xs
xsm
sm
md
lg

“เสธ.เจมส์” อ่วม! อ้าง คสช.รีดส่วยพัฒน์พงศ์ 7 แสนต่อเดือน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายทหารพระธรรมนูญสอบเพิ่มพล.ต.เจนรณรงค์ เดชวรรณ หรือ “เสธ.เจมส์” อายุ 55 ปี ผู้ทรงคุณวุฒิประจำสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
นายทหารพระธรรมนูญนำตัว “เสธ.เจมส์” กับพวกสอบเพิ่ม พร้อมมอบหลักฐานเป็นบัญชี เงินสด และฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดของโรงแรมตะวันนาที่จับภาพขณะรับเงินส่วยจากผู้ค้าย่านพัฒน์พงศ์ให้ ตร.กองปราบ แจ้งข้อหากรรโชกทรัพย์ เตรียมขยายผลเอาผิด 12 หน่วยงานรัฐที่อ้างตัวเป็นศูนย์ประสานงานราชการจัดระเบียบถนนพัฒน์พงศ์ แบ่งปันรับผลประโยชน์ 7 แสนบาทต่อเดือน

วันนี้ (31 ก.ค) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีที่ พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร ได้เชิญตัว พล.ต.เจนรณรงค์ เดชวรรณ หรือ “เสธ.เจมส์” อายุ 55 ปี ผู้ทรงคุณวุฒิประจำสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, น.ส.นงนุช สิทธิรัตน์ อายุ 44 ปี, นายปานทอง ศิริวรรณ์ อายุ 40 ปี, นางจันทิมา โชติกิตติเกษม อายุ 44 ปี และ น.ส.สุรัตน์ พุ่มพวง อายุ 46 ปี รวม 5 คนมาส่งมอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป.สอบปากคำ หลังจากทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการค้าย่านพัฒน์พงศ์ เขตบางรัก ว่าภายหลังฝ่ายทหารได้ควบคุมตัว พล.ต.เจนรณรงค์ไปกักตัวในเขตทหารแล้วนั้น ในส่วนของพลเรือนทั้ง 4 คนยังคงถูกกักตัวที่ห้องขัง บก.ป.โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก

ต่อมาทาง พ.ท.บุรินทร์ได้พาเจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีต่อ พล.ต.เจนรณรงค์ กับพวก โดยนำหลักฐานประกอบด้วย เงินสด 27,000 บาท สำเนาธนบัตรที่กลุ่มผู้ค้าได้จ่ายเงินค่าคุ้มครอง โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง สมุดบัญชีที่มีการจดรายชื่อแผงค้าและยอดเงิน และหน่วยความจำหรือฮาร์ดดิสก์กล้องวงจรปิดของโรงแรมตะวันนา เขตบางรัก มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี

ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป.กล่าวว่า หลังจากมีการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว ทางพนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาดำเนินการโดยเรียกพยานมาสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นทางเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ทางกลุ่มผู้ค้าที่จ่ายเงินค่าคุ้มครอง ส่วนการกระทำดังกล่าวนั้นในเบื้องต้นน่าจะเข้าข่ายความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ แต่จะมีการพิจารณาตามข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นก็จะพิจารณาต่อไปว่ามีใครกระทำความผิด และกระทำผิดฐานใดบ้าง โดยหากเชื่อมโยงถึงใครก็ดำเนินคดีทุกรายเนื่องจากเป็นกรณีที่ประชาชนให้ความสนใจ ผู้บังคับบัญชาก็ให้ความสำคัญ ยืนยันว่าทางตำรวจจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวอีกว่า คดีนี้เป็นที่เฝ้าจับตาจึงขอเรียนว่าพนักงานสอบสวนจะดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด และจะเร่งสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ให้เร็วที่สุด และในส่วนของทหารที่กระทำความผิดต่อพลเรือนเป็นคดีอาญาก็จะต้องขึ้นศาลพลเรือน รวมทั้งฐานความผิดก็ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะไปดำเนินคดีในศาลทหาร แต่เนื่องจากคดีนี้มีพยานบุคคลเป็นจำนวนมาก ตนจะเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อตั้งเป็นรูปคณะพนักงานสอบสวน บก.ป.ในการดำเนินคดี

ต่อข้อถามถึงพยานหลักฐานต่างๆ ว่ามีเพียงพอหรือไม่ รอง ผบก.ป.กล่าวว่า สำหรับหลักฐานต่างๆ ที่ได้รับมานั้นคงต้องตรวจสอบก่อนว่ามีอะไรบ้าง แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้ เมื่อถามว่ากลุ่มผู้ต้องหาได้กระทำการมานานเพียงใด พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าน่าจะกระทำกันมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ส่วนจะมีผู้ใดเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ คงต้องขอเวลาในการสอบสวนก่อน เพราะต้องถือว่ากระบวนการต่างๆ ในการพิจารณาดำเนินคดีเพิ่งจะเริ่มต้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายทหารพลตรีนายนี้ระบุว่าได้เข้าไปดำเนินการเพื่อล้างมาเฟียเดิมนั้นฟังขึ้นหรือไม่ พ.ต.อ.ประสพโชคกล่าวว่า คงเป็นเพียงข้ออ้างของผู้ถูกกล่าวหา แล้วแต่เขาจะให้การ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาว่าเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ ต้องดูที่เจตนาด้วย อย่างที่เรียนไว้ว่าเราจะให้ความเป็นธรรมอย่างแน่นอน แต่เบื้องต้นพยานหลักฐานที่มีก็ค่อนข้างแน่นหนาพอสมควร มีทั้งเงินที่ยึดมาและได้ลงบันทึกประวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว

