xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“จิตตนาถ” เปิดใจ ยุติ “ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์” ชั่วคราว ฝากถึงผู้ใหญ่ “อย่ารังแกกันมากเกินไป”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“จิตตนาถ ลิ้มทองกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -จากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงนามในประกาศคำสั่งฉบับที่ 108/2557 เรื่องการตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้าม โดย คสช.ระบุว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 251 วันที่ 26 ก.ค. - 1 ส.ค. 2557 ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช. พร้อมทั้งชงเรื่องมายังสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ให้เข้ามาดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ โดยประเด็นที่ คสช.ตั้งข้อกล่าวหามีทั้งหมด 3 ประเด็นด้วยกันคือ 1.กรณีคำพาดหัวข่าว “คสช.พ่อทุกสถาบัน 2.กรณีเรื่อง “น้องตาล” ในคอลัมน์สมการการเมือง และ 3.กรณีการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น

“จิตตนาถ ลิ้มทองกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ ได้ตัดสินใจออกมาให้สัมภาษณ์เปิดใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกประเด็น พร้อมแสดงจุดยืนถึงการทำหน้าที่ของสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการว่าจะดำเนินไปในทิศทางใดต่อไป

• ในประเด็นการนำเสนอข่าวของ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' คุณจิตตนาถในฐานะซีอีโอเครือผู้จัดการมีท่าทีอย่างไร?

ตามที่ได้มีการชี้แจงไปในจดหมายถึงสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เรื่องปกหนังสือ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ที่บอกว่า “คสช.พ่อทุกสถาบัน” ซึ่ง คสช.อ้างว่าอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด เราก็ขอชี้แจงว่าอันที่จริงแล้วคำว่าพ่อทุกสถาบันนั้นเป็นคำพูดที่คนทั่วไปรู้จักและเข้าใจความหมายกันมานานแล้ว อย่างเช่นอาชีวะที่เขาพ่นสีกันตามกำแพง เราก็เห็นมานาน เป็นวลีที่นิยมใช้กัน ซึ่งไม่เคยมีใครที่จะกล่าวว่าคำนี้พาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง แต่การที่ คสช.ติงมาในตรงนี้ เราก็น้อมรับฟังแล้วกัน เพียงแต่ว่าในสังคมไทย คำเหล่านี้เป็นคำที่ธรรมดามาก คุณต้องดูเนื้อหาของเรื่องข้างในด้วยว่า จากเนื้อหาเราสื่อให้เห็นว่า คสช.มีบทบาทเหนือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีอำนาจเหนือตุลาการ และก็สามารถถอดถอนนายกฯได้ใช่มั้ยครับ ก็จะเห็นว่า นี่คือความหมายของ “คสช.พ่อทุกสถาบัน” ที่เราพูดถึง แสดงถึงการมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งอันนี้ก็คือรายละเอียดที่เราแจง คสช.ไป ส่วนประเด็นเรื่องการตั้ง สนช.ที่บอกว่าผลประโยชน์ต่างตอบแทน ทุกสื่อเขาก็ออกมาหมดนี่ครับว่า เป็นสภาท็อปบูท เป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่ คสช. ก็ได้รับเลือกเข้ามาบริหารประเทศ

• ที่ คสช.ติดใจคำว่าผลประโยชน์ต่างตอบแทน แต่ทุกสื่อก็เขียนออกมามีนัยยะเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่ใช้คำที่ต่างออกไป ?

ใช่ครับ คนที่ทำอาชีพสื่อมวลชนก็รู้ดี มันก็เป็นการพาดหัวข่าวทั่วไป อย่างเช่น หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 30 กรกฎาคม 2557 ก็ยังพาดหัวข่าวว่า “เหล่าทัพแบ่งเค้กสนช. ประจินเผย “ทอ.”ได้โควตา20 คน รัฐสภาแต่งห้องรอ” แล้วถามว่าแบบนี้ไม่กระทบถึงคสช.หรืออย่างไร หรือว่าในเรื่องชื่อย่อว่า “น้องตาล” ผมยังไม่รู้เลยว่า ใคร อะไร อย่างไร สังคมไม่ได้มีใครรู้เลย กลายเป็นว่า ผู้ใหญ่ใน คสช.ออกมาพูด มันเหมือนกับเป็นการร้อนตัวหรือเปล่า ฉะนั้นผมก็จะแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ คสช.ระแวงASTVระมัดระวังเกี่ยวกับเราหรือว่าจ้องที่จะเซ็นซิทีฟกับเรา เป็นกรณีพิเศษเกินไปหรือไม่

