นายทหารพระธรรมนูญนำตัว “เสธ.เจมส์-พวก” สอบเพิ่ม พร้อมมอบหลักฐานให้ ตร.กองปราบ แจ้งข้อกรรโชกทรัพย์ เตรียมขยายผลเอาผิด จนท.รัฐ 12 หน่วยที่อ้างตัวเป็น คสช.จัดระเบียบพัฒน์พงศ์ เผยรับผลประโยชน์เหยียบ 7 แสนบาทต่อเดือน ด้าน “ปลัดกลาโหม” งงยังมีคนกล้าเรียกผลประโยชน์ ทั้งที่ คสช.เอาจริง ยันดำเนินการขั้นเด็ดขาดแน่ ผิดจริงเจอโทษหนัก ขณะที่กลุ่มผู้ค้าย่านพัฒน์พงศ์ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้ "พล.ต.เจนณรงค์" พร้อมแฉโพยตำรวจรับส่วย
วานนี้ (31 ก.ค) ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่ พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ได้เชิญตัว พล.ต.เจนรณรงค์ เดชวรรณ หรือ “เสธ.เจมส์” อายุ 55 ปี ผู้ทรงคุณวุฒิประจำสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม น.ส.นงนุช สิทธิรัตน์ อายุ 44 ปี นายปานทอง ศิริวรรณ์ อายุ 40 ปี นางจันทิมา โชติกิตติเกษม อายุ 44 ปี และ น.ส.สุรัตน์ พุ่มพวง อายุ 46 ปี รวม 5 คน มาส่งมอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป.สอบปากคำ หลังจากทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการย่านพัฒน์พงศ์ เขตบางรัก โดยภายหลังทางทหารได้ควบคุมตัว พล.ต.เจนรณรงค์ ไปกักตัวในเขตทหารแล้วนั้น ในส่วนของพลเรือนทั้ง 4 คน ยังคงถูกกักตัวที่ห้องขัง บก.ป.โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก
ต่อมาทางพ.ท.บุรินทร์ ได้พาเจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีกับ พล.ต.เจนรณรงค์ กับพวก โดยนำหลักฐานประกอบด้วย เงินสด 27,000 บาท สำเนาธนบัตรที่กลุ่มผู้ค้าได้จ่ายเงินค่าคุ้มครอง โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง สมุดบัญชีที่มีการจดรายชื่อแผงค้าและยอดเงิน และหน่วยความจำหรือฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดของ โรงแรมตะวันนา ถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
** เบ่งไถแม่ค้าเหยียบ 7 แสนต่อเดือน
โดย พ.ท.บุรินทร์ กล่าวว่า พฤติการณ์ของ พล.ต.เจนรณรงค์และพวก ที่เรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองจากพ่อค้าแม่ค้าที่ถนนพัฒน์พงศ์นั้น พบรายละเอียดว่ามีการจ่ายให้กันแยกเป็นขนาดของแผงค้า เช่น แผงร้านขายนาฬิกา ความกว้าง 2 เมตร เก็บเงิน 10,000 บาท ร้านขายกระเป๋า เครื่องหนัง เก็บร้านละ 5,000 บาท ส่วนร้านขายของเบ็ดเตล็ด ร้านละ 2,000 บาท โดยร้านทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 200 ร้านค้า รวมยอดเงินประมาณ 7 แสนบาทต่อเดือน ภายหลังจากรับเรื่องร้องเรียนแล้วตนจึงนำข้อมูลไปปรึกษากับผู้บังคับบัญชา ก่อนจะส่งเจ้าหน้าที่แฝงตัวเข้าไปสืบสวนและดำเนินการ
พ.ท.บุรินทร์ กล่าวต่อว่า มีการเฝ้าตรวจสอบข้อเท็จจริงระยะหนึ่งก็พบว่า มีการเรียกรับเงินในส่วนดังกล่าวจริง และมีใครเกี่ยวข้องเป็นคนเรียกเก็บเงินก่อนไปส่งให้กับใคร กระทั่งพบข้อมูลว่า มีทหารยศนายพล เข้ามาเกี่ยวพันด้วย แต่ทางเจ้าหน้าที่ทหารที่แฝงตัวเข้าไปนั้นยังไม่มั่นใจในข้อมูลและหลักฐานต่างๆ จึงมีการประสานผู้บังคับบัญชาตลอดเวลา ก่อนจะมีการวางแผนจับกุม โดยที่แม่ค้าซึ่งเป็นคนจ่ายเงินให้ความร่วมมือจ่ายเงินจำนวน 2,000 บาทที่มีการถ่ายสำเนาและไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นพลเรือนทั้ง 4 คน จะคอยเดินเก็บเงิน มีพฤติกรรมคือผู้หญิงเป็นคนเก็บ ส่วนผู้ชายจะคอยยืนบัง แล้วจดใส่สมุดบัญชีว่าผู้ค้ารายใดจ่ายเงินแล้วบ้าง
