“ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องของถิ่นกำเนิดที่ดำรงอยู่ ด้วยหยาดเหงื่อ ชีวิต และสัจธรรม ไม่อาจเข้าครอบครองได้ด้วยความรุนแรง โดยปราศจากสติและความยั้งคิด
ไม่อาจยึดถือเป็นของส่วนตัวได้ ผู้ที่ใช้ความรุนแรงโดยปราศจากแนวทางจะต้องพ่ายแพ้
ผู้ที่ยึดถือเป็นส่วนตัวจะต้องสูญเสียอำนาจ เพราะอำนาจเป็นธรรม คืออธิปไตยของปวงชน อันเป็นสัจธรรมโดยแท้ ที่บัณฑิตพึงทำให้เกิดขึ้น เพื่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสันติสุขของราษฎร”
ทั้งหมดข้างต้นนั้นคือข้อความในอารัมภบทของหนังสือเรื่อง “ปรัชญาแผ่นดิน” ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ได้ลงตีพิมพ์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2525 ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นระยะเวลาร่วม 8 ปี ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองมีวิกฤตทั่วด้าน ทั้งภัยสงครามรอบทิศรอบด้านของประเทศไทย ทั้งภัยสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทั้งวิกฤตจากความแตกแยกแตกสามัคคีของคนในชาติ และทั้งวิกฤตทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าอย่างหนักหน่วง ถึงขนาดต้องลดค่าเงินบาทถึงสองหน
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไร้พรรค คือไม่มีพรรคการเมืองเป็นของตนเอง โดยไร้รุ่นคือไม่ยึดถือรุ่นหรือพวกพ้อง
เพราะพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไร้พรรคการเมือง เหตุนี้จึงมีพรรคการเมืองทุกพรรคให้การสนับสนุน ความไร้พรรคจึงกลายเป็นมีทุกพรรคการเมืองสนับสนุน ต่างกับการเป็นเจ้าของพรรคหรือเป็นหัวหน้าพรรคใดพรรคหนึ่ง ซึ่งจะมีทุกพรรคเป็นคู่แข่ง
เพราะพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไร้รุ่น ไร้พวกพ้อง ทุกรุ่นและทุกพวกจึงให้การสนับสนุน ต่างกับพวกยึดถือรุ่นก็จะมีรุ่นเดียวเป็นพวก แต่ทุกรุ่นปฏิเสธและตั้งตนเป็นปรปักษ์ ต่างกับพวกที่ยึดถือพวกพ้องที่มีแต่พวกสารเลวเป็นพวก ในขณะที่คนดีทั้งแผ่นดินเป็นปรปักษ์
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก่อนเป็นนายกรัฐมนตรีคือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และได้รับการสนับสนุนจากหลายรุ่นหลายกลุ่มหลายพวกหลายพ้อง ที่มองเห็นเป็นฉันทามติว่าในยามที่บ้านเมืองอยู่ในวิกฤตรอบทิศรอบด้านอย่างหนักหน่วงสาหัสปานนั้น ในแผ่นดินนี้มีแต่คนผู้นี้แหละจึงสามารถกอบกู้ประเทศชาติให้กลับคืนสู่ความเป็นปกติสุขและก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลได้
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ใช้เวลา 8 ปีก็สามารถนำพาประเทศกลับสู่ความเป็นปกติสุขและความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล สร้างสมความมั่งคั่งไว้ให้กับรัฐบาลชั้นหลัง
รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นสู่อำนาจด้วยกำลังสนับสนุนจากทุกรุ่นทุกหมู่ทุกเหล่า
