"สุเทพ"จวกสันดาน"แดง"ข่มขู่ประชาชน ลั่นหมดเวลาเจรจา เหลือเพียงเดินหน้าปฏิรูปอย่างเดียว ดีเดย์เดินรณรงค์เชิญชวนประชานวันนี้และจะทำทุกวันจนถึงวันชุมนุมใหญ่ 29 มี.ค. พร้อมวางมาตรการรักษาความปลอดภัย หลังมีกระแสข่าวการซ่องสุมชายชุดดำจ้องป่วน "องอาจ" ชี้ 4 สัญญาณความรุนแรง จี้"ยิ่งลักษณ์"เร่งระงับ หวั่นคาร์บอมบ์ลาม ด้าน ผบ.ตร. กำชับทุกโรงพักเข้ม ดูแลความปลอดภัยบุคคล สถานที่ ที่อาจตกเป็นเป้าหมาย โดยเฉพาะที่ทำการศาลรธน. และบ้านพักตุลาการฯ ป.ป.ช. และองค์กรอิสระอื่นๆ
เมื่อเวลา 20.30 น. วานนี้ (23 มี.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยที่เวทีสวนลุมพินี ถึงกรณีที่รัฐบาล และแกนนำกลุ่มนปช.พยายาม กล่าวให้ร้ายองค์กรอิสระ และมวลชน กปปส. รวมหัวกันโค่นล้มรัฐบาล จึงประกาศไม่ยอมรับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตัดสินให้เลือกตั้ง 2 ก.พ.57 เป็นโมฆะ ว่า คนเหล่านี้ไม่เคารพกฎหมาย กติกา พูดเอาแต่ได้ ทั้งที่ตัวเองทำผิด พยายามดึงดันที่จะเลือกตั้ง เพื่อรักษาอำนาจให้พวกเผด็จการระบอบทักษิณ โดยเอาประชาธิปไตยมาบังหน้า แต่ประชาชนรู้ทันหมดแล้ว
นายสุเทพ กล่าวถึง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ประกาศจะปฏิรูปองค์กรอิสระทุกองค์กรให้ยึดโยงกับประชาชนว่า ในช่วงที่รัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภา และคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา ก็เคยประกาศจะแก้รธน. ให้บุคลากรของศาลสถิตย์ยุติธรรมต้องยึดโยงกับประชาชน จะให้การแต่งตั้ง ประธานศาลฎีกา และบุคลากรระดับสูงของกระบวนการยุติธรรม ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะทำลายระบบการถ่วงดุลของ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ประเทศชาติ ก็ตกอยู่ในกำมือของพวกเผด็จการระบอบทักษิณ ที่จะปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรก็ได้
ส่วนที่ นายจตุพร กล่าวถึงกรณีป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายนิคม ไวยรัชพานิช รักษาการประธานวุฒิสภา เพื่อให้รองประธานวุฒิสภา มาทำหน้าที่แทน เพื่อนำไปสู่การตั้งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 7 หรือถ้ามีการปฏิวัติ คนเสื้อแดงจะออกมาต่อต้านทันทีนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ถือเป็นการข่มขู่ประชาชนทั้งประเทศว่า เขาจะต้องได้อย่างที่ต้องการเท่านั้น ถ้าไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็จะใช้ความรุนแรงกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถือเป็นสันดานของคนกลุ่มนี้ ที่จะใช้ความรุนแรงกับประชาชน จะสร้างสงครามกลางเมืองให้ได้ จึงเห็นได้ชัดเจนว่า คนพวกนี้ไม่ได้ทำเพื่อชาติ เพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อนักโทษหนีคดีที่อยู่ดูไบ เท่านั้น
นายสุเทพ กล่าวถึงพวกโลกสวย ที่พยายามเรียกร้องให้มีการเจรจา หยุดการชุมนุม ว่า ต่อไปนี้จะไม่มีการเจรจากับพวกเนรคุณแผ่นดิน แต่จะเดินหน้าปฏิรูป ให้เป็นผลสำเร็จ และวันเสาร์ ที่ 29 มี.ค.นี้ เวลา 09.30 น. ขอให้ออกมาร่วมต่อสู้เพื่อการปฏิรูปด้วยกัน แต่ใครที่มาไม่ได้ ไม่เป็นไร ขอให้ติดธงชาติที่บ้าน ที่รถ เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ว่าเราไม่เอาระบอบทักษิณ คนต่างจังหวัดถ้ามาไม่ได้ ก็จัดชุมนุมอยู่ในจังหวัดของตัวเอง เพื่อแสดงพลังว่าต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศ
นายสุเทพกล่าวด้วยว่า จากวันนี้เป็นต้นไป เวลา 09.30 น. จะออกเดินทุกวัน 5 วันติดต่อกัน เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมกับเราและขอให้พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ช่วยดูแลความปลอดภัยให้ด้วย
