คณะสืบสวนสอบสวนของ กกต.เพิ่งลงมติกันเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่าการทัวร์นกขมิ้นของนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะ ซึ่งมีอดีตรัฐมนตรีหลายคนร่วมคณะ และการเอาเงินหลวงไปให้ตำรวจมอบแก่ตำรวจที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมว่าเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง
ซึ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรง มีโทษทางการเมืองถึงขนาดเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง และเมื่อผู้เกี่ยวข้องเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองด้วย ก็จะต้องถูกยุบพรรคและตัดสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคต่อไป
ใครฟังข่าวแล้วและมิได้ใคร่ครวญให้ดีก็คงจะได้เฮ เพราะมติของคณะสืบสวนสอบสวนดังกล่าวต้องด้วยใจผู้คนทั้งหลายที่ต้องการให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม แต่ถ้าใคร่ครวญกันดีๆ ก็คงเฮไม่ออก และจำจะต้องเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการสืบสวนสอบสวนในการกลั่นกรองของ กกต.ทั้งระบบ เพื่อให้สามารถคัดกรองไม่ให้คนไม่ดีมามีอำนาจในบ้านเมืองได้
ทำไมจึงกล่าวอย่างนั้นเล่า? ก็เพราะว่า
ประการแรก การเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556 เวลาล่วงเลยมาถึง 8 เดือนแล้ว การสืบสวนสอบสวนเพิ่งแล้วเสร็จ และเป็นการเสร็จชั้นสืบสวนสอบสวนเท่านั้น ยังจะต้องไปสู่ขั้นการพิจารณาของ กกต.กลางอีกขั้นหนึ่ง
เมื่อ กกต.กลางตัดสินอย่างไรแล้ว ก็ยังต้องดำเนินการทั้งทางการเมือง ทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนกี่ปีกี่ชาติจึงจะเอาคนผิดมาลงโทษหรือทำให้ต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นเจตนารมณ์สำคัญของการเลือกตั้ง และเป็นหน้าที่สำคัญของ กกต.ด้วย
นี่ขนาดมีการยึดอำนาจ ยังเพิ่งสืบสวนสอบสวนเสร็จ ลองตั้งคำถามในใจกันดูก็ได้ว่าถ้าไม่มีการยึดอำนาจและพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแล้วเป็นรัฐบาล ผลการสืบสวนสอบสวนจะออกมาอย่างไร? และ กกต.กลางจะว่าอย่างไร?
คนทั้งหลายก็ย่อมนึกถึงการเลือกตั้งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ที่ปล่อยผีเข้าป่าช้าไปก่อน โดยปลอบใจนักประชาธิปไตยทั้งหลายว่าปล่อยไปก่อนแล้วสอยทีหลัง จนกระทั่งกลายเป็นคำพูดเล่นชวนหัวกันว่า ปล่อยนักการเมืองเข้าไปหาเงินก่อน แล้วค่อยสอยเงินนั้นมาเข้ากระเป๋า โดยในที่สุดก็เอาผิดใครไม่ได้ แล้วทำให้บ้านเมืองพินาศวายวอดดังที่เห็นๆ กันอยู่
ประการที่สอง เรื่องการทุจริตเลือกตั้งในกรณีทัวร์นกขมิ้นและการเอาเงินหลวงไปแจกในช่วงเลือกตั้งนั้น เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน มีพยานที่หาได้ยากหรืออย่างไร จึงต้องใช้เวลานานหนักหนา
ก็ต้องบอกว่ากรณีทัวร์นกขมิ้นก็ดี กรณีเอาเงินหลวงไปแจกในช่วงเลือกตั้งก็ดี คนไทยรู้เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง มีประจักษ์พยานหลักฐานเพียบพร้อมแน่นหนา เพราะโทรทัศน์ก็รายงานข่าว หนังสือพิมพ์ก็รายงานข่าว นักสังเกตการณ์ทั้งหลายก็ก่นด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง
