xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

WE ARE BACK “สนธิ ลิ้ม” คืนรัง “ASTV-NEWS1” คืนจอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานพิเศษ

19 วันเต็มๆ สำหรับการถูกควบคุมตัวทั้งที่ “เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร” และ “เรือนจำคลองเปรม” ของชายที่ชื่อ “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและผู้ก่อตั้งสื่อใน “เครือเอเอสทีวีผู้จัดการ” หลังศาลฎีกาอนุญาตให้ประกันตัวในคดีหมายเลขดำ อ.1036/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535

เป็น 19 วันที่ทำให้น้ำหนักของนายสนธิหายไปถึง 4 กิโลกรัม

ทั้งนี้ นายสนธิและพวกอีก 2 คนถูกจำคุกตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา และได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัว โดยศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1,3 และ 4 คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป และ น.ส.ยุพิน จันทนา อดีตกรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ฯ ได้ยื่นฎีกาโดยมีผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาชั้นต้น ซึ่งศาลได้มีคำสั่งรับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ประกอบกับจำเลยที่ 1, 3 และ 4 ในขณะได้รับอนุญาตปล่อยชั่วคราวระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์หลบหนีมาก่อนในชั้นนี้ จึงเห็นสมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยที่ 1, 3 และ 4 ระหว่างฎีกา โดยตีราคาประกันคนละ 12 ล้านบาท

หลังผ่านขั้นตอนและกระบวนการทางเอกสาร โดยเจ้าหน้าที่ได้นำหมายศาลมายังเรือนจำคลองเปรม ในเวลา 22.00 น.นายสนธิก็ได้รับการปล่อยตัว

โดยนายสนธิอยู่ในชุดเสื้อโปโลสีขาวปักสัญลักษณ์ ASTV ไว้บนกระเป๋าด้านซ้าย และสวมกางเกงผ้าร่มสีดำ

“ก็ต้องดีใจสิที่ได้กลับบ้าน”

นั่นคือคำพูดแรกที่นายสนธิได้ตอบคำถามกับผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักที่ไปรอทำข่าวหลังศาลมีคำสั่งรับฎีกาและอนุญาตให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว

กระนั้นก็ดี สิ่งที่นายสนธิได้บอกเล่าในช่วงที่ถูกควบคุมตัว 19 วัน ไม่ได้มีเพียงความรู้สึกสั้นๆ เท่านั้น หากแต่ยังมีเรื่องราวระหว่างบรรทัดที่น่าสนใจและสะท้อนให้เห็นถึงความจริงบางประการของผู้ที่ถูกควบคุมตัวในเรือนจำในหลากหลายมิติด้วยกัน
ทั้งเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์

ทั้งเรื่องผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ในเรือนจำ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการยุติธรรมต้นทางซึ่งเริ่มมาจาก “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” และ “ทนายความ”

“ผมมีความสุขดีอยู่ในเรือนจำ ผมแค่เปลี่ยนที่นอนเฉยๆ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุกคนดีกับผมหมด ทุกคนเป็นห่วงอยู่อย่างเดียว ว่ามีการว่าจ้างใครมาทำร้ายผมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่ได้ไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว ก็พอลงจากตึกแล้วก็ไปที่แดนควบคุมซึ่งเป็นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ นั่งอยู่ในนั้นทั้งวัน มีคนมานั่งด้วยเพราะเกรงว่าจะมีคนวางงานให้มาทำร้ายผม เพราะที่นั่นก็ร้อยพ่อพันแม่ทุกคน ก็ขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เข้าไปครั้งนี้ก็ได้เห็นข้อเท็จจริงหลายอย่าง ซึ่งผมดีใจที่ผมได้อยู่ 19 วัน