• ตอนแรกที่ คชส.ออกประกาศตำหนิการนำเสนอข่าวของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ และให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯเข้ามาตรวจสอบ คสช.ให้เหตุผลว่า ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ เสนอข้อความอันเป็นเท็จ แต่เมื่อทางสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ถามกลับไปยัง คสช.ว่าตรงไหนบ้างที่เป็นเท็จ สภาการฯจะได้ตรวจสอบถูก ทาง คสช.ก็ทำหนังสือมาใหม่ว่า ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ลงข้อความในลักษณะเสียดสี

ก็มันขัดกันเองไง ในที่สุดเขาก็ยังไม่มีข้อมูลใดๆที่เป็นเท็จ คสช.เองก็ยังไม่สามารถระบุได้ ในที่สุดก็มาเป็นเรื่องของการเสียดสี ฉะนั้นผมถึงบอกว่า คสช.วันนี้อยากจะชี้ประเด็นอะไรก็ชี้ได้ อยากจะชี้เป็นเท็จพอบอกว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นเท็จ คุณก็เปลี่ยนเป็นประเด็นเสียดสีแทน เพราะฉะนั้นผมว่ามันอยู่ที่เขามีความรู้สึกเซนซิทีฟกับสื่อค่ายไหนเป็นพิเศษมากกว่า

• เนื้อหาในส่วนที่ คสช.ระบุว่าเป็นการเสียดสีนั้น ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ก็นำเสนออยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง?

ผมเองในฐานะคนทำสื่อ ผมก็มานั่งตรวจสอบดูข้างใน จากการที่เป็นซีอีโอและทำสื่อมา10 กว่าปี ผมก็ยังไม่เห็นว่าอะไรที่มันล้ำเส้นกว่าฉบับอื่นๆที่ทำกันตรงไหน ฉะนั้นก็เท่ากับว่าสภาการหนังสือพิมพ์เองก็ต้องรับเผือกร้อน เพราะ คสช.ได้ส่งเรื่องกลับมาที่สภาการหนังสือพิมพ์ สภาการหนังสือพิมพ์ก็ต้องส่งเรื่องมายังเอเอสทีวีตามที่เขาระบุ ทางเอเอสทีวีเองก็ได้ชี้แจงกลับไปเพื่อที่จะถาม คสช.ว่า ข้อแถลงของเอเอสทีวี คุณพอใจหรือยัง? ซึ่งเรื่องนี้มันคือขั้นตอนที่จะเกิดขึ้น แต่พอมันเกิดขึ้นหลังจากนั้นหาก คสช.บอกว่าผมไม่รู้ล่ะ อันนี้ยังไงก็ตามผมรู้สึกว่า ไม่พอใจ เพราะฉะนั้นแนวโน้มของสภาการหนังสือพิมพ์ที่จะออกมา อาจจะไม่ได้บอกว่าเราผิดจริยธรรมสื่อ แต่อาจจะบอกว่า มันไประคายเคือง คสช.ซึ่งถามว่า แบบนี้สภาการหนังสือพิมพ์ที่มีภาพลักษณ์ที่ไม่ขึ้นตรงกับอำนาจใด ทว่า ปัจจุบันเมืองไทยอยู่ภายใต้อำนาจของ คสช. ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถกำหนดทุกอย่าง แม้แต่รัฐธรรมนูญ แล้วเขาก็ยังอยู่เหนือทุกอำนาจอยู่ ก็เท่ากับว่าสภาการหนังสือพิมพ์โดนวางกรอบเกี่ยวกับเรื่อง คสช.เข้าแล้ว เพราะฉะนั้นจรรยาบรรณสื่อเราไม่ได้ผิด แต่การที่เราไประเคือง คสช.ต่างหาก ที่สภาการหนังสือพิมพ์เขาอาจจะต้องกล่าวตำหนิเราตามที่ คสช.วางกรอบมาอยู่แล้ว

• คสช.เป็นผู้มีอำนาจที่จะทำให้ประเทศชาติเกิดความสงบสุข และมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการ แต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ว่า คสช.อ่อนไหวที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ห่วงเรื่องภาพลักษณ์ ?