“มีการเก็บเงินมาได้แล้ว 20,000 กว่าบาท จากนั้นก็เอาไปส่งให้ พล.ต.คนนี้ ที่กำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมตะวันนา เจ้าหน้าที่ซึ่งเฝ้าตามมาอยู่แล้วจึงเข้าควบคุมตัวและยึดของกลางทั้งหมด ก่อนจะเข้าไปพบกับ พล.ต.คนดังกล่าว ระหว่างนั้นจึงได้แจ้งทางตำรวจสน.บางรัก เจ้าของท้องที่มาดำเนินการ เพราะฉะนั้นหลักฐานส่วนนี้ก็มีอยู่ รวมทั้งแม่ค้าที่จ่ายเงินก็พร้อมเป็นพยานด้วย” พ.ท.บุรินทร์ กล่าว
** ปูดอ้าง คสช.จัดระเบียบพัฒน์พงศ์
พ.ท.บุรินทร์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบหลักฐานที่พบยังมีการระบุว่าเงินที่ได้มานั้นมีการนำไปจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่อีกหลายหน่วยงานรวมทั้งหมด 12 หน่วย เป็นยอดที่เขาอ้างว่ามีการส่งให้ นอกจากนี้แม่ค้าที่เป็นพยานยังเปิดเผยด้วยว่าจำเป็นต้องจ่ายเงิน ถ้าไม่จ่ายก็ขายของไม่ได้ หรือไม่ก็จะโดนจับ หรือถูกกลั่นแกล้ง แล้วยังพบหลักฐานอีกส่วนคือการออกสติ๊กเกอร์ในนาม“ศูนย์ประสานงานราชการจัดระเบียบถนนพัฒน์พงศ์” นำไปแจกจ่ายกับกลุ่มผู้ค้า เหมือนเป็นการอ้าง คสช.จัดระเบียบต่างๆเลย
“หลังจากได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้วยังน่าจะขยายผลได้ถึงเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่มีการรับส่วยจากส่วนนี้ ระบุได้ว่ามีใครบ้างครบทั้งวงจร เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ แม้จะพ้นจากมาเฟียกลุ่มเดิมแต่กับเจ้าหน้าที่เขาก็ยังต้องส่ง”
** ตร.ไล่สอบ-ใครมีเอี่ยวโดนหมด
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รอง ผบก.ป.) เปิดเผยว่า หลังจากมีการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว ทางพนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาดำเนินการโดยเรียกพยานมาสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นทางเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ทางกลุ่มผู้ค้าที่จ่ายเงินค่าคุ้มครอง ส่วนการกระทำดังกล่าวนั้น ในเบื้องต้นน่าจะเข้าข่ายความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ แต่จะมีการพิจารณาตามข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นก็จะพิจารณาต่อไปว่ามีใครกระทำความผิด และกระทำผิดฐานใดบ้าง โดยหากเชื่อมโยงถึงใครก็ดำเนินคดีทุกรายเนื่องจากเป็นกรณีที่ประชาชนให้ความสนใจ ผู้บังคับบัญชาก็ให้ความสำคัญ ยืนยันว่าทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวอีกว่า คดีนี้เป็นที่เฝ้าจับตา พนักงานสอบสวนจะดำเนินการอย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด และจะเร่งสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ให้เร็วที่สุดและในส่วนของทหารที่กระทำความผิดต่อพลเรือน เป็นคดีอาญา ก็จะต้องขึ้นศาลพลเรือน รวมทั้งฐานความผิดก็ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะไปดำเนินคดีในศาลทหาร แต่เนื่องจากคดีนี้มีพยานบุคคลเป็นจำนวนมาก ตนจะเสนอผู้บังคับบัญชา เพื่อตั้งเป็นรูปคณะพนักงานสอบสวน บก.ป.ในการดำเนินคดี
** หลักฐานแน่น-เอาผิดได้ชัวร์
ผู้สื่อข่าวถามว่า พยานหลักฐานต่างๆมีเพียงพอหรือไม่ รอง ผบก.ป.กล่าวว่า สำหรับหลักฐานต่างๆ ที่ได้รับมานั้นคงต้องตรวจสอบก่อนว่ามีอะไรบ้างแต่ก็เชื่อว่าน่าจะเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้
