป รัสเซีย ล่าสุดขนคอนโดฯ “ซิตี้ การ์เด้นทาวน์ “โรดโชว์เมืองเซินเจิ้น กวาดยอดขายกว่า 50 ยูนิต เตรียมโรดโชว์ต่อที่เมืองคุนหมิง และสิงคโปร์
นายแซม เฮลิ ผู้อำนวยการ บริษัท โกลบอลท็อปกรุ๊ป จำกัด นักธุรกิจจากประเทศอิสราเอล เปิดเผยว่า พัทยานับเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงไฮซีซันส์ ซึ่งส่วนใหญ่ชอบมาเช่าอาศัยระยะยาว ดังนั้นจึงตัดสินลงทุนในพัทยา เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเริ่มซื้อขายที่ดินในพัทยาก่อน หลังจากนั้นในปี 2547 ได้เริ่มพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโครงการแรก ภายใต้แบรนด์ "ซิตี้ การ์เด้น พัทยา" และพัฒนาโครงการมาอย่างต่อเนื่องรวมแล้ว 6 โครงการ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าเป็นหลัก โดยลูกค้าส่วนใหญ่เมื่อเคยซื้อไปแล้วจะกลับมาซื้ออีก ระยะหลังจะเป็นกลุ่มครอบครัวมากขึ้น
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯพัทยา ที่ผ่านมาจะมีทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่ในปีนี้คนไทยได้ให้ความสนใจซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 เกือบ 60% ส่วนอีก 30% เป็นกลุ่มยุโรป และที่มาแรงขณะนี้คือลูกค้าชาวจีน ถือเป็นตลาดใหม่ โดยเมื่อวันที่ 17-21 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้นำโครงการ "ซิตี้ การ์เด้น ทาวเวอร์" ไปโรดโชว์ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ปรากฏว่าสามารถทำยอดขายได้ถึง 50 ยูนิต ส่วนใหญ่สนใจซื้อห้องชุดในราคา2.5-3.5 ล้านบาท และชอบซื้อในช่วงพรีเซล เพื่อให้สามารถทำกำไรได้มากในอนาคต โดย 40% ซื้อเป็นการซื้อเพื่อลงทุน และ 60% ซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2
ทั้งนี้บริษัทจะพยายามเจาะตลาดกลุ่มดังกล่าวให้มากขึ้น โดยในเดือนกันยายนนี้ จะไปโรดโชว์ที่เมืองคุนหมิง และสิงคโปร์ อย่างต่อเนื่อง แต่จะพยายามไม่ขายยกฟลอร์ เพื่อที่ลูกค้าจะไม่มาขายตัดราคาบริษัทฯในภายหลัง โดย 1 รายสามารถซื้อได้เพียง 9% จากจำนวนยูนิตทั้งหมด
นายแซม กล่าวต่อว่า กลุ่มลูกค้าที่ซื้ออสังหาฯในพัทยาเปลี่ยนไป เมื่อก่อนลูกค้าจะเป็นกลุ่มยุโรป ต่อมาเป็นรัสเซีย ที่เริ่มเข้ามาเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ปัจจุบันกลายเป็นลูกค้าชาวจีนที่เพิ่มมากขึ้น และคาดว่าในอนาคตคอนโดฯในพัทยาจะเกิดโอเวอร์ซัพพลาย โดยเฉพาะรอบนอก เช่น นาเกลือ วงศ์อมาตย์ และจอมเทียน แต่ย่านใจกลางพัทยาเหนือ-ใต้ ยังสามารถขายได้
ส่วนผู้ประกอบการในพัทยา ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นกลุ่มยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมนี เดนมาร์ก นอร์เวย์ อิสราเอล ส่วนใหญ่จะก่อสร้างที่อยู่อาศัยในมาตรฐานของตนเอง และเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นผู้ประกอบการไทยเข้ามาพัฒนาในพัทยามากขึ้น ส่วนผู้ประกอบการรัฐเซีย เท่าที่เห็นมีเพียง 2-3 รายเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก ขณะที่ผู้ประกอบการจากอิสราเอล ในพัทยาขณะนี้มีเพียง 3 กลุ่มคือ กลุ่มโกลบอลท็อปกรุ๊ป ,กลุ่มแมททริก และกลุ่มไฮท์ โฮลดิ้ง ขณะที่ราคาที่ดินในพัทยาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปรับขึ้นเพิ่ม 30% บางทำเลปรับขึ้นถึง 1 เท่าตัว เช่น ถนนทัพพระยา ราคา 30-40 ล้านบาท/ไร่ ,พัทยาสาย 3 ราคา 50-60 ล้านบาท/ไร่ โดยที่ดินแพงสุดจะติดชายหาดพัทยา