“ผมเรียนรู้ชีวิตคนเยอะมาก และผมรู้ว่าปัญหาของชาติบ้านเมืองนั้นมันไม่ใช่แก้ที่คุก มันแก้ที่รัฐบาล มันแก้ที่ต้นน้ำคือตำรวจ ถ้าตำรวจไม่จับผู้ต้องหาแบบเหวี่ยงแห ผู้ต้องหาก็จะไม่เยอะขนาดนี้ ผมเห็นคนจนอยู่เยอะเลย ถูกคดีความ แล้วศาลตั้งทนายความมาให้
ทนายความนั้นได้ค่าว่าจ้างแค่พันบาท เพราะฉะนั้นแล้วทนายความต่างๆ ก็จะช่วยว่าความให้กับลูกความซึ่งเป็นจำเลย โดยว่าความว่าสารภาพไปเถอะ เพื่อจะรับเงินพันบาทอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วเมื่อฟังเหตุการณ์แล้วเขาไม่น่าจะต้องมาติดคุก ถ้าเขามีทนายความที่ดี นี่คือความยุติธรรมขั้นต้น ซึ่งประชาชนไม่ได้รับเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้

“สิ่งที่ผมเรียนรู้ต่อมาก็คือว่า ราชทัณฑ์คือถังขยะสุดท้ายที่สังคมสร้างปัญหาขึ้นมา ตำรวจสร้างปัญหาขึ้นมา รัฐบาลสร้างปัญหาขึ้นมา แล้วเอามาใส่ถังขยะ แล้วก็บอกราชทัณฑ์ให้สร้างคุกเพิ่มขึ้น ผู้ต้องหา 290,000 คน มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หมื่นกว่าคน ทำงานเป็นทั้งตำรวจ ทำงานเป็นทั้งนักจิตวิทยา นักการศึกษา ทำงานเป็นทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับหน้าที่ที่ทำให้ผู้ต้องหาดีขึ้น แต่ว่าเงินเดือนต่ำ เบี้ยเลี้ยงน้อย ชีวิตส่วนตัวไม่มีเลย ต้องเข้าเวรตลอดเวลา ผมสนิทสนมกับพวกเขามาก คุยจนทราบถึงปัญหาส่วนตัวเขาหลายอย่าง ซึ่งแต่ละคนบอกว่า การเป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คือการตกนรก เพราะฉะนั้นแล้ว จริงๆ แล้วเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คือคนติดคุกเหมือนผม แต่ต่างกว่าที่ว่าสามโมงครึ่งผมต้องขึ้นตึกเข้าห้องนอน ส่วนเขานั้นยังเดินไปเดินมาได้ แต่ก็ออกนอกคุกไม่ได้

“เพราะฉะนั้นแล้ว ผมอยากจะให้ทุกคนเข้าใจสักนิดหนึ่งว่า กรมราชทัณฑ์และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นั้นเป็นหน่วยงานที่ถูกละเลยมากอย่างมหาศาล ผู้ต้องขังส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ต้องขังซึ่งโดนคดียาเสพติด คดีผิดทางเพศ และก็คดีฉ้อโกง ก็นั่งคุยอยู่ 3-4 คน คนหนึ่งก็บอกว่า ผมโดนคดียาเสพติด ประหารชีวิต ตอนนี้ลดโทษตลอดชีวิต ตอนนี้เหลือ 30 กว่าปี อีกคนก็บอกว่า ผมโดนคดีฆ่าคนตาย ผมยิงคนตาย 3 คนด้วยความแค้นที่เยาวราช โดนประหารชีวิต เหลือตลอดชีวิต อีกคนก็บอกว่า ผมก็โดนคดีปล้นรถขนเงินที่โคราช ถ้าจำได้หลายปีมาแล้ว ปรากฏว่าเขาบอก พี่โดนอะไร บอกผมโดนคดีเอาบริษัทไปค้ำประกันอีกบริษัทหนึ่ง เขาก็บอก โอ้โหพี่ ของพี่นี่มันเด็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับพวกผม แล้วพี่เข้ามาได้ยังไง คดีแบบนี้ ใช่ไหม ก็มีแค่นั้นเอง ขอบคุณมากครับทุกคน”
และประเด็นคำให้สัมภาษณ์ของนายสนธินี้นี่เองได้ทำให้ในวันถัดมาคือวันที่ 26 สิงหาคม 2557 นายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้เขียนข้อความแสดงความเห็นลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเอาไว้อย่างน่าสนใจ

“ขอบคุณ คุณสนธิ ที่เห็นใจและเข้าใจสภาพเรือนจำประเทศไทย ในขณะที่อยู่ 19 วันก็ไม่ได้เรียกร้องหรือสร้างปัญหาใดๆ จริงๆ แล้วคุณสนธิไม่ใช่อาชญากร แต่เข้ามาเรือนจำเพราะอุบัติเหตุทางธุรกิจ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ดีใจแทนคุณสนธิที่ได้รับความเมตตาจากศาลให้ประกันตัวออกไป