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวว่า การที่ศาลชี้ เลือกตั้ง 2 ก.พ. โมฆะ เป็นโอกาสดีที่กปปส. จะเดินหน้ารณรงค์ให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และมี 3 ทางเลือก ให้ประชาชนแสดงท่าที คือ อยู่เฉยๆ ออกมาต่อสู้กับมวลชนกปปส. หรือต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจของระบอบทักษิณ ที่ขณะนี้มีสัญญาณความรุนแรงขยายวงกว้างมากขึ้น เจ้าหน้าที่รัฐถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อต้านผู้ที่ออกมาคัดค้านระบอบทักษิณ และมีรายงานว่ามีความพยายามซ่องสุมกำลัง โดยเฉพาะชายชุดดำใน กทม. โดยอาศัยห้องพักอพาร์ทเม้นกว่า 40 จุด ใช้เงินจากธุรกิจมืด ให้ไปข่มขู่คุกคามคนที่ออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ ขณะเดียวกัน ยังมีการปฏิเสธทุกเงื่อนไข โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งโมฆะ และยังปฏิเสธการเจรจาทุกขั้นตอน ซึ่งเป็นการพยายามรักษาผลประโยชน์ให้ระบอบทักษิณ
นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ (24 มี.ค.) จะเดินรณรงค์ให้ประชาชนออกมาร่วมเคลื่อนไหวใหญ่กับ กปปส. วันที่ 29 มี.ค. โดยวันนี้จะเริ่มเดินตอนเวลา 10.00 น. จากลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 รวมเส้นทาง 5 กม. ออกจาก สวนลุมพินีถนนพระรามสี่ มุ่งหน้าหัวลำโพง เลี้ยวซ้ายถนนสุรวงศ์ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนน มเหศักดิ์ ก่อนเลี้ยวซ้ายกลับเข้าสวนลุมพินี โดยจะใช้การ์ด กปปส. ประมาณกว่า 1 พันคน แบ่งหนัาที่ลาดตระเวนพื้นที่ก่อน ระหว่าง และหลังการเดินขบวน พร้อมยืนยันจะรักษาความปลอดภัยมวลชนที่ร่วมขบวนอย่างเต็มที่ จึงขอให้มั่นใจว่าได้วางมาตรการเข้มงวดแล้ว
นายถาวร เสนเนียม แกนนำกลุ่ม กปปส. กล่าวถึงการเคลื่อนไหวหลังจากนี้ว่า ต้องรอดูสถานการณ์การตัดสินคดีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมทั้งการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการผลักดันให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ก่อนปฏิรูปประเทศที่ผิดไปจากแนวทาง และข้อเรียกร้องของกปปส. ซึ่งต้องขอความเห็นมวลมหาประชาชนว่า ยังคิดเหมือนเราหรือไม่ ในการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง หากเห็นด้วย ก็ออกมาร่วมกับเราเหมือนก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. เป็นโมฆะนั้น ก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเราด้วย เพราะ กกต. จะประชุมกับรัฐบาลว่า จะเลือกตั้งได้เมื่อไร และยังมีความพยายามจะเลือกตั้งในกฎ กติกา เดิม หายนะจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้แกนนำ กปปส. ก็จะประเมินสถานการณ์จากปัจจัยต่างๆ ส่วนรูปแบบจะเป็นการปิดถนน หรือแยกต่างๆ หรือไม่นั้น เห็นว่า หากจับประชาชนเป็นตัวประกันให้เดือดร้อน เพื่อให้รัฐบาลเห็นอกเห็นใจประชาชน คงป็นไปไม่ได้ แต่การเชิญชวนข้าราชการเป็นแนวทางที่ดีสุด แต่ก็ต้องอยู่กับที่ประชุมแกนนำ กปปปส. ด้วย ส่วนการชุมนุมจะยืดยาวไปถึงวันสงกรานต์ หรือไม่นั้น ตอบไม่ได้ แต่ภารกิจของเราจะสู้จนกว่าจะชนะ วันเวลาไม่ใช่เรื่องใหญ่
"องอาจ"ชี้ 4 สัญญาณความรุนแรง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่พัฒนาไปถึงขั้นการใช้คาร์บอมบ์ บริเวณสถานที่ชุมนุมแจ้งวัฒนะ ว่า เป็นการพัฒนาจากอาวุธเบาไปสู่อาวุธหนัก อาวุธสงคราม กระทั่งถึงคาร์บอมบ์ โดยความรุนแรงล้วนแต่มุ่งประสงค์ต่อผู้ที่ดำเนินการให้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของกลุ่มกปปส., คปท. และกลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการกระทำความรุนแรงกับองค์กรศาล และองค์กรอิสระที่กำลังพิจารณาคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะระบุไม่ได้ว่า เกิดจากการกระทำของฝ่ายใด แต่น่าสงสัยว่าเป็นการกระทำต่อฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล หรือองค์กรที่กำลังตรวจสอบนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลเป็นหลัก และผลความรุนแรงไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ชุมนุม และองค์กรอิสระเท่านั้น แต่เกิดความเสียหายกับชาติอย่างประเมินค่าไม่ได้ โดยเฉพาะกรณีคาร์บอมบ์ สร้างความเสียหาย ความหวาดวิตกกับนานาชาติเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ เชื่อว่าความรุนแรงจะพัฒนามากขึ้น ทั้งรูปแบบ และวิธีการ แต่กลับไม่มีความเอาจริงเอาจังจากรัฐบาลในการหาคนผิดมาลงโทษ ดังนั้น จึงขอเรียกร้องว่านายกฯ ไม่ควรปล่อยปละละเลยให้เกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อมีคาร์บอมบ์ ที่แจ้งวัฒนะ อาจจะมีเกิดอีกในหลายจุดบริเวณพื้นที่ กทม. หรือจังหวัดอื่น หากนายกฯ ยังไม่รีบตัดไฟแต่ต้นลมในการดำเนินการกับผู้ใช้ความรุนแรง ก็คิดว่าจะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้นายกฯ ดำเนินการอย่างจริงจังด้วย เพื่อไม่ให้เกิดคาร์บอมบ์อีกในอนาคต
"กรณีที่ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ กำลังพิจารณาหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลว่า ยิ่งมีคดีมากเท่าไหร่ สัญญาณความรุนแรง และการเผชิญหน้าจะมีมากขึ้นตามลำดับ โดยเห็นว่ามี 4 ประการ คือ 1 .ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบและทุกวิธีการในการข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ และป.ป.ช.หนักหน่วงมากขึ้น ทั้งกรณีระเบิดใกล้บ้านนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นตัวอย่างความรุนแรงที่เกิดจากการตรวจสอบรัฐบาล 2 .สร้างความรุนแรงในลักษณะก่อให้เกิดความเกลียดชังในกลุ่มคนสนับสนุนรัฐบาล มีขบวนการดิสเครดิตองค์กรอิสระ และศาล ทั้งจากคนที่เป็นแกนนำในรัฐบาลในลักษณะเปิดเผย แบบบนดินและใต้ดินในโลกโซเชียลมีเดีย ก่อให้เกิดความเกลียดชังควบคู่กับปลุกระดมให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. 3 . มีการประกาศสะสมอาวุธสู้กับทหาร โดยมีการใช้คำพูดที่สะท้อนนัยยะว่า จะใช้ความรุนแรง ยืมเงินธนาคาร บุกปั๊มน้ำมัน ยึดรถประชาชน ที่ติดธงชาติ หลังจากที่องค์กรอิสระตัดสินคดีที่ส่งผลกระทบต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนทำให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และ 4 . การนัดรวมพลครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดง ที่อาจบุกเข้ากทม. ซึ่ง กปปส. ชุมนุมอยู่ที่สวนลุมพินี และจะเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 29 มี.ค. อีกครั้ง ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองมีแนวโน้มมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น" นายองอาจ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาระงับยับยั้ง ไม่ให้มีการส่งสัญญาณที่จะนำไปสู่ความรุนแรงในบ้านเมือง แต่นายกฯและรัฐมนตรีในรัฐบาลรวมทั้งตำรวจซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยกลับไม่มีท่าทีใดๆ ในการส่งสัญญาณว่า พร้อมที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง นอกจากนั้น การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ล้วนแต่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับรัฐบาลหรือ เป็นมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลทั้งสิ้น การที่รัฐบาลปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการใดๆ นั้น ทำให้มองได้ว่า นายกฯ ต้องการให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ใช่หรือไม่ จึงไม่มีการระงับยับยั้ง ดังนั้น หากความรุนแรงเพิ่มขึ้นน.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องรับผิดชอบ ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น และจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกรรมจากการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ในฐานะที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงหวังว่า เมื่อนายกฯเห็นสัญญาณว่าจะรุนแรงมากขึ้น จะเห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมือง โดยเข้ามาดำเนินการเพื่อให้สถานการณ์ความรุนแรงไม่เพิ่มขึ้น