ใช้เวลาเพียง 2-3 วันก็สามารถสรุปข้อเท็จจริงได้แล้วว่ามีเหตุการณ์อย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเสกสรรปั้นแต่งกล่าวหาว่าร้ายกันได้เลย ข้อเท็จจริงชัดเจนแน่นหนา คงเหลือแต่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ ซึ่งการวินิจฉัยปัญหานี้ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงก็ได้ข้อยุติเป็นที่กระจ่าง
เรื่องที่มีประจักษ์พยานแจ้งชัดเห็นกันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมือง และสามารถหาข้อยุติได้ภายในเวลา 3 วัน และสามารถทำให้เรื่องเสร็จสิ้นไปได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 วัน แต่กลับทอดเวลาเนิ่นนานมาจนถึง 8 เดือน ย่อมแสดงว่ามีปัญหาขึ้นในระบบการสืบสวนสอบสวน และการวินิจฉัยปัญหาการทุจริตการเลือกตั้ง เป็นประจักษ์พยานอันชัดเจนว่าตรงนี้แหละคือปัญหาใหญ่ที่ทำให้บ้านเมืองมีปัญหา ทำให้คนไม่ดีเข้ามามีอำนาจในบ้านเมือง
ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามภาระหน้าที่ของ กกต.ที่จะต้องรับผิดชอบทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
และที่สำคัญ เมื่อมีการทุจริตในการเลือกตั้ง กลับต้องปล่อยผีเข้าสภาไม่สามารถคัดกรองคนไม่ดีออกจากอำนาจเสียตั้งแต่ต้นได้ และเมื่อคนไม่ดีเข้าไปมีอำนาจในบ้านเมืองแล้วก็ใช้อำนาจนั้นในการผันแปรกระบวนการสืบสวนสอบสวนและการทำงานขององค์กรอิสระและหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งยึดครองกลไกอำนาจรัฐ กลไกอำนาจรัฐสภา ไปอย่างหน้าตาเฉย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในกรณีที่การทุจริตเลือกตั้งได้กระทำกันในเวลาค่ำคืน หรือในที่ห่างไกล โดยเฉพาะในชนบทที่ไม่มีใครกล้าเป็นพยานให้ ในขณะที่มีการปิดล้อมหมู่บ้านไปซื้อเสียงกันอย่างโจ๋งครึ่ม และกล่าวขวัญกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ปัญหาเหล่านี้ กกต.จะเสนอให้มีการปฏิรูปหรือแก้ไขอย่างไร? เพราะกรณีเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าระบบการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยเอาผิดกับผู้ทุจริตที่เป็นอยู่นี้ไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้การเลือกตั้งเป็นแค่กลไกฟอกคนไม่ดีเข้าสู่อำนาจในบ้านเมือง
เมื่อกลไกคัดกรองการเข้าสู่อำนาจวิปริตผิดเพี้ยน และไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ จึงทำให้คนไม่ดีเข้ามามีอำนาจในบ้านเมือง
คนไม่ดีเหล่านี้เข้าไปอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาก็ทำให้สภานั้นๆ ไม่เป็นสภาของบัณฑิต แต่เป็นสภาโจร ที่บังอาจกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างหน้าตาเฉย กลายเป็นสภาของพวกนักเลงอันธพาล และบรรดาเหล่ามหาโจรเลวร้ายทั้งหลายที่ทรยศต่อประเทศชาติและประชาชนดังที่เห็นมาแล้ว
เมื่อคนไม่ดีเข้ามามีอำนาจแล้วไปคัดเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นผลิตผลของคนแบบเดียวกัน ครั้นเมื่อมีการตั้งคณะรัฐมนตรีก็ได้รัฐมนตรีที่เป็นผลิตผลของคนแบบเดียวกัน