“เรื่องเรือนจำเป็นเรื่องที่คนไม่อยากข้องแวะ เพราะนึกว่าเป็นที่คุมขังคนไม่ดี คนที่สังคมไม่ต้องการ แต่ต้องอย่าลืมว่า คนเหล่านี้เป็นมนุษย์ เมื่อรับโทษจำคุกคือการจำกัดอิสรภาพแล้วก็ไม่ควรโดนทำโทษซ้ำสอง ให้อยู่อย่างทุกข์ทรมาน เพราะวันหนึ่งคนเหล่านี้ก็ต้องกลับมาสู่สังคมแล้วสังคมก็จะได้รับผลร้ายนั้นเอง

“กรมราชทัณฑ์รับนโยบายจาก คสช.ให้ปฏิรูปงานราชทัณฑ์ ให้คัดแยกผู้ต้องขัง ให้หาทางลดจำนวนคนที่ไม่สมควรอยู่ หรือทำผิดเล็กน้อย ไม่ใช่อาชญากรโดยสันดานเพื่อให้เรือนจำมีที่ว่างพอสำหรับดูแลผู้ต้องขังรายสำคัญได้เหมาะสมยิ่งขึ้น ให้ดูแลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ตามหลักมนุษยธรรม และเมตตาธรรม ให้สวัสดิการเจ้าหน้าที่และสร้างขวัญกำลังใจแกผู้คุม รวมทั้งรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของอาญาแผ่นดินคือ ปราบปรามโทรศัพท์และยาเสพติดในเรือนจำ

“ผมเพิ่งเข้ามารับหน้าที่ได้ 2 เดือน แต่ก็เป็นคนเก่าที่นี่ จะพยายามทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ปัญหานี้สะสมมานานคงต้องเริ่มสะสางอย่างเป็นระบบกันเสียที เพราะคนราชทัณฑ์ทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นทำข้อสอบตอนเลื่อนตำแหน่ง”

นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ในระหว่างที่นายสนธิเดินทางออกจากเรือนจำคลองเปรมกลับที่พัก นายสนธิยังได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงกรณี “นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” ว่า อยากให้เดินทางกลับประเทศไทยและมาติดคุก

“หลังจากใช้ชีวิตในคุก 19 วัน ผมอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษผู้หลบหนีคำพิพากษาจำคุกจากศาลฎีกาเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งบอกมาตลอดว่าอยากกลับมาประเทศไทย เดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อติดคุกบ้าง”
เป็นความคิดเห็นที่ต้องบอกว่า แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจของนักโทษชายหนีคดีทักษิณหลังจากระเห่เร่ร่อนเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ
26 สิงหาคม 2557

เช้าตรู่ หลังนอนหลับพักผ่อนที่บ้านพัก นายสนธิได้เดินทางเข้ามาทำงานเป็นปกติ ณ บ้านพระอาทิตย์ โดยเคารพสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านพระอาทิตย์ พร้อมทั้งไหว้รูปถ่ายของ “นางไชย้ง ลิ้มทองกุล” ผู้เป็นแม่ จากนั้นบรรดาญาติสนิท มิตรสหายและพนักงานในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการได้เข้าพบเพื่อต้อนรับการกลับมาตลอดทั้งวัน

อย่างไรก็ดี นอกจากข่าวอันน่ายินดีของนายสนธิแล้ว ก็ต้องบอกว่า ยังมีข่าวที่น่ายินดีของเครือ ASTVอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือ การที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมได้รับอนุญาตได้กลับมาออกอากาศได้อีกครั้งหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีคำสั่งให้ระงับการออกอากาศเป็นการชั่วคราว

แต่การได้รับอนุญาตให้กลับมาออกอากาศใหม่ ASTV ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้หลายประการ โดยเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมที่ถูกปิดได้ไปเซ็นลงนามบันทึกข้อตกลง(เอ็มโอยู) กับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. เป็นที่เรียบร้อยจำนวน 7 สถานีประกอบด้วย