ผบ.ตร.สั่งเข้มดูแลบุคคล-องค์กรอิสระ
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 เป็นโมฆะ ซึ่งอาจส่งผลให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี ฉวยโอกาสก่อเหตุแทรกซ้อน สร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงต่อบุคคล และสถานที่ โดยเฉพาะที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญและบ้านพักตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนพื้นที่ชุมนุมของกลุ่มต่างๆ รวมทั้งสถานที่เชิงสัญลักษณ์นั้น เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยและการรักษาความปลอดภัยบุคคลและสถานที่ที่อาจตกเป็นเป้าหมายในการก่อเหตุแทรกซ้อน หรือสร้างสถานการณ์รุนแรงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้ออกหนังสือสั่งการด่วนที่สุด ลงวันที่ 21 มี.ค. 57 กำชับการปฏิบัติไปยังหน่วยในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ให้ ผบช.น., ภ.1-9 และ ศชต. โดยได้ กำชับให้กวดขันหัวหน้าสถานีตำรวจทุกแห่ง ให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตรารักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญในพื้นที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ, สำนักงาน ป.ป.ช., ศาล และองค์กรอิสระอื่นๆ รวมทั้งบ้านพักตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้พิพากษา อย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันให้หัวหน้าสถานีตำรวจ ต้องมอบหมายผู้รับผิดชอบในการประสานมาตรการรักษาความปลอดภัยกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษา และหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยสถานที่ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อวางระบบรับแจ้งเหตุให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วตลอดเวลา ตั้งจุดตรวจจุดสกัด (ว.43) รอบพื้นที่เสี่ยง เพื่อคัดกรองบุคคล ยานพาหนะ เน้นการตรวจค้นอาวุธปืน อาวุธสงคราม วัตถุระเบิด ประทัดยักษ์ สิ่งเทียมอาวุธ สิ่งผิดกฎหมาย ถ่ายรูปทำประวัติวัยรุ่น กลุ่มเสี่ยงและยานพาหนะต้องสงสัย รวมทั้งจัดสายตรวจ และตั้งจุดตรวจเคลื่อนที่ ในรัศมี 400 เมตร เพื่อป้องกันการใช้อาวุธยิงวิถีโค้ง อย่างเข้มข้นและจริงจัง ให้ตรวจสอบสถานภาพและความพร้อมในการบันทึกภาพของกล้องวงจรปิดบนเส้นทางและสถานที่เป้าหมาย แล้วปรับมุมกล้องให้สามารถบันทึกภาพบุคคล ยานพาหนะ ในเส้นทางได้อย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนจับกุมและให้ ผบช.ส. กำชับผู้รับผิดชอบเพิ่มมาตรการเชิงรุกด้านการข่าว เพื่อติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของบุคคล กลุ่มบุคคล กลุ่มหัวรุนแรง ที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม วัตถุระเบิด ที่อาจสร้างสถานการณ์ก่อเหตุรุนแรงแทรกซ้อน
นอกจากนี้ให้ ผบช.สกบ. และ ตชด. เตรียมชุดตรวจพิสูจน์ เก็บกู้ และทำลายวัตถุระเบิด โดยมอบหมายผู้รับผิดชอบและกำหนดช่องทางการติดต่อประสานงานกับ บก.น. และภ.จว. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ทันที เมื่อได้รับการประสานหรือได้รับคำสั่ง แล้วให้ ผบช.สพฐ.ตร. จัดเตรียมชุดตรวจสถานที่เกิดเหตุ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ และยานพาหนะให้พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติได้ทันที เมื่อได้รับการประสานหรือได้รับคำสั่ง ให้ผบช.สยศ.