เมื่อถามว่ากลุ่มผู้ต้องหาได้กระทำการมานานเพียงใด พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า น่าจะกระทำกันมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ส่วนจะมีผู้ใดเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ คงต้องขอเวลาในการสอบสวนก่อน เพราะต้องถือว่ากระบวนการต่างๆ ในการพิจารณาดำเนินคดีเพิ่งจะเริ่มต้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.ต.รายนี้ ระบุว่าได้เข้าไปดำเนินการเพื่อล้างมาเฟียเดิมนั้นฟังขึ้นหรือไม่ พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า คงเป็นเพียงข้ออ้างของผู้ถูกกล่าวหา ก็แล้วแต่เขาจะให้การ ซึ่งจริงแล้วมันขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาว่าเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ ต้องดูที่เจตนาด้วย อย่างที่เรียนไว้ว่าเราจะให้ความเป็นธรรมอย่างแน่นอน แต่เบื้องต้นพยานหลักฐานที่มีก็ค่อนข้างแน่นหนาพอสมควร มีทั้งเงินที่ยึดมาและได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว
** “เสธ.เจมส์” อ้างช่วยเคลียร์มาเฟียเก่า
พล.ต.เจนณรงค์ เปิดเผยภายหลังสอบปากคำเสร็จสิ้นว่า สืบเนื่องจากตนได้รับร้องเรียนจากผู้ค้าย่านพัฒน์พงศ์ว่า ถูกกลุ่มมาเฟียชุดเก่าเข้ามากดขี่ข่มเหง ตนจึงเข้ามาจัดการกับปัญหา โดยจัดระเบียบให้แก่ผู้ค้าในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้กลุ่มมาเฟียดังกล่าวเสียผลประโยชน์จึงกลั่นแกล้งทำเรื่องร้องเรียนไปยัง คสช.เพื่อดำเนินการกับตน กรณีนี้ตนสามารถชี้แจงได้ และเชื่อมั่นว่าผู้บังคับบัญชาจะรับฟังข้อเท็จจริงของปัญหา
พล.ต.เจนณรงค์กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ตนคงจะต้องนำเรียนต่อ ผบ.ทบ.ต่อไปด้วย อยากจะฝากกับสื่อมวลชนเพื่อเป็นช่องทางที่จะได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อผู้บังคับบัญชาว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของมาเฟียในพื้นที่เดิม เช่นเดียวกับปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
** ปลัด กห.ฮึ่มผิดจริงเจอโทษหนัก
ทางด้าน พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี พล.ต.เจนณรงค์ว่า เบื้องต้นได้มอบหมายให้นายทหารพระธรรมนูญของกระทรวงกลาโหมร่วมฟังการสอบสวน หากมีการกระทำความผิดก็ว่าไปตามกฎหมายและให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ดำเนินการตามกฎอัยการศึก
“ขอเตือนกำลังพลสังกัดกระทรวงกลาโหมทุกคนว่า อย่าไปยุ่งเกี่ยวหรือเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย เพราะ คสช.จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด โดยเฉพาะการปราบปรามกลุ่มมาเฟียและผู้มีอิทธิพล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมรู้สึกแปลกใจเพราะไม่น่าเชื่อว่าจะมีทหารกล้ากระทำการในลักษณะดังกล่าว ทั้งที่ คสช.ดำเนินการอย่างจริงจังกับเรื่องนี้ ซึ่งหากผิดจริงก็คงรับโทษหนัก เพราะเป็นทหารและอยู่ในช่วงประกาศกฎอัยการศึก" พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าว