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในอนาคต จะมีการพัฒนาโครงการใหม่ที่พัทยาอีก 1 โครงการ เป็นคอนโดฯโลว์ไรท์ บนพื้นที่ 7 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ และกำลังจะขยายการลงทุนไปสร้างโรงแรม ขนาด4 ดาว ที่ จ.ภูเก็ต ขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
นอกจากการลงทุนในไทยแล้วทางกลุ่มยังมีการลงทุนและพัฒนาอสังหาฯที่ อิสราเอล และโรมาเนีย ส่วนที่สหรัฐอเมริกาจะเป็นการร่วมลงทุนเพียงอย่างเดียว ซึ่งการลงทุนในประเทศอื่นยังไม่มีผลตอบรับเพราะเพิ่งไปลงทุน โดยในประเทศไทยถือว่าได้รับผลตอบรับมากที่สุดแล้วในขณะนี้
สำหรับ"ซิตี้ การ์เด้น ทาวเวอร์" ซึ่งเป็นโครงการที่ 6 ล่าสุดของบริษัท ที่เปิดขายในขณะนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 3 ไร่ บริเวณถนนพัทยา สาย3 เป็นคอนโดฯ สูง 29 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ขนาด 24-79 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 1.69 ล้านบาท จำนวน 465 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 200 ยูนิตหรือประมาณ 40% คาดว่าจะปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2558 และแล้วเสร็จในปี 2561
นายแซม เฮลิ ผู้อำนวยการ บริษัท โกลบอลท็อปกรุ๊ป จำกัด นักธุรกิจจากประเทศอิสราเอล เปิดเผยว่า พัทยานับเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงไฮซีซันส์ ซึ่งส่วนใหญ่ชอบมาเช่าอาศัยระยะยาว ดังนั้นจึงตัดสินลงทุนในพัทยา เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเริ่มซื้อขายที่ดินในพัทยาก่อน หลังจากนั้นในปี 2547 ได้เริ่มพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโครงการแรก ภายใต้แบรนด์ "ซิตี้ การ์เด้น พัทยา" และพัฒนาโครงการมาอย่างต่อเนื่องรวมแล้ว 6 โครงการ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าเป็นหลัก โดยลูกค้าส่วนใหญ่เมื่อเคยซื้อไปแล้วจะกลับมาซื้ออีก ระยะหลังจะเป็นกลุ่มครอบครัวมากขึ้น
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯพัทยา ที่ผ่านมาจะมีทั้งลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่ในปีนี้คนไทยได้ให้ความสนใจซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 เกือบ 60% ส่วนอีก 30% เป็นกลุ่มยุโรป และที่มาแรงขณะนี้คือลูกค้าชาวจีน ถือเป็นตลาดใหม่ โดยเมื่อวันที่ 17-21 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้นำโครงการ "ซิตี้ การ์เด้น ทาวเวอร์" ไปโรดโชว์ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ปรากฏว่าสามารถทำยอดขายได้ถึง 50 ยูนิต ส่วนใหญ่สนใจซื้อห้องชุดในราคา2.5-3.5 ล้านบาท และชอบซื้อในช่วงพรีเซล เพื่อให้สามารถทำกำไรได้มากในอนาคต โดย 40% ซื้อเป็นการซื้อเพื่อลงทุน และ 60% ซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2