ตร. ปรับแผนการตั้งจุดตรวจจุดสกัด ว.43 เข้มแข็ง ควบคุมอาวุธ ให้ครอบคลุมสถานที่เป้าหมาย โดยต้องมีความเชื่อมโยงทางยุทธวิธีกับจุด ว.43 และจุด ว.43 เคลื่อนที่ของทุก สน. เพื่อให้สามารถป้องกันก่อนเกิดเหตุ และสกัดกั้นจับกุมผู้กระทำความผิดหลังเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เมื่อเวลา 20.30 น. วานนี้ (23 มี.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยที่เวทีสวนลุมพินี ถึงกรณีที่รัฐบาล และแกนนำกลุ่มนปช.พยายาม กล่าวให้ร้ายองค์กรอิสระ และมวลชน กปปส. รวมหัวกันโค่นล้มรัฐบาล จึงประกาศไม่ยอมรับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตัดสินให้เลือกตั้ง 2 ก.พ.57 เป็นโมฆะ ว่า คนเหล่านี้ไม่เคารพกฎหมาย กติกา พูดเอาแต่ได้ ทั้งที่ตัวเองทำผิด พยายามดึงดันที่จะเลือกตั้ง เพื่อรักษาอำนาจให้พวกเผด็จการระบอบทักษิณ โดยเอาประชาธิปไตยมาบังหน้า แต่ประชาชนรู้ทันหมดแล้ว
นายสุเทพ กล่าวถึง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ประกาศจะปฏิรูปองค์กรอิสระทุกองค์กรให้ยึดโยงกับประชาชนว่า ในช่วงที่รัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภา และคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา ก็เคยประกาศจะแก้รธน. ให้บุคลากรของศาลสถิตย์ยุติธรรมต้องยึดโยงกับประชาชน จะให้การแต่งตั้ง ประธานศาลฎีกา และบุคลากรระดับสูงของกระบวนการยุติธรรม ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะทำลายระบบการถ่วงดุลของ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ประเทศชาติ ก็ตกอยู่ในกำมือของพวกเผด็จการระบอบทักษิณ ที่จะปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรก็ได้
ส่วนที่ นายจตุพร กล่าวถึงกรณีป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายนิคม ไวยรัชพานิช รักษาการประธานวุฒิสภา เพื่อให้รองประธานวุฒิสภา มาทำหน้าที่แทน เพื่อนำไปสู่การตั้งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 7 หรือถ้ามีการปฏิวัติ คนเสื้อแดงจะออกมาต่อต้านทันทีนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ถือเป็นการข่มขู่ประชาชนทั้งประเทศว่า เขาจะต้องได้อย่างที่ต้องการเท่านั้น ถ้าไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็จะใช้ความรุนแรงกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถือเป็นสันดานของคนกลุ่มนี้ ที่จะใช้ความรุนแรงกับประชาชน จะสร้างสงครามกลางเมืองให้ได้ จึงเห็นได้ชัดเจนว่า คนพวกนี้ไม่ได้ทำเพื่อชาติ เพื่อประชาชน แต่ทำเพื่อนักโทษหนีคดีที่อยู่ดูไบ เท่านั้น
นายสุเทพ กล่าวถึงพวกโลกสวย ที่พยายามเรียกร้องให้มีการเจรจา หยุดการชุมนุม ว่า ต่อไปนี้จะไม่มีการเจรจากับพวกเนรคุณแผ่นดิน แต่จะเดินหน้าปฏิรูป ให้เป็นผลสำเร็จ และวันเสาร์ ที่ 29 มี.ค.นี้ เวลา 09.30 น. ขอให้ออกมาร่วมต่อสู้เพื่อการปฏิรูปด้วยกัน แต่ใครที่มาไม่ได้ ไม่เป็นไร ขอให้ติดธงชาติที่บ้าน ที่รถ เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ว่าเราไม่เอาระบอบทักษิณ คนต่างจังหวัดถ้ามาไม่ได้ ก็จัดชุมนุมอยู่ในจังหวัดของตัวเอง เพื่อแสดงพลังว่าต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศ
นายสุเทพกล่าวด้วยว่า จากวันนี้เป็นต้นไป เวลา 09.30 น. จะออกเดินทุกวัน 5 วันติดต่อกัน เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมกับเราและขอให้พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ช่วยดูแลความปลอดภัยให้ด้วย