เมื่อขึ้นสู่อำนาจแล้ว รัฐบาลนั้นไม่ได้ใช้อำนาจเอาพวกเอารุ่นหรือทำการใดเพื่อประโยชน์ตนหรือพวกพ้อง การทั้งปวงถือเอาประเทศชาติราชบัลลังก์เป็นที่ตั้ง จึงเป็นรัฐบาลที่มีความสง่างาม เป็นที่เกรงขามนับถือศรัทธาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จากกำลังสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจแล้วก็อาศัยธรรม จำเริญรอยตามพระบรมราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
รัฐบาลนั้นบริหารราชการแผ่นดินโดยธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่ เคารพธรรม และยกย่องเสวนาด้วยผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย คนดีศรีแผ่นดินและบัณฑิตทั้งปวงได้รับการเชื้อเชิญเข้าร่วมด้วยช่วยกันในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติอย่างเต็มกำลัง คนไม่ดีถูกกำจัดขัดขวางออกจากอำนาจไม่ให้ก่อความวุ่นวายได้
อำนาจเมื่อประกอบด้วยธรรม การบริหารราชการแผ่นดินจึงเป็นไปด้วยธรรม มีพลัง มีอำนาจ มีอานุภาพ ที่ไม่มีอะไรต้านทานได้ เพราะธรรมนั้นเป็นความล้ำเลิศประเสริฐสุดและไม่มีอะไรลบล้างทำลายธรรมนั้นได้เลย
บ้านเมืองจึงเป็นธรรมรัฐ การบริหารราชการแผ่นดินจึงเป็นนิติรัฐ ความเป็นธรรมแผ่ปกไปทั่วราชอาณาจักร จึงสามารถดับไฟสงคราม ดับไฟแห่งความขัดแย้งทั้งหลาย กำจัดวิกฤตทั่วด้านให้มลายหายสูญไป ทำให้ประเทศไทยถึงซึ่งยุคโชติช่วงชัชวาล
อำนาจที่เป็นธรรม เมื่อบำเพ็ญกรณีนานปีเข้าก็ก่อตัวเป็นบารมี เกิดเป็นบารมีธรรมที่อยู่เหนือโพ้นกำลังและอำนาจ เป็นรูปการจิตวิญญาณในการบริหารราชการแผ่นดินที่ร่มเย็นเป็นสุขและเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นแม้เมื่อครองอำนาจยาวนานถึง 8 ปีแล้ว และยังมีเสียงเรียกร้องสนับสนุนจากทุกพรรคการเมืองและประชาชนโดยทั่วไปให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก แต่บุรุษผู้ถึงซึ่งความพอแล้วก็ได้ประกาศต่อปวงชนชาวไทยในวาระนั้นว่า “พอแล้ว”
แต่จากวันนั้นถึงวันนี้แม้วันเวลาล่วงเลยมาร่วม 30 ปีแล้ว แต่ชื่อเสียงเกียรติภูมิของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็ยังคงก้องทั่วแผ่นดิน ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึง จนกระทั่งทุกวันนี้ และสิ่งที่เป็นคติธรรมในหนังสือ “ปรัชญาแผ่นดิน” ก็ยังเป็นที่ถวิลหาของมหาชนชาวไทยอยู่ในปัจจุบันนี้
นั่นคือแบบอย่างความดีความงามในการย่างก้าวของกำลังสู่อำนาจ จากอำนาจแล้วถือธรรม สร้างสั่งสมเป็นบารมีธรรม เพื่อทำให้การบริหารบ้านเมืองเป็นธรรมรัฐ เป็นนิติรัฐ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
อันกำลังนั้นเป็นเรื่องของสัตว์โลกทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์เดรัจฉานด้วย ที่ถือกำลังเป็นสำคัญในการกำหนดความเป็นผู้นำหรือตัวผู้นำ
แต่มนุษย์นั้นเป็นเวไนยสัตว์ กำลังมากและน้อยเป็นเพียงเรื่องหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ส่วนทั้งหมดหรือสิ่งชี้ขาดของความเป็นผู้นำ ซึ่งจะต้องถึงซึ่งอำนาจ
จากกำลังเมื่อได้มาซึ่งอำนาจแล้ว ก็สามารถดำรงฐานะอันเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้ แต่นั่นเป็นเรื่องวิสัยโลกธรรมดา หามีคุณค่าแต่ประการใดไม่ เพราะใครมีกำลังและแย่งชิงให้ได้มาซึ่งอำนาจก็เป็นได้ คนโง่บัดซบแบบลิโป้ก็เคยมีอำนาจแบบนี้มาแล้ว คนโลเลมักโลภอย่างอ้วนเสี้ยวก็เคยมีอำนาจแบบนี้มาแล้ว