** ผู้ค้ายื่น “บิ๊กตู่” ยัน “เสธ.เจมส์” คนดี
วันเดียวกัน กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาดพัฒน์พงศ์กว่า 20 คนได้เข้ายื่นหนังสือที่ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. กรณีมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้าเก็บค่าคุ้มครองจากพ่อค้า และขอความเป็นธรรมให้ พล.ต.เจนณรงศ์ ซึ่งถูกจับกุมในข้อหาเรียกเก็บค่าคุ้มครอง โดยกลุ่มพ่อค้าและแม่ค้าระบุว่า มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้าเก็บค่าคุ้มครอง กว่า 20 ปี จึงรวมตัวกันไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้แก้ไขปัญหาดังกล่าว และได้ขอให้ พล.ต.เจนณรงศ์ เข้ามาจัดการกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ทั้งนี้ พล.ต.เจนณรงค์ได้เข้าช่วยเหลือจัดระเบียบให้กลุ่มพ่อค้า แม่ค้ามากว่า 2 เดือนแล้ว แต่ก็ยังถูกผู้มีอิทธิพลกลั่นแกล้งโดยแจ้งไปยัง คสช.ให้เข้าไปสอบสวน พล.ต.เจนณรงค์ ฐานพัวพันกับการเรียกรับผลประโยชน์ โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำให้ พล.ต.เจนณรงค์ถูกจับกุม ทั้งที่พยายามเข้ามาช่วยเหลือ จึงมาขอความเป็นธรรมให้ พล.ต.เจนณรงค์ และคณะ ที่ถูกจับได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง
"เสธ.เจมส์ เป็นคนเข้าช่วยเหลือและจัดระเบียบในตลาด ถ้าผมเป็นคนเสียผลประโยชน์ถูกเก็บค่าคุ้มครองจาก เสธ.เจมส์จริง จะรวมตัวมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขาทำไม ที่ผ่านมามีทั้ง สคบ. เจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานรัฐหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ต้องเสียค่าส่วยเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น แรงงานต่างด้าวเดิมเคยเก็บที่ 2,000 บาท แต่ตอนนี้เก็บเรา 4,000 บาท เมื่อเสธ.เจมส์เข้ามาจัดระเบียบ เราก็ไม่ต้องเสียค่าส่วย เรายินยอมที่จะจ่ายให้ผู้มีอิทธิพล แต่ก็ขอให้อยู่ได้ ทุกวันนี้ต้องจ่ายค่าส่วยก่อนที่จะจ่ายค่าแผงเสียอีก" ตัวแทนกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายหนึ่งกล่าว
** เปิดโพยจ่ายส่วย-ชื่อตร.อื้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเนื้อหาในหนังสือที่กลุ่มผู้ค้ายื่นถึง พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า หลังจากที่ได้มีการจัดระเบียบ และทหารได้ออกไปมีเหตุการณ์ ดังนี้ แม่ค้ารวมตัวกัน เพื่อเก็บเงินมาจ่ายให้ตำรวจ ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจ่ายเงิน จำนวน 400,000+30,000 บาท ให้กับ นายตำรวจ รวมถึง รองตั๊ก หมวดโต หมวดเปี๊ยก หมวดวิทย์ หมวดอำนวย หมวดถนอม หมวดอนันต์ หมวดมงคล หมวดไกรศรี
ขณะที่ กลุ่มที่ 2. จ่าย ให้ สารวัตรโรจน์ 12,000 บาท 3.เปิ้ล เฉพาะกิจ 30,000 บาท 4.ผกก.แบงค์ซึ่งประกอบด้วย สารวัตรหนุ่ม 150,000 บาท รองโต๊ด 30,000 บาท 5. หมวดหวิน 20,000 บาท 6.หมวดถนอม เฉพาะกิจ 20,000 บาท 7. สว.หมอ 20,000 บาท และ กลุ่ม 8 กองปราบ 20,000 บาท
หนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า นอกจากนั้นยังมีการเรียกเก็บค่าต่างด้าว ซึ่งทุกหน่วยเรียกเก็บผลประโยชน์ โดยมีการจับกุม ทำให้เกิดความวุ่นวาย และมีการตบทรัพย์จากแรงงานต่างด้าวปัจจุบันมีการระดมจับ เพื่อเพิ่มยอดจ่ายและเพื่อให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลมาเก็บตามเดิม โดยหน่วยนอกร่วมกับพื้นที่ตามรายการจับกุมที่แนบมา เพราะตัวแทนพ่อค้าแม่ค้าที่ได้เลือกกันมาตามแบบประเมินที่ระบุชื่อผู้เก็บจัดเก็ดน้อยกว่ากลุ่มเก่าเรียกเก็บจากพ่อค้าแม่ค้ามากเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อนจนอยู่ไม่ได้ ทำให้ตลาดพัฒน์พงศ์ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่มีชื่อเสียงสามารถถึงดูดลูกค้าชาวต่างชาติเป็นอับดับ 1 ของประเทศเกิดความเสียหาย แผงขายของว่างเป็นจำนวนมากและตลาดเสื่อมโทรมจนไม่น่าเที่ยว