เรื่องแบบนี้มันสร้างความลำบากใจให้กับหลายคน ก็คือว่า คสช.เองไม่พอใจเพราะรู้สึกเซ็นซิทีฟกับผู้จัดการสุดสัปดาห์เป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ออกคำสั่งฉบับ103/2557 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 ห้ามมิให้ผู้ประกอบกิจการหรือผู้บริการด้านสื่อมวลชนทุกชนิด นำเสนอ หรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสู่ประชาชน ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ อันส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม

เพราะฉะนั้น คสช.ก็เลยต้องใช้สภาการหนังสือพิมพ์มาเป็นตัวลงดาบกับเรา แต่ว่าเรื่องที่มันน่าตลกก็คือว่า สภาการหนังสือพิมพ์เองก็ยังงงว่า ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์มีความผิดตรงไหน คสช.ช่วยแจงมาให้หน่อยได้มั้ย ว่ามันมีปัญหาตรงไหน เพราะสภาการหนังสือพิมพ์ซึ่งทุกคนเป็นสื่อย่อมสามารถอ่านและตรวจดู ทำความเข้าใจได้ แต่ทุกคนก็ไม่ได้พบความผิดปกติในเรื่องอะไร เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของสื่อที่จะเขียนเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นอยู่แล้ว แล้วสื่ออื่นๆเองก็เขียนในลักษณะแบบนี้ ฉะนั้นก็สรุปว่า คสช.ต้องการให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติเป็นเหมือนศาลหรือคนที่ลงดาบ แต่ศาลเองก็ยังมองไม่เห็น ศาลก็ต้องถามคนที่มีอำนาจเหนือศาลขึ้นไปอีกว่า สรุปเราผิดยังไง

• หลังจากที่สภาการหนังสือพิมพ์ฯรับลูก คสช. โดยตั้งคณะกรรมการไต่สวน และทาง ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ได้ส่งหนังสือชี้แจงกลับไปแล้ว จากนี้ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ จะมีท่าทีอย่างไรต่อไป?

เรามองว่าสภาการหนังสือพิมพ์ฯ จะมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ได้ จะต้องมานั่งทำตามอำนาจของคณะปฏิวัติที่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ เราจึงตัดสินใจง่ายๆเลยคือ 1) หลังจากฉบับที่ 252 ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์จะหยุดนำเสนอข่าวเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อแสดงสปิริตให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ เห็นว่าเราไม่ต้องการให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ต้องลำบากใจ หรือโดนธรรมนูญของ คสช.บังคับใช้ให้เป็นดาบมาไล่ฟันสื่อ 2) เราจะขึ้นปกดำฉบับวันที่ 2-8 สิงหาคม 2557 เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า เราประท้วง คสช. ส่วนเนื้อหาด้านในเราก็จะชี้แจงรายละเอียดต่างๆไปให้สังคมได้เห็นและเข้าใจอย่างกระจ่างชัด ซึ่งหลังจากนี้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ อยากจะพิจารณากรณีของเราอย่างไรก็ทำไป