รวมความก็คือ เมื่อระบบการคัดกรองในการเลือกตั้งไร้ประสิทธิภาพ เป็นต้นเหตุให้บรรดาคนชั่วช้าเลวทรามสารพัดหลุดรอดเข้าไปได้ สภาผู้แทนราษฎรจึงมิใช่สภาของปวงชน แต่เป็นสภาโจร รัฐบาลก็ไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน แต่เป็นรัฐบาลโจร
ประชาชนชาวไทยนั้นมีปกติรักสงบและประนีประนอม แต่เพราะโจรานุโจรเข้าไปมีอำนาจเป็นจำนวนมาก ลัทธิอั้งยี่ที่ใหญ่โตก็เกิดขึ้นในวงแห่งอำนาจ จึงเป็นเหตุให้มีการทุจริตคอร์รัปชันเป็นจำนวนมหาศาล ดังที่ ป.ป.ช.ก็ได้กล่าวเอาไว้ว่าโกงกันทุกโครงการ โกงกันทุกขั้นทุกตอน
ไม่โกงเปล่า แต่โกงแล้วก็ฮึกเหิมลำพองถึงขั้นยึดบ้านยึดเมืองเป็นของตน คิดล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คิดตั้งรัฐไทยใหม่ ซ่องสุมกำลังคนและกำลังอาวุธเพื่อต่อสู้กับกองทัพไทยแล้วแบ่งแยกประชาชนให้เป็นพวกเป็นฝักเป็นฝ่าย และใช้กระบอกเสียงยุให้ไทยฆ่าไทย ดังที่เกิดขึ้นมาแล้ว
สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรอบสิบปีมานี้ จนทหารต้องเข้ามายึดอำนาจเมื่อปี 2549 มีการยุบพรรคการเมืองไปหลายพรรคก็มิได้เข็ดหลาบ ยังกระทำกรรมหนักขึ้นกว่าเดิม จนถึงขั้นจะเกิดเป็นสงครามกลางเมือง จนมีการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
แล้ว กกต.จะรับผิดชอบอย่างไร? จะปฏิรูปหรือแก้ไขการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งมีความสุจริตและเที่ยงธรรมได้อย่างไร?
ซึ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรง มีโทษทางการเมืองถึงขนาดเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ต้องถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง และเมื่อผู้เกี่ยวข้องเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองด้วย ก็จะต้องถูกยุบพรรคและตัดสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคต่อไป
ใครฟังข่าวแล้วและมิได้ใคร่ครวญให้ดีก็คงจะได้เฮ เพราะมติของคณะสืบสวนสอบสวนดังกล่าวต้องด้วยใจผู้คนทั้งหลายที่ต้องการให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม แต่ถ้าใคร่ครวญกันดีๆ ก็คงเฮไม่ออก และจำจะต้องเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการสืบสวนสอบสวนในการกลั่นกรองของ กกต.ทั้งระบบ เพื่อให้สามารถคัดกรองไม่ให้คนไม่ดีมามีอำนาจในบ้านเมืองได้
ทำไมจึงกล่าวอย่างนั้นเล่า? ก็เพราะว่า
ประการแรก การเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556 เวลาล่วงเลยมาถึง 8 เดือนแล้ว การสืบสวนสอบสวนเพิ่งแล้วเสร็จ และเป็นการเสร็จชั้นสืบสวนสอบสวนเท่านั้น ยังจะต้องไปสู่ขั้นการพิจารณาของ กกต.กลางอีกขั้นหนึ่ง
เมื่อ กกต.กลางตัดสินอย่างไรแล้ว ก็ยังต้องดำเนินการทั้งทางการเมือง ทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าอีกกี่เดือนกี่ปีกี่ชาติจึงจะเอาคนผิดมาลงโทษหรือทำให้ต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นเจตนารมณ์สำคัญของการเลือกตั้ง และเป็นหน้าที่สำคัญของ กกต.ด้วย
นี่ขนาดมีการยึดอำนาจ ยังเพิ่งสืบสวนสอบสวนเสร็จ ลองตั้งคำถามในใจกันดูก็ได้ว่าถ้าไม่มีการยึดอำนาจและพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแล้วเป็นรัฐบาล ผลการสืบสวนสอบสวนจะออกมาอย่างไร? และ กกต.กลางจะว่าอย่างไร?