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวว่า การที่ศาลชี้ เลือกตั้ง 2 ก.พ. โมฆะ เป็นโอกาสดีที่กปปส. จะเดินหน้ารณรงค์ให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และมี 3 ทางเลือก ให้ประชาชนแสดงท่าที คือ อยู่เฉยๆ ออกมาต่อสู้กับมวลชนกปปส. หรือต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจของระบอบทักษิณ ที่ขณะนี้มีสัญญาณความรุนแรงขยายวงกว้างมากขึ้น เจ้าหน้าที่รัฐถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อต้านผู้ที่ออกมาคัดค้านระบอบทักษิณ และมีรายงานว่ามีความพยายามซ่องสุมกำลัง โดยเฉพาะชายชุดดำใน กทม. โดยอาศัยห้องพักอพาร์ทเม้นกว่า 40 จุด ใช้เงินจากธุรกิจมืด ให้ไปข่มขู่คุกคามคนที่ออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ ขณะเดียวกัน ยังมีการปฏิเสธทุกเงื่อนไข โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งโมฆะ และยังปฏิเสธการเจรจาทุกขั้นตอน ซึ่งเป็นการพยายามรักษาผลประโยชน์ให้ระบอบทักษิณ
นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ (24 มี.ค.) จะเดินรณรงค์ให้ประชาชนออกมาร่วมเคลื่อนไหวใหญ่กับ กปปส. วันที่ 29 มี.ค. โดยวันนี้จะเริ่มเดินตอนเวลา 10.00 น. จากลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 รวมเส้นทาง 5 กม. ออกจาก สวนลุมพินีถนนพระรามสี่ มุ่งหน้าหัวลำโพง เลี้ยวซ้ายถนนสุรวงศ์ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนน มเหศักดิ์ ก่อนเลี้ยวซ้ายกลับเข้าสวนลุมพินี โดยจะใช้การ์ด กปปส. ประมาณกว่า 1 พันคน แบ่งหนัาที่ลาดตระเวนพื้นที่ก่อน ระหว่าง และหลังการเดินขบวน พร้อมยืนยันจะรักษาความปลอดภัยมวลชนที่ร่วมขบวนอย่างเต็มที่ จึงขอให้มั่นใจว่าได้วางมาตรการเข้มงวดแล้ว
นายถาวร เสนเนียม แกนนำกลุ่ม กปปส. กล่าวถึงการเคลื่อนไหวหลังจากนี้ว่า ต้องรอดูสถานการณ์การตัดสินคดีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมทั้งการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการผลักดันให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ก่อนปฏิรูปประเทศที่ผิดไปจากแนวทาง และข้อเรียกร้องของกปปส. ซึ่งต้องขอความเห็นมวลมหาประชาชนว่า ยังคิดเหมือนเราหรือไม่ ในการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง หากเห็นด้วย ก็ออกมาร่วมกับเราเหมือนก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้การเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. เป็นโมฆะนั้น ก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเราด้วย เพราะ กกต. จะประชุมกับรัฐบาลว่า จะเลือกตั้งได้เมื่อไร และยังมีความพยายามจะเลือกตั้งในกฎ กติกา เดิม หายนะจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้แกนนำ กปปส. ก็จะประเมินสถานการณ์จากปัจจัยต่างๆ ส่วนรูปแบบจะเป็นการปิดถนน หรือแยกต่างๆ หรือไม่นั้น เห็นว่า หากจับประชาชนเป็นตัวประกันให้เดือดร้อน เพื่อให้รัฐบาลเห็นอกเห็นใจประชาชน คงป็นไปไม่ได้ แต่การเชิญชวนข้าราชการเป็นแนวทางที่ดีสุด แต่ก็ต้องอยู่กับที่ประชุมแกนนำ กปปปส. ด้วย ส่วนการชุมนุมจะยืดยาวไปถึงวันสงกรานต์ หรือไม่นั้น ตอบไม่ได้ แต่ภารกิจของเราจะสู้จนกว่าจะชนะ วันเวลาไม่ใช่เรื่องใหญ่
"องอาจ"ชี้ 4 สัญญาณความรุนแรง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่พัฒนาไปถึงขั้นการใช้คาร์บอมบ์ บริเวณสถานที่ชุมนุมแจ้งวัฒนะ ว่า เป็นการพัฒนาจากอาวุธเบาไปสู่อาวุธหนัก อาวุธสงคราม กระทั่งถึงคาร์บอมบ์ โดยความรุนแรงล้วนแต่มุ่งประสงค์ต่อผู้ที่ดำเนินการให้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของกลุ่มกปปส., คปท. และกลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีการกระทำความรุนแรงกับองค์กรศาล และองค์กรอิสระที่กำลังพิจารณาคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะระบุไม่ได้ว่า เกิดจากการกระทำของฝ่ายใด แต่น่าสงสัยว่าเป็นการกระทำต่อฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล หรือองค์กรที่กำลังตรวจสอบนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลเป็นหลัก และผลความรุนแรงไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ชุมนุม และองค์กรอิสระเท่านั้น