คณะ รสช.ก็เคยใช้กำลังยึดอำนาจแบบนี้มาแล้ว คณะ คมช.ก็เคยใช้กำลังยึดอำนาจแบบนี้มาแล้ว และบัดนี้คณะ คสช.ก็ได้อาศัยการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนเข้ายึดอำนาจแล้วเช่นเดียวกัน
รสช. และ คมช.ใช้กำลังยึดอำนาจแล้วเสียของ เพราะไม่สามารถใช้อำนาจนั้นให้เป็นธรรม อำนาจที่ได้มาถูกใช้ไปเพื่อประโยชน์ของรุ่น ของพวกพ้อง แต่ยังดีที่มิได้ใช้อำนาจนั้นไปเพื่อประโยชน์ของพวกกบฏทรยศชาติหรือพวกโกงบ้านกินเมืองหรือพวกเผาบ้านเผาเมือง
แม้กระนั้น ทั้ง รสช. และ คมช.ก็ประสบกับความล้มเหลวในการยึดอำนาจ รสช.อยู่ได้ไม่ทันนานก็ถูกประชาชนขับไล่ จนเกิดเหตุการณ์นองเลือดกลางเมืองหลวงในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ส่วน คมช.ก็ประสบความล้มเหลวในการยึดอำนาจเพราะก่อกำเนิดให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และขบวนการตั้งรัฐไทยใหม่ ที่สมคบเอื้อประโยชน์กับนักการเมือง กลุ่มการเมือง ที่ทรยศชาติและฉ้อราษฎร์บังหลวง
วันนี้สถานการณ์ของ คสช.ได้ผ่านขั้นการใช้กำลังยึดอำนาจมาแล้ว และกำลังเป็นรัฏฐาธิปัตย์ สิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ในบัดนี้คือจะใช้อำนาจโดยธรรม เพื่อเป็นธรรมรัฐและนิติรัฐ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม หรือเพื่อรุ่น เพื่อพวกพ้อง เพื่อขบวนการล้มเจ้า เพื่อขบวนการรัฐไทยใหม่ หรือเพื่อพวกทรยศชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง
คสช.จะเลือกเดินไปทางไหน? อีกไม่นานคงจะได้เห็นกัน!
ไม่อาจยึดถือเป็นของส่วนตัวได้ ผู้ที่ใช้ความรุนแรงโดยปราศจากแนวทางจะต้องพ่ายแพ้
ผู้ที่ยึดถือเป็นส่วนตัวจะต้องสูญเสียอำนาจ เพราะอำนาจเป็นธรรม คืออธิปไตยของปวงชน อันเป็นสัจธรรมโดยแท้ ที่บัณฑิตพึงทำให้เกิดขึ้น เพื่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสันติสุขของราษฎร”
ทั้งหมดข้างต้นนั้นคือข้อความในอารัมภบทของหนังสือเรื่อง “ปรัชญาแผ่นดิน” ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ได้ลงตีพิมพ์เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2525 ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นระยะเวลาร่วม 8 ปี ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองมีวิกฤตทั่วด้าน ทั้งภัยสงครามรอบทิศรอบด้านของประเทศไทย ทั้งภัยสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทั้งวิกฤตจากความแตกแยกแตกสามัคคีของคนในชาติ และทั้งวิกฤตทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าอย่างหนักหน่วง ถึงขนาดต้องลดค่าเงินบาทถึงสองหน
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไร้พรรค คือไม่มีพรรคการเมืองเป็นของตนเอง โดยไร้รุ่นคือไม่ยึดถือรุ่นหรือพวกพ้อง
เพราะพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไร้พรรคการเมือง เหตุนี้จึงมีพรรคการเมืองทุกพรรคให้การสนับสนุน ความไร้พรรคจึงกลายเป็นมีทุกพรรคการเมืองสนับสนุน ต่างกับการเป็นเจ้าของพรรคหรือเป็นหัวหน้าพรรคใดพรรคหนึ่ง ซึ่งจะมีทุกพรรคเป็นคู่แข่ง
เพราะพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีโดยไร้รุ่น ไร้พวกพ้อง ทุกรุ่นและทุกพวกจึงให้การสนับสนุน ต่างกับพวกยึดถือรุ่นก็จะมีรุ่นเดียวเป็นพวก แต่ทุกรุ่นปฏิเสธและตั้งตนเป็นปรปักษ์ ต่างกับพวกที่ยึดถือพวกพ้องที่มีแต่พวกสารเลวเป็นพวก ในขณะที่คนดีทั้งแผ่นดินเป็นปรปักษ์
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก่อนเป็นนายกรัฐมนตรีคือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และได้รับการสนับสนุนจากหลายรุ่นหลายกลุ่มหลายพวกหลายพ้อง ที่มองเห็นเป็นฉันทามติว่าในยามที่บ้านเมืองอยู่ในวิกฤตรอบทิศรอบด้านอย่างหนักหน่วงสาหัสปานนั้น ในแผ่นดินนี้มีแต่คนผู้นี้แหละจึงสามารถกอบกู้ประเทศชาติให้กลับคืนสู่ความเป็นปกติสุขและก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลได้
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ใช้เวลา 8 ปีก็สามารถนำพาประเทศกลับสู่ความเป็นปกติสุขและความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล สร้างสมความมั่งคั่งไว้ให้กับรัฐบาลชั้นหลัง
รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ขึ้นสู่อำนาจด้วยกำลังสนับสนุนจากทุกรุ่นทุกหมู่ทุกเหล่า
เมื่อขึ้นสู่อำนาจแล้ว รัฐบาลนั้นไม่ได้ใช้อำนาจเอาพวกเอารุ่นหรือทำการใดเพื่อประโยชน์ตนหรือพวกพ้อง การทั้งปวงถือเอาประเทศชาติราชบัลลังก์เป็นที่ตั้ง จึงเป็นรัฐบาลที่มีความสง่างาม เป็นที่เกรงขามนับถือศรัทธาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
จากกำลังสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจแล้วก็อาศัยธรรม จำเริญรอยตามพระบรมราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
รัฐบาลนั้นบริหารราชการแผ่นดินโดยธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่ เคารพธรรม และยกย่องเสวนาด้วยผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย คนดีศรีแผ่นดินและบัณฑิตทั้งปวงได้รับการเชื้อเชิญเข้าร่วมด้วยช่วยกันในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติอย่างเต็มกำลัง คนไม่ดีถูกกำจัดขัดขวางออกจากอำนาจไม่ให้ก่อความวุ่นวายได้
อำนาจเมื่อประกอบด้วยธรรม การบริหารราชการแผ่นดินจึงเป็นไปด้วยธรรม มีพลัง มีอำนาจ มีอานุภาพ ที่ไม่มีอะไรต้านทานได้ เพราะธรรมนั้นเป็นความล้ำเลิศประเสริฐสุดและไม่มีอะไรลบล้างทำลายธรรมนั้นได้เลย
บ้านเมืองจึงเป็นธรรมรัฐ การบริหารราชการแผ่นดินจึงเป็นนิติรัฐ ความเป็นธรรมแผ่ปกไปทั่วราชอาณาจักร จึงสามารถดับไฟสงคราม ดับไฟแห่งความขัดแย้งทั้งหลาย กำจัดวิกฤตทั่วด้านให้มลายหายสูญไป ทำให้ประเทศไทยถึงซึ่งยุคโชติช่วงชัชวาล
อำนาจที่เป็นธรรม เมื่อบำเพ็ญกรณีนานปีเข้าก็ก่อตัวเป็นบารมี เกิดเป็นบารมีธรรมที่อยู่เหนือโพ้นกำลังและอำนาจ เป็นรูปการจิตวิญญาณในการบริหารราชการแผ่นดินที่ร่มเย็นเป็นสุขและเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นแม้เมื่อครองอำนาจยาวนานถึง 8 ปีแล้ว และยังมีเสียงเรียกร้องสนับสนุนจากทุกพรรคการเมืองและประชาชนโดยทั่วไปให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปอีก แต่บุรุษผู้ถึงซึ่งความพอแล้วก็ได้ประกาศต่อปวงชนชาวไทยในวาระนั้นว่า “พอแล้ว”
