พอเกิดประเด็นคลุมเครือเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 คนที่ชี้ขาด ก็ต้องเป็นผู้ทำให้กำเนิด และผู้ทำคลอด นั่นคือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของ“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ เบอร์หนึ่ง กับ“2ช่างตัดแต่งรธน.” อย่าง นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช. ฝ่ายกฎหมาย ในฐานะหัวหน้าทีมยกร่าง กับ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ที่ปรึกษาหัวหน้า คสช. จะต้องมาอธิบายกันให้ชัดเจน
สำหรับปมเรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ว่า ตกลงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีอำนาจถอดถอนบุคคลที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดมาหรือไม่
นาทีนี้ยังเถียงกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยืนยันหนักแน่นว่า ในเมื่อรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ถูกคสช. ฉีกทิ้งไปแล้ว หลังจากเข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ทำให้บทบัญญัติเรื่องการถอดถอนบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หายวับไปด้วย
ซึ่ง“มิสเตอร์ไวยรัช”นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ผู้ถูกป.ป.ช. ฟันฉับที่คอ กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.มิชอบ เป็นหนึ่งในคนที่ให้ทรรศนะสนับสนุนความคิดนี้ทันที ว่า ถือเป็นการยกประโยชน์ให้จำเลย หรือ เปรียบง่ายๆ เหมือนกับการนิรโทษกรรมไปโดยอัตโนมัตินั่นเอง
แน่นอนว่า หากใช้บรรทัดฐาน “มิสเตอร์ไวยรัช”จะทำให้บุคคลที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในคดีถอดถอนจำนวนไม่น้อย หลุดจากร่างแหบ่วงกรรมที่กระทำเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น อดีตประธานวุฒิสภาชาวฉะเชิงเทรา ผู้นี้เอง “ค้อนปลอม”นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และ 36 ส.ว. ที่ร่วมกันกระทำชำเรารัฐธรรมนูญโดยมิชอบก่อนหน้านี้ ไม่เว้นแม้แต่เบี้ยตัวใหญ่อย่าง “ปูกรรเชียง”น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกเชือดคอ กรณีละเลยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหาย
**เหล่านี้จะออกไปเอ้อระเหยลอยชายกันหมด สิ่งที่ ป.ป.ช.ไปแสวงหาข้อเท็จจริง ไต่สวนพยานบุคคล หาหลักฐาน กันมาร่วมแรมปีจะหายวับเข้ากลีบเมฆ ที่ลงเรี่ยวลงแรงเท่ากับ เหนื่อยฟรี
ทว่า การตีความแบบ “มิสเตอร์ไวยรัช”ก็ดูจะหัวหมอ และออกไปในแนวศรีธนญชัย มากเกินไป เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ได้ระบุไว้ชัดแจ้งแดงแจ๋ว่า ให้ สนช. ทำหน้าที่ ส.ส. และ ส.ว. ฉะนั้น อำนาจที่ ส.ว.เคยมี ย่อมอยู่ในเงื้อมือของสนช. ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่การถอดถอน
ขณะเดียวกัน ในมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ยังระบุให้ ยึดประเพณีการปกครองในอดีต เหมือนกับที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.สรรหา ออกมายืนยันนอนยันว่า ทำได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเมื่อปี 2549 สนช. ยุคที่มี “ปรมาจารย์กฎหมาย” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ก็เคยลงมติถอดถอน นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ออกจากตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มาแล้ว หลังจากมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายอย่าง เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงสามารถยึดเอาหลักดังกล่าวได้เลย
ขณะที่ ป.ป.ช. ผู้เป็นต้นธารเรื่องนี้ เอากันจริงๆ ตามเนื้อผ้าก็ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจถึงขนาดจะชี้นิ้วบอก สนช. ว่า ต้องถอดถอนหรือไม่ จึงโยนให้ 220 อรหันต์แห่งรัฐสภา ตัดสินใจกันเอาเองว่า จะเอาอย่างไร ?
