เอกชน3 สถาบันหรือกกร.เตรียมหารือ 4 ส.ค.นี้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังหวังมาตรการ คสช.กระตุ้นบริโภคในประเทศให้ฟื้นตัว รวมถึงการลงทุนต่างๆ ที่จะกลับมาชัดเจนอีกครั้ง คาดจีดีพีทั้งปีโตได้ 2-2.5% เหตุครึ่งปีแรกทำไว้ไม่ดีหวังแรงส่งจะทำให้กลับสู่ภาวะที่ดีในปี 2558 พร้อมจ่อยื่น ”บีโอไอ” ผ่อนผันใช้แรงงานต่างด้าวต่ออีก
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือกกร.ที่ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าไทยและสมาคมธนาคารวันที่ 4 ส.ค.นี้ กกร.จะรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าในครึ่งปีแรกโดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้เข้ามาเร่งแก้ไขและขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม ดังนั้นจึงคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีปี 2557 จะขยายตัวได้ระดับ 2-2.5%
“จะเป็นการรายงานให้เป็นทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลังโดยรวมซึ่งจะมองถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาหรือไม่หากมีการยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ คิวอี ในเดือนต.ค.นี้ รวมถึงจะมีการมองไปถึงทิศทางค่าเงินบาทที่อาจจะแข็งค่าขึ้น เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าภาพรวมครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้นแต่ก็ยอมรับว่าในครึ่งปีแรกไม่ดีนักโดยเฉพาะส่งออกที่ติดลบซึ่งในส่วนของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยหรือสรท.ก็ประเมินแล้วว่าทั้งปีส่งออกคงโตได้ 1.6% แต่หน่วยงานอื่นๆ ก็คงจะต้องมาพิจารณาว่าจะมองอย่างไร”นายวัลลภกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังจะมีการพิจารณาวาระการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ครั้งที่ผ่านมาและครั้งต่อไป รวมไปถึงข้อเสนอของ ส.อ.ท.และสภาหอฯ ที่จะเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการขอผ่อนผันมาตรการใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือต่อไปอีกหลังจากที่มาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงวันที่ 1 ม.ค. 2558 เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่บีโอไอผ่อนผันยอมรับว่าโรงงานหลายแห่งไม่สามารถดำเนินการได้ตามกำหนดเนื่องจากแรงงานไทยยังคงขาดแคลนโดยจะขอขยายเวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปี
ทั้งนี้ก่อนหน้าบีโอไอได้อนุมัติให้ขยายมาตรการผ่อนผันการใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอจำนวน 101 รายต่อไปอีก 2 ปี หรือจนถึง 31 ธ.ค. 2557 หลังจากที่มาตรการดังกล่าวได้สิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 55 อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขที่เอกชนจะต้องทยอยปรับลดการใช้แรงงานทุกๆ 6 เดือน ลง 25% โดยเริ่ม 1 ม.ค.-ก.ค. 56 จนครบ 100% ใน 6 เดือนสุดท้ายคือ (ก.ค.-ธ.ค. 57) โดยเหตุผลที่ยกเลิกบีโอไอระบุว่าที่ผ่านมาเกิดปัญหาเข้าใจผิดของเอกชนจึงต้องยอมผ่อนผันแต่จุดประสงค์หลักของการให้สิทธิประโยชน์จากบีโอไอต้องการส่งเสริมการใช้แรงงานในประเทศเท่านั้น
รายงานข่าวจาก กกร.แจ้งว่า กกร.ครั้งที่ผ่านมาผู้แทนสมาคมธนาคารไทยได้รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึงปีแรกว่า โดยรวมตัวปรับตัวดีขึ้น มองว่าภาคอุตสาหกรรมฯเริ่มส่งสัญญาณทีดีขึ้น กลับกันในภาคการท่องเที่ยวยังไม่ถือว่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติดีนักในช่วง พ.ค. และในภาคการส่งออกก็ยังหดตัวอยู่ โดยสมาคมธนาคารไทยมองว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังน่าจะขยายตัวๆจากเดิม 2% ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลพวงมาจากมาตรการต่างๆของ คสช. อาทิเช่นการจ่ายเงินจํานําข้าว หรือการเร่งเบิกจ่ายงบค้างท่อ การเร่งจัดทํางบประมาณรายจ่ายปี 2558 เหล่านี้เป็นส่วนสําคัญในการสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบและจะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยปี 2558 กลับสู่ระดับศักยภาพได้อีกครั้ง.