แต่จากวันนั้นถึงวันนี้แม้วันเวลาล่วงเลยมาร่วม 30 ปีแล้ว แต่ชื่อเสียงเกียรติภูมิของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็ยังคงก้องทั่วแผ่นดิน ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึง จนกระทั่งทุกวันนี้ และสิ่งที่เป็นคติธรรมในหนังสือ “ปรัชญาแผ่นดิน” ก็ยังเป็นที่ถวิลหาของมหาชนชาวไทยอยู่ในปัจจุบันนี้
นั่นคือแบบอย่างความดีความงามในการย่างก้าวของกำลังสู่อำนาจ จากอำนาจแล้วถือธรรม สร้างสั่งสมเป็นบารมีธรรม เพื่อทำให้การบริหารบ้านเมืองเป็นธรรมรัฐ เป็นนิติรัฐ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
อันกำลังนั้นเป็นเรื่องของสัตว์โลกทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์เดรัจฉานด้วย ที่ถือกำลังเป็นสำคัญในการกำหนดความเป็นผู้นำหรือตัวผู้นำ
แต่มนุษย์นั้นเป็นเวไนยสัตว์ กำลังมากและน้อยเป็นเพียงเรื่องหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ส่วนทั้งหมดหรือสิ่งชี้ขาดของความเป็นผู้นำ ซึ่งจะต้องถึงซึ่งอำนาจ
จากกำลังเมื่อได้มาซึ่งอำนาจแล้ว ก็สามารถดำรงฐานะอันเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้ แต่นั่นเป็นเรื่องวิสัยโลกธรรมดา หามีคุณค่าแต่ประการใดไม่ เพราะใครมีกำลังและแย่งชิงให้ได้มาซึ่งอำนาจก็เป็นได้ คนโง่บัดซบแบบลิโป้ก็เคยมีอำนาจแบบนี้มาแล้ว คนโลเลมักโลภอย่างอ้วนเสี้ยวก็เคยมีอำนาจแบบนี้มาแล้ว
คณะ รสช.ก็เคยใช้กำลังยึดอำนาจแบบนี้มาแล้ว คณะ คมช.ก็เคยใช้กำลังยึดอำนาจแบบนี้มาแล้ว และบัดนี้คณะ คสช.ก็ได้อาศัยการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนเข้ายึดอำนาจแล้วเช่นเดียวกัน
รสช. และ คมช.ใช้กำลังยึดอำนาจแล้วเสียของ เพราะไม่สามารถใช้อำนาจนั้นให้เป็นธรรม อำนาจที่ได้มาถูกใช้ไปเพื่อประโยชน์ของรุ่น ของพวกพ้อง แต่ยังดีที่มิได้ใช้อำนาจนั้นไปเพื่อประโยชน์ของพวกกบฏทรยศชาติหรือพวกโกงบ้านกินเมืองหรือพวกเผาบ้านเผาเมือง
แม้กระนั้น ทั้ง รสช. และ คมช.ก็ประสบกับความล้มเหลวในการยึดอำนาจ รสช.อยู่ได้ไม่ทันนานก็ถูกประชาชนขับไล่ จนเกิดเหตุการณ์นองเลือดกลางเมืองหลวงในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ส่วน คมช.ก็ประสบความล้มเหลวในการยึดอำนาจเพราะก่อกำเนิดให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และขบวนการตั้งรัฐไทยใหม่ ที่สมคบเอื้อประโยชน์กับนักการเมือง กลุ่มการเมือง ที่ทรยศชาติและฉ้อราษฎร์บังหลวง
วันนี้สถานการณ์ของ คสช.ได้ผ่านขั้นการใช้กำลังยึดอำนาจมาแล้ว และกำลังเป็นรัฏฐาธิปัตย์ สิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ในบัดนี้คือจะใช้อำนาจโดยธรรม เพื่อเป็นธรรมรัฐและนิติรัฐ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม หรือเพื่อรุ่น เพื่อพวกพ้อง เพื่อขบวนการล้มเจ้า เพื่อขบวนการรัฐไทยใหม่ หรือเพื่อพวกทรยศชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง
คสช.จะเลือกเดินไปทางไหน? อีกไม่นานคงจะได้เห็นกัน!