แต่เกิดความเสียหายกับชาติอย่างประเมินค่าไม่ได้ โดยเฉพาะกรณีคาร์บอมบ์ สร้างความเสียหาย ความหวาดวิตกกับนานาชาติเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ เชื่อว่าความรุนแรงจะพัฒนามากขึ้น ทั้งรูปแบบ และวิธีการ แต่กลับไม่มีความเอาจริงเอาจังจากรัฐบาลในการหาคนผิดมาลงโทษ ดังนั้น จึงขอเรียกร้องว่านายกฯ ไม่ควรปล่อยปละละเลยให้เกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อมีคาร์บอมบ์ ที่แจ้งวัฒนะ อาจจะมีเกิดอีกในหลายจุดบริเวณพื้นที่ กทม. หรือจังหวัดอื่น หากนายกฯ ยังไม่รีบตัดไฟแต่ต้นลมในการดำเนินการกับผู้ใช้ความรุนแรง ก็คิดว่าจะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้นายกฯ ดำเนินการอย่างจริงจังด้วย เพื่อไม่ให้เกิดคาร์บอมบ์อีกในอนาคต
"กรณีที่ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ กำลังพิจารณาหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาลว่า ยิ่งมีคดีมากเท่าไหร่ สัญญาณความรุนแรง และการเผชิญหน้าจะมีมากขึ้นตามลำดับ โดยเห็นว่ามี 4 ประการ คือ 1 .ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบและทุกวิธีการในการข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ และป.ป.ช.หนักหน่วงมากขึ้น ทั้งกรณีระเบิดใกล้บ้านนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นตัวอย่างความรุนแรงที่เกิดจากการตรวจสอบรัฐบาล 2 .สร้างความรุนแรงในลักษณะก่อให้เกิดความเกลียดชังในกลุ่มคนสนับสนุนรัฐบาล มีขบวนการดิสเครดิตองค์กรอิสระ และศาล ทั้งจากคนที่เป็นแกนนำในรัฐบาลในลักษณะเปิดเผย แบบบนดินและใต้ดินในโลกโซเชียลมีเดีย ก่อให้เกิดความเกลียดชังควบคู่กับปลุกระดมให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. 3 . มีการประกาศสะสมอาวุธสู้กับทหาร โดยมีการใช้คำพูดที่สะท้อนนัยยะว่า จะใช้ความรุนแรง ยืมเงินธนาคาร บุกปั๊มน้ำมัน ยึดรถประชาชน ที่ติดธงชาติ หลังจากที่องค์กรอิสระตัดสินคดีที่ส่งผลกระทบต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จนทำให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และ 4 . การนัดรวมพลครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดง ที่อาจบุกเข้ากทม. ซึ่ง กปปส. ชุมนุมอยู่ที่สวนลุมพินี และจะเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 29 มี.ค. อีกครั้ง ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองมีแนวโน้มมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น" นายองอาจ กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาระงับยับยั้ง ไม่ให้มีการส่งสัญญาณที่จะนำไปสู่ความรุนแรงในบ้านเมือง แต่นายกฯและรัฐมนตรีในรัฐบาลรวมทั้งตำรวจซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยกลับไม่มีท่าทีใดๆ ในการส่งสัญญาณว่า พร้อมที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง นอกจากนั้น การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ล้วนแต่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับรัฐบาลหรือ เป็นมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลทั้งสิ้น การที่รัฐบาลปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการใดๆ นั้น ทำให้มองได้ว่า นายกฯ ต้องการให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ใช่หรือไม่ จึงไม่มีการระงับยับยั้ง ดังนั้น หากความรุนแรงเพิ่มขึ้นน.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องรับผิดชอบ ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น และจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกรรมจากการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ในฐานะที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จึงหวังว่า เมื่อนายกฯเห็นสัญญาณว่าจะรุนแรงมากขึ้น จะเห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมือง โดยเข้ามาดำเนินการเพื่อให้สถานการณ์ความรุนแรงไม่เพิ่มขึ้น