เราไม่อยากให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯต้องมารับแรงกดดัน ยกตัวอย่างกรณีที่คุณจักรกฤษณ์ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์ฯ ให้ความเห็นส่วนตัวว่ากรณีนี้ถ้า ASTV ขอโทษ คสช.ก็จบ แบบบี้ผมก็ถือว่าคุณจักรกฤษณ์ได้รับแรงกดดันจาก คสช. เพราะทางสภาการหนังสือพิมพ์ฯยังมองไม่เห็นเลยว่าเราทำผิดจรรยาบรรณตรงไหน หรือคุณจักรกฤษณ์อาจจะเห็นว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผู้ใหญ่ใน คสช. กับเครือผู้จัดการ เพราะฉะนั้นทางผู้จัดการก็ขอโทษ คสช.ซะก็จบ แต่เราคิดว่าในเมื่อเราชี้แจงข้อเท็จจริงแต่ละข้อที่สภาการฯแจ้งมาครบถ้วนแล้ว และเรามีหลักฐานเปรียบเทียบว่าสื่ออื่นก็นำเสนอข่าวในบริบทเดียวกับเรา ที่สำคัญเราไม่ได้เสนอข่าวที่เป็นเท็จแต่อย่างใด แล้วจะให้เราขอโทษ คสช. เราจะขอโทษได้อย่างไร แต่เมื่อเราตัดสินใจแบบนี้ คุณจักรกฤษณ์ก็จะได้ไม่ต้องหนักใจ สภาการหนังสือพิมพ์ฯ จะได้ไม่ต้องลำบากใจหรือถูกกดดัน

• ไม่ทราบว่าหลังจากหยุดนำเสนอข่าวไป 1 เดือน เมื่อกลับมาเสนอข่าวอีกครั้ง ท่าทีของ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?

ทุกอย่างยังเหมือนเดิมครับ คือเรายังเป็นสื่อที่นำเสนอข่าวสารเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นสื่อที่ไม่ต้องการเห็นประชาชนบาดเจ็บล้มตายแล้วในที่สุดเกิดการปฏิวัติรัฐประหารแล้วก็เกิดปรากฎการณ์สมบัติผลัดกันชม หาทางลงให้ทุกฝ่าย แล้วก็ปูทางให้นักการเข้ามาอีก หรือว่ามีการปฏิรูปจอมปลอมแล้วสังคมไทยไม่ได้อะไรขึ้นมา ประชาชนก็บาดเจ็บล้มตายไปฟรีๆ เราก็ยังยืนยันในจุดยืนเดิม

• คิดว่าทำไม คสช.ถึงกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์?

ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน บางเรื่องผมเชื่อว่าถ้าทำอะไรที่ชัดเจน โปร่งใส คสช.สามารถตอบคำถามสังคมได้อยู่แล้ว ซึ่ง คสช.ก็มีสื่อในมือเยอะมาก มีทีวีพูลที่สามารถออกทีวีพร้อมกันได้เกือบทุกช่อง แล้วสิ่งที่ คสช.พูดทุกสื่อก็ต้องเอามาลงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น คสช.มีช่องทางที่จะชี้แจงตอบโต้เยอะแยะมาหาศาล แต่อาจเป็นเพราะมีบางเรื่องที่สังคมตั้งคำถามแต่ คสช.ยังตอบไม่ได้ อย่างเช่น การคืนความสุขให้คนไทย ซึ่งดูเหมือนสังคมไม่ได้อะไร กลับถูกควบคุมอย่างเคร่งครัด แต่กลายเป็นว่าครอบครัวชินวัตรมีความสุขกันทั่วหน้า ไปลั้ลลากันอยู่ที่ยุโรป ทั้งที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนใกล้ชิด หรือวงศ์วานว่านเครืออย่าง “เจ๊ ด.” ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาในโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ธุรกิจส่งออกข้าวพัง ทำให้ชาวนาผูกคอตายกันไปไม่รู้เท่าไหร่ คสช.อาจทำได้ดีในระดับหนึ่งในเรื่องของการจับกุมอาวุธสงคราม แต่ คสช.ไม่สามารถสาวไปถึงผู้บงการได้ ตรงนี้ คสช.ก็ตอบสังคมไม่ได้

หรือกรณีการแก้ปัญหาพลังงาน ซึ่งในที่สุดคนที่ คสช.เลือกมาเป็นประธานบอร์ด ปตท.ก็คือคนที่เป็นตัวแทนของกลุ่มทุนพลังงาน แล้วนโยบายของเขาก็มีแต่เสนอให้ขึ้นราคาน้ำมันเพื่อไม่ให้กำไรของ ปตท.ลดลง แม้แต่นโยบายการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พ.ย.2558 เป็นต้นไป ก็เป็นการเพิ่มภาระให้ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยบอบช้ำมามากจากพิษทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น คิดว่า น่าจะเป็นเรื่องของหลายๆ ประเด็นที่ คสช.ไม่สามารถตอบสังคมได้

• ตอนนี้ก็เริ่มมีคนวิจารณ์ว่าระเบียบที่ คสช.ออกมาว่าห้ามนำเสนอข้อความที่เสียดสีนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อการดูวิชาชีพสื่อ แต่เป็นไปเพื่อปกป้อง คสช.เอง?