คนทั้งหลายก็ย่อมนึกถึงการเลือกตั้งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ที่ปล่อยผีเข้าป่าช้าไปก่อน โดยปลอบใจนักประชาธิปไตยทั้งหลายว่าปล่อยไปก่อนแล้วสอยทีหลัง จนกระทั่งกลายเป็นคำพูดเล่นชวนหัวกันว่า ปล่อยนักการเมืองเข้าไปหาเงินก่อน แล้วค่อยสอยเงินนั้นมาเข้ากระเป๋า โดยในที่สุดก็เอาผิดใครไม่ได้ แล้วทำให้บ้านเมืองพินาศวายวอดดังที่เห็นๆ กันอยู่
ประการที่สอง เรื่องการทุจริตเลือกตั้งในกรณีทัวร์นกขมิ้นและการเอาเงินหลวงไปแจกในช่วงเลือกตั้งนั้น เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน มีพยานที่หาได้ยากหรืออย่างไร จึงต้องใช้เวลานานหนักหนา
ก็ต้องบอกว่ากรณีทัวร์นกขมิ้นก็ดี กรณีเอาเงินหลวงไปแจกในช่วงเลือกตั้งก็ดี คนไทยรู้เห็นกันทั้งบ้านทั้งเมือง มีประจักษ์พยานหลักฐานเพียบพร้อมแน่นหนา เพราะโทรทัศน์ก็รายงานข่าว หนังสือพิมพ์ก็รายงานข่าว นักสังเกตการณ์ทั้งหลายก็ก่นด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง
ใช้เวลาเพียง 2-3 วันก็สามารถสรุปข้อเท็จจริงได้แล้วว่ามีเหตุการณ์อย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเสกสรรปั้นแต่งกล่าวหาว่าร้ายกันได้เลย ข้อเท็จจริงชัดเจนแน่นหนา คงเหลือแต่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ ซึ่งการวินิจฉัยปัญหานี้ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมงก็ได้ข้อยุติเป็นที่กระจ่าง
เรื่องที่มีประจักษ์พยานแจ้งชัดเห็นกันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมือง และสามารถหาข้อยุติได้ภายในเวลา 3 วัน และสามารถทำให้เรื่องเสร็จสิ้นไปได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 วัน แต่กลับทอดเวลาเนิ่นนานมาจนถึง 8 เดือน ย่อมแสดงว่ามีปัญหาขึ้นในระบบการสืบสวนสอบสวน และการวินิจฉัยปัญหาการทุจริตการเลือกตั้ง เป็นประจักษ์พยานอันชัดเจนว่าตรงนี้แหละคือปัญหาใหญ่ที่ทำให้บ้านเมืองมีปัญหา ทำให้คนไม่ดีเข้ามามีอำนาจในบ้านเมือง
ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามภาระหน้าที่ของ กกต.ที่จะต้องรับผิดชอบทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
และที่สำคัญ เมื่อมีการทุจริตในการเลือกตั้ง กลับต้องปล่อยผีเข้าสภาไม่สามารถคัดกรองคนไม่ดีออกจากอำนาจเสียตั้งแต่ต้นได้ และเมื่อคนไม่ดีเข้าไปมีอำนาจในบ้านเมืองแล้วก็ใช้อำนาจนั้นในการผันแปรกระบวนการสืบสวนสอบสวนและการทำงานขององค์กรอิสระและหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งยึดครองกลไกอำนาจรัฐ กลไกอำนาจรัฐสภา ไปอย่างหน้าตาเฉย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในกรณีที่การทุจริตเลือกตั้งได้กระทำกันในเวลาค่ำคืน หรือในที่ห่างไกล โดยเฉพาะในชนบทที่ไม่มีใครกล้าเป็นพยานให้ ในขณะที่มีการปิดล้อมหมู่บ้านไปซื้อเสียงกันอย่างโจ๋งครึ่ม และกล่าวขวัญกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ปัญหาเหล่านี้ กกต.