**ว่ากันตามสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ แม้ สนช. จะมีอำนาจหน้าที่โดยตรง แต่เป็นที่รู้กันว่า สนช. กำเนิดจาก คสช. ที่มี “บิ๊กตู่” เป็นกัปตันทีม ดังนั้นเรื่องนี้ คนที่มีอำนาจตัดสินใจก็คือ คสช. ว่า ตกลงจะไฟเขียวลุยถอดถอน หรือ เบรกเอาไว้ก่อน เพื่อผลักภาระให้ ส.ว.ชุดใหม่ที่เข้ามาทำหน้าที่ หลังจากมีการเลือกตั้งกันใหม่แล้ว
หลังจากนี้ เลยต้องรอดูสัญญาณจาก คสช. ว่า จะเอาอย่างไรกับเรื่องดังกล่าว เพราะการเลือกแนวทางใด แนวทางหนึ่ง ย่อมมีผลกระทบตามมามากมายแบบสุดๆ ไปทางใดทางหนึ่งเหมือนกัน เพราะหากเรื่องกดไฟเขียวให้ สนช. เดินเครื่องถอดถอนได้ นั่นเท่ากับว่า “ปูกรรเชียง” และองคาพยพ ที่มีคดีถอดถอนค้ำคออยู่ในป.ป.ช. มีโอกาสตายหมู่ และตายสนิทจากการเมืองไปอีกหลายปีแน่ เนื่องจากในรัฐธรรมนูญ มาตรา 35 กำหนดไว้ ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2558 ไปยกร่างเพื่อป้องกันนักการเมืองที่ต้องมลทินคดีทุจริต คอร์รัปชัน ไม่ให้กลับมาวนเวียนในสังเวียนการเมืองอีกเด็ดขาด
**งานนี้ “ปูกรรเชียง”และองคาพยพ หมดโอกาสลอยนวลแน่ หรือจะเรียกว่า เป็นโศกนาฏกรรมหมู่ทางการเมืองก็ได้ เพราะ สนช. ล้วนเป็นผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้ คสช. คะแนนเสียงถอดถอนที่ต่อให้ใช้เยอะเพียงใด ก็พอที่จะส่งบุคคลเหล่านี้กลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานได้อยู่แล้ว ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนกับระบบปกติ ยกเว้น จะมีสัญญาณคุณขอมาเท่านั้น จึงจะรอดคมมีด
แต่หากละไว้ แล้วค่อยชำระกันใหม่เมื่อมี ส.ว. โอกาสที่บุคคลเหล่านี้จะลอยนวลต่อในแวดวงการเมืองก็ยังมีสูง เพราะบรรดานักการเมืองมักจะไม่เข่นฆ่ากันด้วยวิธีการแบบนี้ ซึ่งหากกดปุ่มเลือกแนวทางนี้ ก็ไม่ต่างจากการปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ หรือหากจะมองในฝั่งแนวต้านระบอบทักษิณ คงส่ายหน้า เพราะสิ่งที่ทำกันมา เสียของ สูญเปล่า สุดท้ายเชื่อร้ายของระบอบทุนสามานย์ก็ยังฝังแน่นในรากเหง้าการเมืองไทย เข้าอีหรอบ ปฏิรูปได้ แต่กำจัดระบอบทักษิณซึ่งเป็นต้นเหตุไม่ได้
**คราวนี้จึงถึงคราววัดใจ “คสช.”ว่า จะเคาะโต๊ะเลือกอย่างไหน
อย่างไรก็ดี นอกจาก คสช.ต้องเด็ดเดี่ยวในการล้างบางเหล่านักการเมืองขี้ฉ้อ ที่ถูกป.ป.ช.ชี้มูลคดีถอดถอนแล้ว ยังต้องกล้าตัดสินใจไฟเขียวให้ ป.ป.ช. เดินหน้าพิจารณาคดีถอดถอน ที่ยังไม่ได้ชี้มูลที่มีอยู่จำนวนมากอีกด้วย
หลัง “ทีมงานสนามบินน้ำ”ชักออกลูกใจเสาะ ไม่กล้าวู่วามผลีผลามฟันฉับ กลับจำต้องชะลอไว้ก่อน เพราะกลัวจะโดนติฉินนินทาว่า น่าเกลียด ไม่ชอบธรรม หรือเล่นทีเผลอ แต่หากมีสัญญาณทางโล่งมาให้ รับรองเครื่องฉลุย
ซึ่งการตัดสินใจเลือกทางนี้ แม้จะดูโหดร้าย และฮาร์ดคอร์เกินไป แต่ก็สอดคล้องกับปรัชญาการปฏิรูปประเทศของคสช. ที่กำลังเดินหน้าปฏิรูปยกเครื่องประเทศไทยแบบขนานใหญ่ โดยเฉพาะการขจัดปัญหาคอรัปชั่นให้หมดไปจากประเทศไทย และนักการเมืองกังฉิน ที่เกาะกินบ้านเมืองมาช้านาน จึงถือเป็นจังหวะดีมิใช่น้อย
หมดเวลายำเกรงคนชั่ว เกรงใจคนเลว คิดจะปฏิรูปประเทศต้องทำแบบสุดซอย ทะลุซอย ไม่ให้การเข้าควบคุมอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม สูญเปล่า เสียของ บทเรียนในอดีตมีให้เห็นสารพัดหากเดินแบบกั๊กๆ ไม่เต็มเท้า สุดท้ายจากหวังดีกลายเป็นประสงค์ร้ายต่อประเทศ