คือคนที่เข้ามาดูแลบ้านเมืองในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเนี่ยเขาต้องระวังในเรื่องภาพลักษณ์ ซึ่งผมเข้าใจความจำเป็นของ คสช.นะ ซึ่งถ้า คสช.ทำเรื่องที่ชัดเจน ถูกต้อง และเป็นสิ่งที่ควรจะทำ ไม่ใช่รักษามะเร็งด้วยยาแก้ปวด ผมเชื่อว่าเขาไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องสื่อหรอกเพราะว่าผลงานของเขาจะประจักษ์แก่ประชาชนเอง แต่ถ้าผลงานที่ออกมาดูครึ่งๆกลางๆหรือมีอะไรบางอย่างที่ทำให้สังคมไม่ไว้วางใจ สังคมเขาเห็น เขาคาดการณ์ หรือเขารู้ทัน เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองมาต่อเนื่องยาวนาน ประชาชนในแต่ละภาคส่วนเขาก็จะมีข้อมูลและองค์ความรู้เหล่านี้อยู่แล้ว เขาสามารถพิเคราะห์พิจารณาได้ ถ้า คสช.ทำผลงานไม่เข้าตา ยังไงมันก็มีเสียงวิจารณ์เกิดขึ้นอยู่ดี ต่อให้สื่อไม่พูดอะไรเลย ประชาชนเขาก็วิจารณ์กันอยู่ดี คุณจะไปห้ามความจริงที่มันออกมา หรือคุณจะไปไล่ปิดโซเชียลมีเดียอย่างที่เคยเป็นข่าว คุณทำได้หรือ ? คุณก็ทำไม่ได้

• ตอนนี้กระแสสังคมกำลังมองว่า คสช.ใช้อำนาจปิดปากสื่อ?

อันนี้ก็อยู่ที่กระแสสังคมแล้วกันนะครับ แต่ว่าสำหรับผมมองว่า เขาไม่กล้าใช้อำนาจโดยตรง แต่เขากำลังจะทำให้สถาบันวิชาชีพของสื่ออย่างสภาการหนังสือพิมพ์ ต้องลำบากใจ เพราะเหมือนกับว่าเขาตรากฎใหม่ขึ้นมา บอกว่าห้ามวิจารณ์ ห้ามนำเสนอข่าวที่ทำให้เสียภาพลักษณ์ แล้วเขาก็สามารถเลือกได้ว่า เล่มนี้พูดแบบนี้ เพราะฉะนั้นตัวสภาการหนังสือพิมพ์เอง ในที่สุดจะตกสู่ที่นั่งที่มันกลืนไม่เข้า คายไม่ออก แล้วเราก็ไม่อยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย ถามว่าเราทำอะไร ก็จะตอบว่า เราเสียสละให้คุณเลย คุณไม่ต้องมาลำบากใจกับเราหรอก

• แต่การใช้อำนาจเข้ามาครอบงำการทำหน้าที่ของสื่อ มันจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเผด็จการ

ผมไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ได้ครับ เพราะตอนนี้เราอยู่ในภาวะของการรัฐประหารซึ่ง คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ผมจึงไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้จริงๆ

• แล้วอะไรที่ทำให้ คสช.เซนซิทีฟกับเครือผู้จัดการ?