ทั้งนี้บริษัทจะพยายามเจาะตลาดกลุ่มดังกล่าวให้มากขึ้น โดยในเดือนกันยายนนี้ จะไปโรดโชว์ที่เมืองคุนหมิง และสิงคโปร์ อย่างต่อเนื่อง แต่จะพยายามไม่ขายยกฟลอร์ เพื่อที่ลูกค้าจะไม่มาขายตัดราคาบริษัทฯในภายหลัง โดย 1 รายสามารถซื้อได้เพียง 9% จากจำนวนยูนิตทั้งหมด
นายแซม กล่าวต่อว่า กลุ่มลูกค้าที่ซื้ออสังหาฯในพัทยาเปลี่ยนไป เมื่อก่อนลูกค้าจะเป็นกลุ่มยุโรป ต่อมาเป็นรัสเซีย ที่เริ่มเข้ามาเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ปัจจุบันกลายเป็นลูกค้าชาวจีนที่เพิ่มมากขึ้น และคาดว่าในอนาคตคอนโดฯในพัทยาจะเกิดโอเวอร์ซัพพลาย โดยเฉพาะรอบนอก เช่น นาเกลือ วงศ์อมาตย์ และจอมเทียน แต่ย่านใจกลางพัทยาเหนือ-ใต้ ยังสามารถขายได้
ส่วนผู้ประกอบการในพัทยา ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นกลุ่มยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมนี เดนมาร์ก นอร์เวย์ อิสราเอล ส่วนใหญ่จะก่อสร้างที่อยู่อาศัยในมาตรฐานของตนเอง และเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นผู้ประกอบการไทยเข้ามาพัฒนาในพัทยามากขึ้น ส่วนผู้ประกอบการรัฐเซีย เท่าที่เห็นมีเพียง 2-3 รายเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก ขณะที่ผู้ประกอบการจากอิสราเอล ในพัทยาขณะนี้มีเพียง 3 กลุ่มคือ กลุ่มโกลบอลท็อปกรุ๊ป ,กลุ่มแมททริก และกลุ่มไฮท์ โฮลดิ้ง ขณะที่ราคาที่ดินในพัทยาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปรับขึ้นเพิ่ม 30% บางทำเลปรับขึ้นถึง 1 เท่าตัว เช่น ถนนทัพพระยา ราคา 30-40 ล้านบาท/ไร่ ,พัทยาสาย 3 ราคา 50-60 ล้านบาท/ไร่ โดยที่ดินแพงสุดจะติดชายหาดพัทยา
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในอนาคต จะมีการพัฒนาโครงการใหม่ที่พัทยาอีก 1 โครงการ เป็นคอนโดฯโลว์ไรท์ บนพื้นที่ 7 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ และกำลังจะขยายการลงทุนไปสร้างโรงแรม ขนาด4 ดาว ที่ จ.ภูเก็ต ขณะนี้มีที่ดินรองรับแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
นอกจากการลงทุนในไทยแล้วทางกลุ่มยังมีการลงทุนและพัฒนาอสังหาฯที่ อิสราเอล และโรมาเนีย ส่วนที่สหรัฐอเมริกาจะเป็นการร่วมลงทุนเพียงอย่างเดียว ซึ่งการลงทุนในประเทศอื่นยังไม่มีผลตอบรับเพราะเพิ่งไปลงทุน โดยในประเทศไทยถือว่าได้รับผลตอบรับมากที่สุดแล้วในขณะนี้
สำหรับ"ซิตี้ การ์เด้น ทาวเวอร์" ซึ่งเป็นโครงการที่ 6 ล่าสุดของบริษัท ที่เปิดขายในขณะนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 3 ไร่ บริเวณถนนพัทยา สาย3 เป็นคอนโดฯ สูง 29 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ขนาด 24-79 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 1.69 ล้านบาท จำนวน 465 ยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 200 ยูนิตหรือประมาณ 40% คาดว่าจะปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2558 และแล้วเสร็จในปี 2561