จะเสนอให้มีการปฏิรูปหรือแก้ไขอย่างไร? เพราะกรณีเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าระบบการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยเอาผิดกับผู้ทุจริตที่เป็นอยู่นี้ไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้การเลือกตั้งเป็นแค่กลไกฟอกคนไม่ดีเข้าสู่อำนาจในบ้านเมือง
เมื่อกลไกคัดกรองการเข้าสู่อำนาจวิปริตผิดเพี้ยน และไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ จึงทำให้คนไม่ดีเข้ามามีอำนาจในบ้านเมือง
คนไม่ดีเหล่านี้เข้าไปอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาก็ทำให้สภานั้นๆ ไม่เป็นสภาของบัณฑิต แต่เป็นสภาโจร ที่บังอาจกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างหน้าตาเฉย กลายเป็นสภาของพวกนักเลงอันธพาล และบรรดาเหล่ามหาโจรเลวร้ายทั้งหลายที่ทรยศต่อประเทศชาติและประชาชนดังที่เห็นมาแล้ว
เมื่อคนไม่ดีเข้ามามีอำนาจแล้วไปคัดเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นผลิตผลของคนแบบเดียวกัน ครั้นเมื่อมีการตั้งคณะรัฐมนตรีก็ได้รัฐมนตรีที่เป็นผลิตผลของคนแบบเดียวกัน
รวมความก็คือ เมื่อระบบการคัดกรองในการเลือกตั้งไร้ประสิทธิภาพ เป็นต้นเหตุให้บรรดาคนชั่วช้าเลวทรามสารพัดหลุดรอดเข้าไปได้ สภาผู้แทนราษฎรจึงมิใช่สภาของปวงชน แต่เป็นสภาโจร รัฐบาลก็ไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน แต่เป็นรัฐบาลโจร
ประชาชนชาวไทยนั้นมีปกติรักสงบและประนีประนอม แต่เพราะโจรานุโจรเข้าไปมีอำนาจเป็นจำนวนมาก ลัทธิอั้งยี่ที่ใหญ่โตก็เกิดขึ้นในวงแห่งอำนาจ จึงเป็นเหตุให้มีการทุจริตคอร์รัปชันเป็นจำนวนมหาศาล ดังที่ ป.ป.ช.ก็ได้กล่าวเอาไว้ว่าโกงกันทุกโครงการ โกงกันทุกขั้นทุกตอน
ไม่โกงเปล่า แต่โกงแล้วก็ฮึกเหิมลำพองถึงขั้นยึดบ้านยึดเมืองเป็นของตน คิดล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คิดตั้งรัฐไทยใหม่ ซ่องสุมกำลังคนและกำลังอาวุธเพื่อต่อสู้กับกองทัพไทยแล้วแบ่งแยกประชาชนให้เป็นพวกเป็นฝักเป็นฝ่าย และใช้กระบอกเสียงยุให้ไทยฆ่าไทย ดังที่เกิดขึ้นมาแล้ว
สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรอบสิบปีมานี้ จนทหารต้องเข้ามายึดอำนาจเมื่อปี 2549 มีการยุบพรรคการเมืองไปหลายพรรคก็มิได้เข็ดหลาบ ยังกระทำกรรมหนักขึ้นกว่าเดิม จนถึงขั้นจะเกิดเป็นสงครามกลางเมือง จนมีการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
แล้ว กกต.จะรับผิดชอบอย่างไร? จะปฏิรูปหรือแก้ไขการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งมีความสุจริตและเที่ยงธรรมได้อย่างไร?