อันนี้ผมก็ไม่ทราบจริงๆ แต่ถ้าย้อนดูการนำเสนอข่าวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เครือผู้จัดการเป็นเครือเดียวที่กล้าเปิดโปงวิพากษ์วิจารณ์หรือพูดถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งหลายๆท่านจากหน่วยงานเหล่านี้ตอนนี้ก็นั่งอยู่ใน คสช.ด้วย เขาก็อาจจะระมัดระวังเราเป็นพิเศษว่าจะมีอะไรที่จะไปกระทบต่อภาพลักษณ์ที่เขาพยายามสร้างขึ้นก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่นทีวีของเราโดนปิด แต่วอยซ์ทีวีซึ่งเป็นสื่อในเครือคุณทักษิณกลับสามารถเปิดได้ เพราะอะไร เพราะวอยซ์ทีวีไม่เคยไม่เจาะเรื่องหน่วยงานความมั่นคง ขณะที่สื่ออื่นๆ ก็ไม่เคย จะมีใครไปวิจารณ์หน่วยงานด้านความมั่นคง ทุกอย่างดีหมด การที่จะปกครองประเทศ ภาพลักษณ์ของผู้นำมีความสำคัญ ดังนั้นอะไรที่ไปทำให้ภาพลักษณ์ของคนที่เป็นผู้นำสั่นคลอนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะระแวงหรือเซนซิทิฟ

• เครือ ASTV มีอคติกับ คสช.หรือเปล่า?

ไม่มีครับ ผมยืนยันได้ว่า ASTV ไม่เคยมีอคติหรือมุ่งร้ายต่อ คสช. ASTV เป็นสื่อที่มุ่งทำประโยชน์เพื่อภาคประชาชนมาตลอด เรามีปัญหากับทุกรัฐบาล สมัยรัฐบาลคุณทักษิณเราก็มีปัญหา เราก็โดนคุกคาม สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ทำเรื่องเขาพระวิหารไม่เข้าท่าเข้าทาง เราก็นำเสนอข่าว ก็มีคนมาใส่ร้ายว่าเรารับเงินคุณทักษิณอีก ทั้งๆที่เราสู้กับระบอบทักษิณมาตลอด พอมาถึงยุค คสช.เราก็ไม่ได้มีปัญหากับ คสช. เรื่องอะไรที่ คสช.ทำดีเราก็เขียนชม แต่เรื่องอะไรที่สังคมบอกว่า เฮ้ย..อย่างนี้มันไม่เข้าท่า เราก็เอาเสียงของสังคมมาบอกให้ คสช.รับรู้ ถ้าเรามีอคติกับ คสช. เรื่องอะไรที่ คสช.ทำดี เราก็คงไม่ชม ในทางกลับกันเราก็ต้องถามว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีอคติกับเราเกินไปหรือเปล่า เพราะที่ผ่านมาเครือ ASTV เป็นสื่อที่ผู้มีอำนาจคุกคามมาตลอด

• แต่หลายๆ ประเด็นที่ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ตั้งคำถามกับ คสช. ก็เป็นคำถามที่ประชาชนถาม คสช.ผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆเหมือนกัน

ใช่ครับ เราก็เป็นแค่สื่อที่สะท้อนเสียงของประชาชน ส่วน คสช.จะตอบได้หรือไม่ก็คงเป็นหน้าที่ของ คสช.

• ตอนนี้คนส่วนใหญ่กำลังมองว่า คสช.กำลังซ้ำรอยรัฐบาลขิงแก่ ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คือให้เหตุผลในการรัฐประหารว่าประเทศเกิดความขัดแย้ง เรามาปรองดองกันเถอะ แล้วอย่าพูดถึงเรื่องการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองเพราะจะทำให้ความแตกแยก

คือ คสช.เองชัดเจนตั้งแต่เริ่มทำรัฐประหารแล้วว่าประเทศเดินต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจุดมุ่งหมายของ คสช.ในการเข้ามาของ คสช.ก็คือเพื่อจัดการเลือกตั้ง แล้วมีการปรับปรุงแก้ไขกติกาใหม่ แต่ คสช.ไม่ได้บอกว่าจะเข้ามากวาดล้างสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยต่อประเทศ ซึ่งผมถือว่า คสช.ชัดเจนในตัวเองมาตั้งแต่แรก แต่ว่าหลายคนอาจจะไปฟังคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. พูด แล้วก็มโนกันไปเอง ที่ผ่านมาท่านผู้นำ คสช.ไม่เคยพูดว่าจะจัดการถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ หรือบอกว่าจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ซึ่งในที่สุดมีการตั้งรัฐบาลขึ้นมา มีคณะทำงานขึ้นมา เราก็ไม่ได้เห็นตัวแทนภาคประชาชนเข้ามา มีแต่กลุ่มข้าราชการเก่า กลุ่มทหาร กลุ่มการเมือง ส่วนประชาชนก็อย่างที่เห็นๆ