วานนี้ (31 ก.ค) ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่ พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ได้เชิญตัว พล.ต.เจนรณรงค์ เดชวรรณ หรือ “เสธ.เจมส์” อายุ 55 ปี ผู้ทรงคุณวุฒิประจำสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม น.ส.นงนุช สิทธิรัตน์ อายุ 44 ปี นายปานทอง ศิริวรรณ์ อายุ 40 ปี นางจันทิมา โชติกิตติเกษม อายุ 44 ปี และ น.ส.สุรัตน์ พุ่มพวง อายุ 46 ปี รวม 5 คน มาส่งมอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป.สอบปากคำ หลังจากทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการย่านพัฒน์พงศ์ เขตบางรัก โดยภายหลังทางทหารได้ควบคุมตัว พล.ต.เจนรณรงค์ ไปกักตัวในเขตทหารแล้วนั้น ในส่วนของพลเรือนทั้ง 4 คน ยังคงถูกกักตัวที่ห้องขัง บก.ป.โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก
ต่อมาทางพ.ท.บุรินทร์ ได้พาเจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีกับ พล.ต.เจนรณรงค์ กับพวก โดยนำหลักฐานประกอบด้วย เงินสด 27,000 บาท สำเนาธนบัตรที่กลุ่มผู้ค้าได้จ่ายเงินค่าคุ้มครอง โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง สมุดบัญชีที่มีการจดรายชื่อแผงค้าและยอดเงิน และหน่วยความจำหรือฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดของ โรงแรมตะวันนา ถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
** เบ่งไถแม่ค้าเหยียบ 7 แสนต่อเดือน
โดย พ.ท.บุรินทร์ กล่าวว่า พฤติการณ์ของ พล.ต.เจนรณรงค์และพวก ที่เรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองจากพ่อค้าแม่ค้าที่ถนนพัฒน์พงศ์นั้น พบรายละเอียดว่ามีการจ่ายให้กันแยกเป็นขนาดของแผงค้า เช่น แผงร้านขายนาฬิกา ความกว้าง 2 เมตร เก็บเงิน 10,000 บาท ร้านขายกระเป๋า เครื่องหนัง เก็บร้านละ 5,000 บาท ส่วนร้านขายของเบ็ดเตล็ด ร้านละ 2,000 บาท โดยร้านทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 200 ร้านค้า รวมยอดเงินประมาณ 7 แสนบาทต่อเดือน ภายหลังจากรับเรื่องร้องเรียนแล้วตนจึงนำข้อมูลไปปรึกษากับผู้บังคับบัญชา ก่อนจะส่งเจ้าหน้าที่แฝงตัวเข้าไปสืบสวนและดำเนินการ
พ.ท.บุรินทร์ กล่าวต่อว่า มีการเฝ้าตรวจสอบข้อเท็จจริงระยะหนึ่งก็พบว่า มีการเรียกรับเงินในส่วนดังกล่าวจริง และมีใครเกี่ยวข้องเป็นคนเรียกเก็บเงินก่อนไปส่งให้กับใคร กระทั่งพบข้อมูลว่า มีทหารยศนายพล เข้ามาเกี่ยวพันด้วย แต่ทางเจ้าหน้าที่ทหารที่แฝงตัวเข้าไปนั้นยังไม่มั่นใจในข้อมูลและหลักฐานต่างๆ จึงมีการประสานผู้บังคับบัญชาตลอดเวลา ก่อนจะมีการวางแผนจับกุม โดยที่แม่ค้าซึ่งเป็นคนจ่ายเงินให้ความร่วมมือจ่ายเงินจำนวน 2,000 บาทที่มีการถ่ายสำเนาและไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นพลเรือนทั้ง 4 คน จะคอยเดินเก็บเงิน มีพฤติกรรมคือผู้หญิงเป็นคนเก็บ ส่วนผู้ชายจะคอยยืนบัง แล้วจดใส่สมุดบัญชีว่าผู้ค้ารายใดจ่ายเงินแล้วบ้าง