ขณะที่ พ.ท.บุรินทร์กล่าวว่า จากกรณีที่ พล.ต.เจนรณรงค์กับพวกมีพฤติการณ์เรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองจากพ่อค้าแม่ค้าที่ถนนพัฒน์พงศ์ พบรายละเอียดว่ามีการจ่ายให้กันแยกเป็นขนาดของแผงค้า เช่น แผงร้านขายนาฬิกา ความกว้าง 2 เมตร เก็บเงิน 10,000 บาท, ร้านขายกระเป๋า เครื่องหนัง เก็บร้านละ 5,000 บาท ส่วนร้านขายของเบ็ดเตล็ด ร้านละ 2,000 บาท โดยร้านทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 200 ร้านค้า รวมยอดเงินประมาณ 7 แสนบาทต่อเดือน ภายหลังจากรับเรื่องร้องเรียนแล้วตนจึงนำข้อมูลไปปรึกษากับผู้บังคับบัญชา ก่อนจะส่งเจ้าหน้าที่แฝงตัวเข้าไปสืบสวนและดำเนินการ

พ.ท.บุรินทร์กล่าวต่อว่า มีการเฝ้าตรวจสอบข้อเท็จจริงระยะหนึ่งพบว่ามีการเรียกรับเงินในส่วนดังกล่าวจริง และมีใครเกี่ยวข้องเป็นคนเรียกเก็บเงินก่อนไปส่งให้กับใคร กระทั่งพบข้อมูลว่ามีทหารยศนายพลเข้ามาเกี่ยวพันด้วย แต่ทางเจ้าหน้าที่ทหารที่แฝงตัวเข้าไปนั้นยังไม่มั่นใจในข้อมูลและหลักฐานต่างๆ จึงมีการประสานผู้บังคับบัญชาตลอดเวลาก่อนจะมีการวางแผนจับกุม โดยแม่ค้าซึ่งเป็นคนจ่ายเงินให้ความร่วมมือจ่ายเงินจำนวน 2,000 บาทนั้นได้ถ่ายสำเนาและไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้ จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นพลเรือนทั้ง 4 คนจะคอยเดินเก็บเงิน มีพฤติกรรมคือผู้หญิงเป็นคนเก็บ ส่วนผู้ชายจะคอยยืนบังแล้วจดใส่สมุดบัญชีว่าผู้ค้ารายใดจ่ายเงินแล้วบ้าง

“มีการเก็บเงินมาได้แล้ว 20,000 กว่าบาท จากนั้นก็เอาไปส่งให้พลตรีนายนี้ที่นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้โรงแรมตะวันนา เจ้าหน้าที่ซึ่งเฝ้าตามมาอยู่แล้วจึงเข้าควบคุมตัวและยึดของกลางทั้งหมด ก่อนจะเข้าไปพบกับพลตรีนายดังกล่าว ระหว่างนั้นจึงได้แจ้งทางตำรวจ สน.บางรัก เจ้าของท้องที่มาดำเนินการ เพราะฉะนั้นหลักฐานส่วนนี้ก็มีอยู่ รวมทั้งแม่ค้าที่จ่ายเงินก็พร้อมเป็นพยานด้วย” พ.ท.บุรินทร์กล่าว

นายทหารพระธรรมนูญรายนี้กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบหลักฐานที่พบยังมีการระบุว่าเงินที่ได้มานั้นมีการนำไปจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่อีกหลายหน่วยงานรวมทั้งหมด 12 หน่วย เป็นยอดที่เขาอ้างว่ามีการส่งให้ นอกจากนี้ แม่ค้าที่เป็นพยานยังเปิดเผยด้วยว่าจำเป็นต้องจ่ายเงิน ถ้าไม่จ่ายก็ขายของไม่ได้ หรือไม่จ่ายก็จะโดนจับ หรือถูกกลั่นแกล้ง แล้วยังพบหลักฐานอีกส่วนคือการออกสติกเกอร์ในนาม “ศูนย์ประสานงานราชการจัดระเบียบถนนพัฒน์พงศ์” นำไปแจกจ่ายแก่กลุ่มผู้ค้าเหมือนเป็นการอ้าง คสช.จัดระเบียบต่างๆ

พ.ท.บุรินทร์กล่าวว่า หลังจากได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้วยังน่าจะขยายผลได้ถึงเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่มีการรับส่วยจากส่วนนี้ ระบุได้ว่ามีใครบ้างครบทั้งวงจร เพราะว่าพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้แม้จะพ้นจากมาเฟียกลุ่มเดิมแต่กับเจ้าหน้าที่เขาก็ยังต้องส่ง
แจ้งข้อหากรรโชกทรัพย์
หลักฐานที่ตรวจยึดได้ทั้งสมุดบัญชีและเงินสด


กลุ่มผู้ค้าตลาดพัฒน์พงศ์ไนท์บาาร์ซ่า เข้าชื่อขอความเป็นธรรมให้กับเสธ.เจ
กำลังโหลดความคิดเห็น