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือกกร.ที่ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าไทยและสมาคมธนาคารวันที่ 4 ส.ค.นี้ กกร.จะรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าในครึ่งปีแรกโดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศที่คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวหลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้เข้ามาเร่งแก้ไขและขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ให้เป็นรูปธรรม ดังนั้นจึงคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีปี 2557 จะขยายตัวได้ระดับ 2-2.5%
“จะเป็นการรายงานให้เป็นทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลังโดยรวมซึ่งจะมองถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาหรือไม่หากมีการยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ คิวอี ในเดือนต.ค.นี้ รวมถึงจะมีการมองไปถึงทิศทางค่าเงินบาทที่อาจจะแข็งค่าขึ้น เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าภาพรวมครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้นแต่ก็ยอมรับว่าในครึ่งปีแรกไม่ดีนักโดยเฉพาะส่งออกที่ติดลบซึ่งในส่วนของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยหรือสรท.ก็ประเมินแล้วว่าทั้งปีส่งออกคงโตได้ 1.6% แต่หน่วยงานอื่นๆ ก็คงจะต้องมาพิจารณาว่าจะมองอย่างไร”นายวัลลภกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังจะมีการพิจารณาวาระการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ครั้งที่ผ่านมาและครั้งต่อไป รวมไปถึงข้อเสนอของ ส.อ.ท.และสภาหอฯ ที่จะเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการขอผ่อนผันมาตรการใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือต่อไปอีกหลังจากที่มาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงวันที่ 1 ม.ค. 2558 เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่บีโอไอผ่อนผันยอมรับว่าโรงงานหลายแห่งไม่สามารถดำเนินการได้ตามกำหนดเนื่องจากแรงงานไทยยังคงขาดแคลนโดยจะขอขยายเวลาอีกอย่างน้อย 2-3 ปี
ทั้งนี้ก่อนหน้าบีโอไอได้อนุมัติให้ขยายมาตรการผ่อนผันการใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอจำนวน 101 รายต่อไปอีก 2 ปี หรือจนถึง 31 ธ.ค. 2557 หลังจากที่มาตรการดังกล่าวได้สิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 55 อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขที่เอกชนจะต้องทยอยปรับลดการใช้แรงงานทุกๆ 6 เดือน ลง 25% โดยเริ่ม 1 ม.ค.-ก.ค. 56 จนครบ 100% ใน 6 เดือนสุดท้ายคือ (ก.ค.-ธ.ค. 57) โดยเหตุผลที่ยกเลิกบีโอไอระบุว่าที่ผ่านมาเกิดปัญหาเข้าใจผิดของเอกชนจึงต้องยอมผ่อนผันแต่จุดประสงค์หลักของการให้สิทธิประโยชน์จากบีโอไอต้องการส่งเสริมการใช้แรงงานในประเทศเท่านั้น
รายงานข่าวจาก กกร.แจ้งว่า กกร.ครั้งที่ผ่านมาผู้แทนสมาคมธนาคารไทยได้รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึงปีแรกว่า โดยรวมตัวปรับตัวดีขึ้น มองว่าภาคอุตสาหกรรมฯเริ่มส่งสัญญาณทีดีขึ้น กลับกันในภาคการท่องเที่ยวยังไม่ถือว่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติดีนักในช่วง พ.ค. และในภาคการส่งออกก็ยังหดตัวอยู่ โดยสมาคมธนาคารไทยมองว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังน่าจะขยายตัวๆจากเดิม 2% ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลพวงมาจากมาตรการต่างๆของ คสช. อาทิเช่นการจ่ายเงินจํานําข้าว หรือการเร่งเบิกจ่ายงบค้างท่อ การเร่งจัดทํางบประมาณรายจ่ายปี 2558 เหล่านี้เป็นส่วนสําคัญในการสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบและจะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยปี 2558 กลับสู่ระดับศักยภาพได้อีกครั้ง.