• ถ้า คชส.ทำแบบนั้น ประเทศไทยก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง วงจรอุบาทว์ก็จะกลับมาเหมือนเดิม

ผมคงตอบไม่ได้เพราะมันจะไปเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ คสช. แต่ถ้าถามว่า คสช.ทำตามนโยบายที่เขาทำรัฐประหารมาแต่แรกไหม ก็ต้องบอกว่านี่คือการทำตามนโยบายที่เขาทำรัฐประหารมาแต่แรก

• แปลว่าคนไทยมโนกันไปเองว่า คสช.จะเข้ามาแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นซึ่งเป็นรากเหง้าของปัญหาต่างๆ ในประเทศไทย รวมถึงเป็นต้นเหตุที่นำไปสู่ความขัดแย้งของคนไทยด้วย

ผมเชื่อว่า คสช.ก็พยายามแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในระดับหนึ่ง แต่เหมือนกับคนเป็นมะเร็งแต่คุณแค่ใช้ยาแก้ปวดในการรักษา จะแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นแต่จับอยู่แค่ปลาซิวปลาสร้อยหน้าโกดังข้าว คุณไม่สามารถสาวไปถึงตัวการใหญ่

• ก็เหมือนกับกรณีการจับกุมคนร้ายที่ใช้อาวุธสงครามทำร้ายเข่นฆ่าผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. ซึ่งหลายคนตั้งคำถามว่า ในเมื่อ คสช.ซึ่งดูแลกองทัพมีหน่วยข่าวกรอง สามารถหาข้อมูลเชิงลึกจึงน่าจะมีข้อมูลอยู่แล้วว่าใครหรือกลุ่มไหนเป็นผู้สั่งการ แต่เหตุใดการจับกุมจึงไปไม่ถึงตัวผู้สั่งการ

อันนี้ก็ต้องไปถามท่านประธาน คสช.นะครับ ผมไม่สามารถพูดได้เดี๋ยวจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์

อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญที่ผมอยากฝากเอาไว้ก็คือ กรณีของการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง เพราะเท่าที่ปรากฏเป็นข่าว ผมเห็นว่า ผู้ที่โดนจับกุมส่วนใหญ่เป็นระดับปฏิบัติการ คนที่ถูกจับเป็นแค่คนที่ออกสื่อ แต่ไม่ได้มีการลงลึกไปถึงผู้บงการ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนรู้ใครอยู่เบื้องหลัง ใครเป็นตัวการใหญ่ของเรื่องนี้ ผมอยากให้มีการดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

• คิดว่าการที่ คสช.ส่งสัญญาณให้สภาการหนังสือพิมพ์ฯ มาจัดระเบียบสื่อในลักษณะนี้ จะมีผลอย่างไรต่อการเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อต่อไปในอนาคต?

ผมว่าถ้าหมายถึงสื่อโดยรวมก็คงไม่มีผลอะไร เพราะเท่าที่ดูผมว่าหลายฉบับโทนในการนำเสนอข่าวก็เหมือนๆกัน แต่อยู่ที่ว่าผู้มีอำนาจเขาเลือกที่จะเคร่งครัดกับฉบับไหน อย่างเนื้อหาและพาดหัวข่าวของหลายฉบับที่เรานำมาลงเพื่อชี้แจงใน 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' ฉบับนี้ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกับข่าวของเรา ผมว่าที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์พาดหัวว่า “เหล่าทัพแบ่งเค้ก สนช.” แล้วก็พูดถึงเรื่องโควตาที่แต่ละเหล่าทัพได้รับเนี่ยน่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของ คสช.มากกว่าที่เราเขียนอีกนะ

• ตอนนี้กระแสสังคมกำลังมองว่า ASTV ถูกรังแก

ก็คงแล้วแต่สังคมจะมอง

• เห็นว่าก่อนหน้านี้ไม่นานคุณจิตตนาถก็ถูกลอบยิง?