** ถึงคราวพิสูจน์ขนาดหัวใจของผู้มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์กันแล้ว!!
สำหรับปมเรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ว่า ตกลงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีอำนาจถอดถอนบุคคลที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดมาหรือไม่
นาทีนี้ยังเถียงกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งยืนยันหนักแน่นว่า ในเมื่อรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ถูกคสช. ฉีกทิ้งไปแล้ว หลังจากเข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ทำให้บทบัญญัติเรื่องการถอดถอนบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หายวับไปด้วย
ซึ่ง“มิสเตอร์ไวยรัช”นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ผู้ถูกป.ป.ช. ฟันฉับที่คอ กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.มิชอบ เป็นหนึ่งในคนที่ให้ทรรศนะสนับสนุนความคิดนี้ทันที ว่า ถือเป็นการยกประโยชน์ให้จำเลย หรือ เปรียบง่ายๆ เหมือนกับการนิรโทษกรรมไปโดยอัตโนมัตินั่นเอง
แน่นอนว่า หากใช้บรรทัดฐาน “มิสเตอร์ไวยรัช”จะทำให้บุคคลที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในคดีถอดถอนจำนวนไม่น้อย หลุดจากร่างแหบ่วงกรรมที่กระทำเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น อดีตประธานวุฒิสภาชาวฉะเชิงเทรา ผู้นี้เอง “ค้อนปลอม”นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และ 36 ส.ว. ที่ร่วมกันกระทำชำเรารัฐธรรมนูญโดยมิชอบก่อนหน้านี้ ไม่เว้นแม้แต่เบี้ยตัวใหญ่อย่าง “ปูกรรเชียง”น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกเชือดคอ กรณีละเลยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหาย
**เหล่านี้จะออกไปเอ้อระเหยลอยชายกันหมด สิ่งที่ ป.ป.ช.ไปแสวงหาข้อเท็จจริง ไต่สวนพยานบุคคล หาหลักฐาน กันมาร่วมแรมปีจะหายวับเข้ากลีบเมฆ ที่ลงเรี่ยวลงแรงเท่ากับ เหนื่อยฟรี
ทว่า การตีความแบบ “มิสเตอร์ไวยรัช”ก็ดูจะหัวหมอ และออกไปในแนวศรีธนญชัย มากเกินไป เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ได้ระบุไว้ชัดแจ้งแดงแจ๋ว่า ให้ สนช. ทำหน้าที่ ส.ส. และ ส.ว. ฉะนั้น อำนาจที่ ส.ว.เคยมี ย่อมอยู่ในเงื้อมือของสนช. ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่การถอดถอน
ขณะเดียวกัน ในมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ยังระบุให้ ยึดประเพณีการปกครองในอดีต เหมือนกับที่ นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.สรรหา ออกมายืนยันนอนยันว่า ทำได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเมื่อปี 2549 สนช. ยุคที่มี “ปรมาจารย์กฎหมาย” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ก็เคยลงมติถอดถอน นายจรัล ดิษฐาอภิชัย ออกจากตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มาแล้ว หลังจากมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายอย่าง เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงสามารถยึดเอาหลักดังกล่าวได้เลย
ขณะที่ ป.ป.ช. ผู้เป็นต้นธารเรื่องนี้ เอากันจริงๆ ตามเนื้อผ้าก็ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจถึงขนาดจะชี้นิ้วบอก สนช. ว่า ต้องถอดถอนหรือไม่ จึงโยนให้ 220 อรหันต์แห่งรัฐสภา ตัดสินใจกันเอาเองว่า จะเอาอย่างไร ?