ผบ.ตร.สั่งเข้มดูแลบุคคล-องค์กรอิสระ
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 เป็นโมฆะ ซึ่งอาจส่งผลให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี ฉวยโอกาสก่อเหตุแทรกซ้อน สร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงต่อบุคคล และสถานที่ โดยเฉพาะที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญและบ้านพักตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตลอดจนพื้นที่ชุมนุมของกลุ่มต่างๆ รวมทั้งสถานที่เชิงสัญลักษณ์นั้น เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยและการรักษาความปลอดภัยบุคคลและสถานที่ที่อาจตกเป็นเป้าหมายในการก่อเหตุแทรกซ้อน หรือสร้างสถานการณ์รุนแรงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้ออกหนังสือสั่งการด่วนที่สุด ลงวันที่ 21 มี.ค. 57 กำชับการปฏิบัติไปยังหน่วยในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ให้ ผบช.น., ภ.1-9 และ ศชต. โดยได้ กำชับให้กวดขันหัวหน้าสถานีตำรวจทุกแห่ง ให้เพิ่มความเข้มในการตรวจตรารักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญในพื้นที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ, สำนักงาน ป.ป.ช., ศาล และองค์กรอิสระอื่นๆ รวมทั้งบ้านพักตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้พิพากษา อย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันให้หัวหน้าสถานีตำรวจ ต้องมอบหมายผู้รับผิดชอบในการประสานมาตรการรักษาความปลอดภัยกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษา และหัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยสถานที่ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อวางระบบรับแจ้งเหตุให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วตลอดเวลา ตั้งจุดตรวจจุดสกัด (ว.43) รอบพื้นที่เสี่ยง เพื่อคัดกรองบุคคล ยานพาหนะ เน้นการตรวจค้นอาวุธปืน อาวุธสงคราม วัตถุระเบิด ประทัดยักษ์ สิ่งเทียมอาวุธ สิ่งผิดกฎหมาย ถ่ายรูปทำประวัติวัยรุ่น กลุ่มเสี่ยงและยานพาหนะต้องสงสัย รวมทั้งจัดสายตรวจ และตั้งจุดตรวจเคลื่อนที่ ในรัศมี 400 เมตร เพื่อป้องกันการใช้อาวุธยิงวิถีโค้ง อย่างเข้มข้นและจริงจัง ให้ตรวจสอบสถานภาพและความพร้อมในการบันทึกภาพของกล้องวงจรปิดบนเส้นทางและสถานที่เป้าหมาย แล้วปรับมุมกล้องให้สามารถบันทึกภาพบุคคล ยานพาหนะ ในเส้นทางได้อย่างชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนจับกุมและให้ ผบช.ส. กำชับผู้รับผิดชอบเพิ่มมาตรการเชิงรุกด้านการข่าว เพื่อติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของบุคคล กลุ่มบุคคล กลุ่มหัวรุนแรง ที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม วัตถุระเบิด ที่อาจสร้างสถานการณ์ก่อเหตุรุนแรงแทรกซ้อน
นอกจากนี้ให้ ผบช.สกบ. และ ตชด. เตรียมชุดตรวจพิสูจน์ เก็บกู้ และทำลายวัตถุระเบิด โดยมอบหมายผู้รับผิดชอบและกำหนดช่องทางการติดต่อประสานงานกับ บก.น. และภ.จว. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ทันที เมื่อได้รับการประสานหรือได้รับคำสั่ง แล้วให้ ผบช.สพฐ.ตร. จัดเตรียมชุดตรวจสถานที่เกิดเหตุ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ และยานพาหนะให้พร้อมสนับสนุนการปฏิบัติได้ทันที เมื่อได้รับการประสานหรือได้รับคำสั่ง ให้ผบช.สยศ.ตร. ปรับแผนการตั้งจุดตรวจจุดสกัด ว.43 เข้มแข็ง ควบคุมอาวุธ ให้ครอบคลุมสถานที่เป้าหมาย โดยต้องมีความเชื่อมโยงทางยุทธวิธีกับจุด ว.43 และจุด ว.43 เคลื่อนที่ของทุก สน. เพื่อให้สามารถป้องกันก่อนเกิดเหตุ และสกัดกั้นจับกุมผู้กระทำความผิดหลังเกิดเหตุได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