“มีการเก็บเงินมาได้แล้ว 20,000 กว่าบาท จากนั้นก็เอาไปส่งให้ พล.ต.คนนี้ ที่กำลังนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมตะวันนา เจ้าหน้าที่ซึ่งเฝ้าตามมาอยู่แล้วจึงเข้าควบคุมตัวและยึดของกลางทั้งหมด ก่อนจะเข้าไปพบกับ พล.ต.คนดังกล่าว ระหว่างนั้นจึงได้แจ้งทางตำรวจสน.บางรัก เจ้าของท้องที่มาดำเนินการ เพราะฉะนั้นหลักฐานส่วนนี้ก็มีอยู่ รวมทั้งแม่ค้าที่จ่ายเงินก็พร้อมเป็นพยานด้วย” พ.ท.บุรินทร์ กล่าว
** ปูดอ้าง คสช.จัดระเบียบพัฒน์พงศ์
พ.ท.บุรินทร์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบหลักฐานที่พบยังมีการระบุว่าเงินที่ได้มานั้นมีการนำไปจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่อีกหลายหน่วยงานรวมทั้งหมด 12 หน่วย เป็นยอดที่เขาอ้างว่ามีการส่งให้ นอกจากนี้แม่ค้าที่เป็นพยานยังเปิดเผยด้วยว่าจำเป็นต้องจ่ายเงิน ถ้าไม่จ่ายก็ขายของไม่ได้ หรือไม่ก็จะโดนจับ หรือถูกกลั่นแกล้ง แล้วยังพบหลักฐานอีกส่วนคือการออกสติ๊กเกอร์ในนาม“ศูนย์ประสานงานราชการจัดระเบียบถนนพัฒน์พงศ์” นำไปแจกจ่ายกับกลุ่มผู้ค้า เหมือนเป็นการอ้าง คสช.จัดระเบียบต่างๆเลย
“หลังจากได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้วยังน่าจะขยายผลได้ถึงเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่มีการรับส่วยจากส่วนนี้ ระบุได้ว่ามีใครบ้างครบทั้งวงจร เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ แม้จะพ้นจากมาเฟียกลุ่มเดิมแต่กับเจ้าหน้าที่เขาก็ยังต้องส่ง”
** ตร.ไล่สอบ-ใครมีเอี่ยวโดนหมด
ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รอง ผบก.ป.) เปิดเผยว่า หลังจากมีการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว ทางพนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาดำเนินการโดยเรียกพยานมาสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นทางเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ทางกลุ่มผู้ค้าที่จ่ายเงินค่าคุ้มครอง ส่วนการกระทำดังกล่าวนั้น ในเบื้องต้นน่าจะเข้าข่ายความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ แต่จะมีการพิจารณาตามข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นก็จะพิจารณาต่อไปว่ามีใครกระทำความผิด และกระทำผิดฐานใดบ้าง โดยหากเชื่อมโยงถึงใครก็ดำเนินคดีทุกรายเนื่องจากเป็นกรณีที่ประชาชนให้ความสนใจ ผู้บังคับบัญชาก็ให้ความสำคัญ ยืนยันว่าทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวอีกว่า คดีนี้เป็นที่เฝ้าจับตา พนักงานสอบสวนจะดำเนินการอย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด และจะเร่งสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ให้เร็วที่สุดและในส่วนของทหารที่กระทำความผิดต่อพลเรือน เป็นคดีอาญา ก็จะต้องขึ้นศาลพลเรือน รวมทั้งฐานความผิดก็ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะไปดำเนินคดีในศาลทหาร แต่เนื่องจากคดีนี้มีพยานบุคคลเป็นจำนวนมาก ตนจะเสนอผู้บังคับบัญชา เพื่อตั้งเป็นรูปคณะพนักงานสอบสวน บก.ป.ในการดำเนินคดี
** หลักฐานแน่น-เอาผิดได้ชัวร์
ผู้สื่อข่าวถามว่า พยานหลักฐานต่างๆมีเพียงพอหรือไม่ รอง ผบก.ป.กล่าวว่า สำหรับหลักฐานต่างๆ ที่ได้รับมานั้นคงต้องตรวจสอบก่อนว่ามีอะไรบ้างแต่ก็เชื่อว่าน่าจะเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้