ใช่ครับ ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศกฎอัยการศึก 2-3 วัน ห้องทำงานผมโดนปิดติดลำกล้องยิงเข้ามาจากสะพานพระราม 8 ก็ไปคิดดูเอาแล้วกันว่า 1) คนที่จะใช้ปืนติดลำกล้องเนี่ยต้องเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนมา 2) พื้นที่ใกล้สะพานพระราม 8 มีหน่วยงานไหนดูแลอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน เป็นไปไม่ได้ที่ใครก็ไม่รู้จะถือปืนขึ้นไปยิงบนสะพาน ถามว่าทำไมผมเพิ่งมาพูดตอนนี้ หรือทำไมไม่ไปร้องเรียนสภาการหนังสือพิมพ์ฯว่าถูกข่มขู่คุกคาม คือผมเป็นคนที่ไม่ต้องการไปเป็นภาระให้ใคร ร้องเรียนไปแล้วไง ร้องเรียนไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เหมือนกรณีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกยิงถล่ม ก็จับใครไม่ได้

แต่ที่ผมนำเรื่องนี้มาพูดเพราะอยากให้สังคมรู้ว่าการที่เครือ ASTV กล้าวิพากษ์วิจารณ์ทำให้เราโดนคุกคามตลอด โดนมาตั้งแต่ชุมนุม 193 วัน ที่ถูกลอบยิง M79 เข้ามาที่บ้านเจ้าพระยา คุณสนธิก็โดนยิง ผมก็โดนลอบยิงเพื่อข่มขู่ ซึ่งคนที่ผมวิพากษ์วิจารณ์มันก็มีไม่กี่คน ผมไม่ต้องการร้องแรกแหกกระเชอ แค่อยากให้สังคมรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสื่อที่ซื่อตรงในวิชาชีพและกล้าเสี่ยงตายที่จะวิพากษ์วิจารณ์

• สุดท้ายอยากฝากอะไรไหม?

ผมก็อยากจะฝากถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง อยากให้คุณคิดถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก อย่าทำงานแบบผักชีโรยหน้า แล้วก็ไม่ต้องกลัวสื่อ เพราะที่จริงแล้วผลงานของท่านจะเป็นกระจกสะท้อนตัวท่านเอง ส่วนสื่อแค่ทำหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์และรายงานตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านพูดเอาไว้ดีมากเลย ท่านบอกว่า...คนเรายิ่งใหญ่ ก็ยิ่งต้องทำตัวเล็ก ผมก็อยากเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนำคำพูดของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ไปใช้และนำไปปฏิบัติ มันจะได้เกิดภาพที่เป็นมิตรต่อสังคม เป็นมิตรต่อประชาชนมากขึ้น แล้วก็อยากฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยว่าเครือผู้จัดการ เราถอยมาเยอะแล้ว ที่ผ่านมาผมพยายามเลี่ยงข่าวการเมืองที่จะขึ้นเป็นประเด็นใหญ่ ปก ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ ก็หันไปเล่นเรื่องโค้ชเชบ้าง เรื่องเจนี่บ้าง ขนาดเราเลี่ยงแล้วแต่เมื่อบางท่านมีความรู้สึกที่เซนซิทีฟต่อเครือ ASTV เนี่ย เลี่ยงอย่างไรก็คงไม่พ้น เราเองเป็นสื่อที่โดนอัดมาตั้งแต่ต้น ASTV ถูกปิดมา 70 กว่าวัน ก็ยังเปิดไม่ได้ ก็อยากเรียนว่า “อย่ารังแกกันมากเกินไป”

อ่านเพิ่มเติม : ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ยัน ทำหน้าที่ “สื่อ” โดยสุจริต - คำชี้แจงของกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ต่อคณะอนุกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เรื่องร้องเรียนจริยธรรมโดย คสช.


กำลังโหลดความคิดเห็น