1.Five Channel จากบริษัท เอซี เทเลวิชั่น จำกัด (เอ็มวี 5) 2.ฟ้าวันใหม่ จากบริษัท บลู สกาย แชนแนล จำกัด 3.โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม บุญนิยม จากมูลนิธิบุญนิยม (เอฟเอ็มทีวี) 4.สถานี News1 จากบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด 5.People TV จากบริษัท พีแอนด์พี ชาแนล จำกัด 6.Peace TV จากบริษัท รวยทันที จำกัด (UDD) และ 7.24 TV จาก เดโมเครซี นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (DNN)

ส่วนอีกช่องรายการที่เข้ามาเซ็น MOU แล้ว แต่ต้องรอทางสำนักงาน กสทช.ตรวจสอบเพิ่มเติมเนื่องจากมีการเปลี่ยนนิติบุคคล คือ บริษัท ดีเอ็นซี นิวส์ จำกัด ในชื่อช่อง DNC TV จากสถานีเอเชียอัปเดต เดิม

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีก4 สถานีที่ยังไม่มีการเข้ามาเซ็น MOU คือ 1.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมโฟร์แชนแนล 2.สถานีดาวเทียมฮอตทีวี 3.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเร็สคิ้ว และ 4.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูประเทศ (คปท.) ทำให้ยังไม่สามารถออกอากาศได้

“การขออนุญาตถือเป็นการขออนุญาตใหม่ โดยที่ คสช. อนุมัติให้นิติบุคคลรายเดิมมาขอรับใบอนุญาตใหม่ได้ ทำให้ใบอนุญาตเดิม หรือช่องรายการเดิมถูกยุติเป็นการถาวร เพราะไม่มีการยกเลิกประกาศฉบับที่ 15 แต่ประการใด ทำให้ต้องเป็นช่องรายการใหม่ และรับเงื่อนไขพิเศษที่กำหนดขึ้น เป็นข้อตกลงในการกำกับดูแลเป็นพิเศษ”

“เมื่อนิติบุคคลได้ใบอนุญาตบริการโทรทัศน์ประเภทไม่ใช้คลื่นความถี่แบบบอกรับสมาชิกใหม่ แล้วจะมีระยะเวลา 1 ปี และที่สำคัญคือ การกำกับดูแลสามารถข้ามขั้นตอนได้เลย เพราะมีเงื่อนไขที่อาจเพิกถอนใบอนุญาตได้ทันที โดยทางคณะกรรมการได้รับรองมติ และมีการทำรายงานไปยัง คสช. เพื่อให้ทราบถึงกระบวนการต่างๆ”พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) อธิบายรายละเอียด

สำหรับเนื้อหาสาระในเอ็มโอยูดังกล่าวส่วนใหญ่เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม2557 เรื่องการให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของ คสช. และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ และประกาศ คสช. ฉบับที่ 103/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557 จึงทำบันทึกข้อตกลงกับสำนักงาน กสทช.โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

บริษัทยินยอมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขการให้บริการกระจายเสียง หรือโทรทัศน์ โดยจัดทำผังรายการไม่ให้มีเนื้อหาขัดต่อประกาศ คสช.ฉบับดังกล่าว และเงื่อนไขการเป็นผู้รับใบอนุญาต นอกจากนี้ ยังห้ามมิให้เชิญบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่เป็นนักวิชาการ หรือผู้ที่เคยเป็นข้าราชการ รวมทั้งผู้ที่เคยปฏิบัติงานในศาล และกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนองค์กรอิสระ มาให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่อาจก่อให้เกิด หรือขยายความขัดแย้ง บิดเบือน และสร้างความสับสนให้แก่สังคม รวมทั้งอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง

สถานีมีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารตามที่ได้รับแจ้งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้บุคคลดังกล่าว รวมทั้งบุคคลอื่นใดงดเว้นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในลักษณะ ดังต่อไปนี้ (1) ข้อความอันเป็นเท็จ หรือที่ส่งไปในทางหมิ่นประมาท หรือสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ (2) ข่าวสารที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ รวมทั้งหมิ่นประมาทบุคคลอื่น