เมื่อถามว่ากลุ่มผู้ต้องหาได้กระทำการมานานเพียงใด พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า น่าจะกระทำกันมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ส่วนจะมีผู้ใดเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ คงต้องขอเวลาในการสอบสวนก่อน เพราะต้องถือว่ากระบวนการต่างๆ ในการพิจารณาดำเนินคดีเพิ่งจะเริ่มต้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.ต.รายนี้ ระบุว่าได้เข้าไปดำเนินการเพื่อล้างมาเฟียเดิมนั้นฟังขึ้นหรือไม่ พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า คงเป็นเพียงข้ออ้างของผู้ถูกกล่าวหา ก็แล้วแต่เขาจะให้การ ซึ่งจริงแล้วมันขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาว่าเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ ต้องดูที่เจตนาด้วย อย่างที่เรียนไว้ว่าเราจะให้ความเป็นธรรมอย่างแน่นอน แต่เบื้องต้นพยานหลักฐานที่มีก็ค่อนข้างแน่นหนาพอสมควร มีทั้งเงินที่ยึดมาและได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว
** “เสธ.เจมส์” อ้างช่วยเคลียร์มาเฟียเก่า
พล.ต.เจนณรงค์ เปิดเผยภายหลังสอบปากคำเสร็จสิ้นว่า สืบเนื่องจากตนได้รับร้องเรียนจากผู้ค้าย่านพัฒน์พงศ์ว่า ถูกกลุ่มมาเฟียชุดเก่าเข้ามากดขี่ข่มเหง ตนจึงเข้ามาจัดการกับปัญหา โดยจัดระเบียบให้แก่ผู้ค้าในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้กลุ่มมาเฟียดังกล่าวเสียผลประโยชน์จึงกลั่นแกล้งทำเรื่องร้องเรียนไปยัง คสช.เพื่อดำเนินการกับตน กรณีนี้ตนสามารถชี้แจงได้ และเชื่อมั่นว่าผู้บังคับบัญชาจะรับฟังข้อเท็จจริงของปัญหา
พล.ต.เจนณรงค์กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ตนคงจะต้องนำเรียนต่อ ผบ.ทบ.ต่อไปด้วย อยากจะฝากกับสื่อมวลชนเพื่อเป็นช่องทางที่จะได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อผู้บังคับบัญชาว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของมาเฟียในพื้นที่เดิม เช่นเดียวกับปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
** ปลัด กห.ฮึ่มผิดจริงเจอโทษหนัก
ทางด้าน พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี พล.ต.เจนณรงค์ว่า เบื้องต้นได้มอบหมายให้นายทหารพระธรรมนูญของกระทรวงกลาโหมร่วมฟังการสอบสวน หากมีการกระทำความผิดก็ว่าไปตามกฎหมายและให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ดำเนินการตามกฎอัยการศึก
“ขอเตือนกำลังพลสังกัดกระทรวงกลาโหมทุกคนว่า อย่าไปยุ่งเกี่ยวหรือเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย เพราะ คสช.จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด โดยเฉพาะการปราบปรามกลุ่มมาเฟียและผู้มีอิทธิพล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมรู้สึกแปลกใจเพราะไม่น่าเชื่อว่าจะมีทหารกล้ากระทำการในลักษณะดังกล่าว ทั้งที่ คสช.ดำเนินการอย่างจริงจังกับเรื่องนี้ ซึ่งหากผิดจริงก็คงรับโทษหนัก เพราะเป็นทหารและอยู่ในช่วงประกาศกฎอัยการศึก" พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าว
** ผู้ค้ายื่น “บิ๊กตู่” ยัน “เสธ.เจมส์” คนดี
วันเดียวกัน กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาดพัฒน์พงศ์กว่า 20 คนได้เข้ายื่นหนังสือที่ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. กรณีมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้าเก็บค่าคุ้มครองจากพ่อค้า และขอความเป็นธรรมให้ พล.ต.