**ว่ากันตามสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ แม้ สนช. จะมีอำนาจหน้าที่โดยตรง แต่เป็นที่รู้กันว่า สนช. กำเนิดจาก คสช. ที่มี “บิ๊กตู่” เป็นกัปตันทีม ดังนั้นเรื่องนี้ คนที่มีอำนาจตัดสินใจก็คือ คสช. ว่า ตกลงจะไฟเขียวลุยถอดถอน หรือ เบรกเอาไว้ก่อน เพื่อผลักภาระให้ ส.ว.ชุดใหม่ที่เข้ามาทำหน้าที่ หลังจากมีการเลือกตั้งกันใหม่แล้ว
หลังจากนี้ เลยต้องรอดูสัญญาณจาก คสช. ว่า จะเอาอย่างไรกับเรื่องดังกล่าว เพราะการเลือกแนวทางใด แนวทางหนึ่ง ย่อมมีผลกระทบตามมามากมายแบบสุดๆ ไปทางใดทางหนึ่งเหมือนกัน เพราะหากเรื่องกดไฟเขียวให้ สนช. เดินเครื่องถอดถอนได้ นั่นเท่ากับว่า “ปูกรรเชียง” และองคาพยพ ที่มีคดีถอดถอนค้ำคออยู่ในป.ป.ช. มีโอกาสตายหมู่ และตายสนิทจากการเมืองไปอีกหลายปีแน่ เนื่องจากในรัฐธรรมนูญ มาตรา 35 กำหนดไว้ ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2558 ไปยกร่างเพื่อป้องกันนักการเมืองที่ต้องมลทินคดีทุจริต คอร์รัปชัน ไม่ให้กลับมาวนเวียนในสังเวียนการเมืองอีกเด็ดขาด
**งานนี้ “ปูกรรเชียง”และองคาพยพ หมดโอกาสลอยนวลแน่ หรือจะเรียกว่า เป็นโศกนาฏกรรมหมู่ทางการเมืองก็ได้ เพราะ สนช. ล้วนเป็นผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้ คสช. คะแนนเสียงถอดถอนที่ต่อให้ใช้เยอะเพียงใด ก็พอที่จะส่งบุคคลเหล่านี้กลับไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานได้อยู่แล้ว ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนกับระบบปกติ ยกเว้น จะมีสัญญาณคุณขอมาเท่านั้น จึงจะรอดคมมีด
แต่หากละไว้ แล้วค่อยชำระกันใหม่เมื่อมี ส.ว. โอกาสที่บุคคลเหล่านี้จะลอยนวลต่อในแวดวงการเมืองก็ยังมีสูง เพราะบรรดานักการเมืองมักจะไม่เข่นฆ่ากันด้วยวิธีการแบบนี้ ซึ่งหากกดปุ่มเลือกแนวทางนี้ ก็ไม่ต่างจากการปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยปลาลงน้ำ หรือหากจะมองในฝั่งแนวต้านระบอบทักษิณ คงส่ายหน้า เพราะสิ่งที่ทำกันมา เสียของ สูญเปล่า สุดท้ายเชื่อร้ายของระบอบทุนสามานย์ก็ยังฝังแน่นในรากเหง้าการเมืองไทย เข้าอีหรอบ ปฏิรูปได้ แต่กำจัดระบอบทักษิณซึ่งเป็นต้นเหตุไม่ได้
**คราวนี้จึงถึงคราววัดใจ “คสช.”ว่า จะเคาะโต๊ะเลือกอย่างไหน
อย่างไรก็ดี นอกจาก คสช.ต้องเด็ดเดี่ยวในการล้างบางเหล่านักการเมืองขี้ฉ้อ ที่ถูกป.ป.ช.ชี้มูลคดีถอดถอนแล้ว ยังต้องกล้าตัดสินใจไฟเขียวให้ ป.ป.ช. เดินหน้าพิจารณาคดีถอดถอน ที่ยังไม่ได้ชี้มูลที่มีอยู่จำนวนมากอีกด้วย
หลัง “ทีมงานสนามบินน้ำ”ชักออกลูกใจเสาะ ไม่กล้าวู่วามผลีผลามฟันฉับ กลับจำต้องชะลอไว้ก่อน เพราะกลัวจะโดนติฉินนินทาว่า น่าเกลียด ไม่ชอบธรรม หรือเล่นทีเผลอ แต่หากมีสัญญาณทางโล่งมาให้ รับรองเครื่องฉลุย
ซึ่งการตัดสินใจเลือกทางนี้ แม้จะดูโหดร้าย และฮาร์ดคอร์เกินไป แต่ก็สอดคล้องกับปรัชญาการปฏิรูปประเทศของคสช. ที่กำลังเดินหน้าปฏิรูปยกเครื่องประเทศไทยแบบขนานใหญ่ โดยเฉพาะการขจัดปัญหาคอรัปชั่นให้หมดไปจากประเทศไทย และนักการเมืองกังฉิน ที่เกาะกินบ้านเมืองมาช้านาน จึงถือเป็นจังหวะดีมิใช่น้อย
หมดเวลายำเกรงคนชั่ว เกรงใจคนเลว คิดจะปฏิรูปประเทศต้องทำแบบสุดซอย ทะลุซอย ไม่ให้การเข้าควบคุมอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม สูญเปล่า เสียของ บทเรียนในอดีตมีให้เห็นสารพัดหากเดินแบบกั๊กๆ ไม่เต็มเท้า สุดท้ายจากหวังดีกลายเป็นประสงค์ร้ายต่อประเทศ
** ถึงคราวพิสูจน์ขนาดหัวใจของผู้มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์กันแล้ว!!