(3) การวิพากษ์ วิจารณ์การปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง (4) ข้อมูลเสียง ภาพ วิดีทัศน์ ความลับของการปฏิบัติงานของหน่วยราชการต่างๆ (5) ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร

(6) การชักชวน ซ่องสุมให้มีการรวมกลุ่มก่อการอันเกิดการต่อต้านเจ้าหน้าที่ และบุคคลที่เกี่ยวข้องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(7) การขู่จะประทุษร้าย หรือทำร้ายบุคคล อันนำไปสู่ความตื่นตระหนก หวาดกลัวแก่ประชาชน

ในกรณีที่ปรากฏว่า บริษัทฯ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงอาจะถูกสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพโดยองค์กรวิชาชีพที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก และต้องปฏิบัติตามกฎหมายใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ เพื่อให้บริการกระจายเสียง หรือโทรทัศน์ สำหรับกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่แบบบอกรับสมาชิก อย่างเคร่งครัด โดยข้อกำหนดในการหารายได้ของผู้รับใบอนุญาตจากโฆษณา และบริการธุรกิจตลอดทั้งวัน เฉลี่ยแล้วต้องไม่เกินชั่วโมงละห้านาที
หากสำนักงาน กสทช. ตรวจพบว่ามีการฝ่าฝืนข้อตกลงอาจพิจารณาถอนใบอนุญาตทันที

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้ชมต้องรับรู้ก็คือ NEWS1 ไม่ได้ช่องทางในการออกอากาศในรูปแบบเดิมเนื่องจากทางสำนักงาน กสทช. มีมติให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ ต้องดำเนินการเปลี่ยนไปใช้ระบบบอกรับสมาชิก โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เรื่องการให้ความร่วมมือ ต่อการปฎิบัติงานของ คสช.
ทั้งนี้ การบอกรับสมาชิกนั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. การเสียชำระค่าบริการเป็นรายเดือน เช่น ทรูวิชั่น เป็นต้น
2. การชำระครั้งเดียวตอนซื้อกล่องรับสัญญาณ เช่น IPM, PSI, GMM, Sun box. ฯลฯ

โดยช่องของสถานีโทรทัศน์ NEWS1 จะอยู่ในประเภทที่ 2 คือ การชำระครั้งเดียวตอนซื้อกล่องรับสัญญาณ โดยในประเภทนี้เมื่อเปลี่ยนเป็นระบบบอกรับสมาชิกจะมี คีย์ล็อคโดยเฉพาะ ที่เรียกว่า Biss Key. ซึ่งเป็นรหัส 16 หลัก เพื่อใช้ในการเข้าชม ทางเราจึงขอแจ้งการเปลี่ยนแปลงการรับชมรายการ ของสถานีโทรทัศน์ NEWS 1 ดังนี้

1. สามารถรับชมได้ทางกล่องรับสัญญาณ IPM ที่เป็นระบบ OTA ช่อง 64 ซึ่งอยู่ในประเภทรายการข่าว ทาง IPM จะใส่ระบบ Biss key หรือรหัสเข้าสัญญาณให้อัตโนมัติ ท่านสามารถเปิดรับชมได้โดยไม่ต้องปรับจูนสัญญาณใดๆ

2. มีการเปลี่ยนแปลง Symbol Rate จากเดิม 40,000 เป็นค่า 45,000 สัญญาณความถี่ 11038 เป็นตัวเดิม และค่า Pol. เป็นค่า Ver. ตัวเดิมเช่นเดียวกัน เมื่อท่านใส่ค่าดังกล่าวแล้ว จะมีการถามหารหัส 16 หลักขึ้นมา ให้ใส่รหัสดังนี้ B2 6E CD ED 4D 38 1B A0 จึงจะสามารถรับชมรายการได้ หากท่านไม่สามารถรับชมได้หรือไม่มีการถามหารหัส แสดงว่ากล่องรับสัญญาณของท่านไม่รองรับระบบ จำเป็นต้องเปลี่ยนกล่องรับสัญญาณใหม่

ทั้งนี้ NEWS1 ซึ่งเป็นชื่อใหม่ของ ASTV จะเริ่มออกอากาศครั้งแรกในเวลา 06.00 น. ของวันที่ 29 สิงหาคม 2557 เฉพาะทาง IPM ช่อง 64 เท่านั้น




กำลังโหลดความคิดเห็น