เจนณรงศ์ ซึ่งถูกจับกุมในข้อหาเรียกเก็บค่าคุ้มครอง โดยกลุ่มพ่อค้าและแม่ค้าระบุว่า มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้าเก็บค่าคุ้มครอง กว่า 20 ปี จึงรวมตัวกันไปร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้แก้ไขปัญหาดังกล่าว และได้ขอให้ พล.ต.เจนณรงศ์ เข้ามาจัดการกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ทั้งนี้ พล.ต.เจนณรงค์ได้เข้าช่วยเหลือจัดระเบียบให้กลุ่มพ่อค้า แม่ค้ามากว่า 2 เดือนแล้ว แต่ก็ยังถูกผู้มีอิทธิพลกลั่นแกล้งโดยแจ้งไปยัง คสช.ให้เข้าไปสอบสวน พล.ต.เจนณรงค์ ฐานพัวพันกับการเรียกรับผลประโยชน์ โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำให้ พล.ต.เจนณรงค์ถูกจับกุม ทั้งที่พยายามเข้ามาช่วยเหลือ จึงมาขอความเป็นธรรมให้ พล.ต.เจนณรงค์ และคณะ ที่ถูกจับได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง
"เสธ.เจมส์ เป็นคนเข้าช่วยเหลือและจัดระเบียบในตลาด ถ้าผมเป็นคนเสียผลประโยชน์ถูกเก็บค่าคุ้มครองจาก เสธ.เจมส์จริง จะรวมตัวมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขาทำไม ที่ผ่านมามีทั้ง สคบ. เจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยงานรัฐหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ต้องเสียค่าส่วยเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น แรงงานต่างด้าวเดิมเคยเก็บที่ 2,000 บาท แต่ตอนนี้เก็บเรา 4,000 บาท เมื่อเสธ.เจมส์เข้ามาจัดระเบียบ เราก็ไม่ต้องเสียค่าส่วย เรายินยอมที่จะจ่ายให้ผู้มีอิทธิพล แต่ก็ขอให้อยู่ได้ ทุกวันนี้ต้องจ่ายค่าส่วยก่อนที่จะจ่ายค่าแผงเสียอีก" ตัวแทนกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายหนึ่งกล่าว
** เปิดโพยจ่ายส่วย-ชื่อตร.อื้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเนื้อหาในหนังสือที่กลุ่มผู้ค้ายื่นถึง พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า หลังจากที่ได้มีการจัดระเบียบ และทหารได้ออกไปมีเหตุการณ์ ดังนี้ แม่ค้ารวมตัวกัน เพื่อเก็บเงินมาจ่ายให้ตำรวจ ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจ่ายเงิน จำนวน 400,000+30,000 บาท ให้กับ นายตำรวจ รวมถึง รองตั๊ก หมวดโต หมวดเปี๊ยก หมวดวิทย์ หมวดอำนวย หมวดถนอม หมวดอนันต์ หมวดมงคล หมวดไกรศรี
ขณะที่ กลุ่มที่ 2. จ่าย ให้ สารวัตรโรจน์ 12,000 บาท 3.เปิ้ล เฉพาะกิจ 30,000 บาท 4.ผกก.แบงค์ซึ่งประกอบด้วย สารวัตรหนุ่ม 150,000 บาท รองโต๊ด 30,000 บาท 5. หมวดหวิน 20,000 บาท 6.หมวดถนอม เฉพาะกิจ 20,000 บาท 7. สว.หมอ 20,000 บาท และ กลุ่ม 8 กองปราบ 20,000 บาท
หนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า นอกจากนั้นยังมีการเรียกเก็บค่าต่างด้าว ซึ่งทุกหน่วยเรียกเก็บผลประโยชน์ โดยมีการจับกุม ทำให้เกิดความวุ่นวาย และมีการตบทรัพย์จากแรงงานต่างด้าวปัจจุบันมีการระดมจับ เพื่อเพิ่มยอดจ่ายและเพื่อให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลมาเก็บตามเดิม โดยหน่วยนอกร่วมกับพื้นที่ตามรายการจับกุมที่แนบมา เพราะตัวแทนพ่อค้าแม่ค้าที่ได้เลือกกันมาตามแบบประเมินที่ระบุชื่อผู้เก็บจัดเก็ดน้อยกว่ากลุ่มเก่าเรียกเก็บจากพ่อค้าแม่ค้ามากเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อนจนอยู่ไม่ได้ ทำให้ตลาดพัฒน์พงศ์ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่มีชื่อเสียงสามารถถึงดูดลูกค้าชาวต่างชาติเป็นอับดับ 1 ของประเทศเกิดความเสียหาย แผงขายของว่างเป็นจำนวนมากและตลาดเสื่อมโทรมจนไม่น่าเที่ยว