ซีอีโอ"เอเอสทีวีผู้จัดการ" เปิดใจหลังสื่อในสังกัดถูก คสช. ออกคำสั่งตักเตือน เผยอยากขอความชัดเจนเรื่องการนำเสนอข้อมูลเท็จ ทำลายความน่าเชื่อถือ คสช. เพื่อตรวจสอบ ระบุพยายามเลี่ยงการเมืองเต็มที่แล้ว แต่หากถูกสั่งปิด ก็ไม่เสียใจ เผยก่อนประกาศกฎอัยการศึก เคยถูกยิงใส่ห้องทำงานมาแล้ว ด้าน ปธ.สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ อิงธรรมนูญสภาการฯ ระบุ คสช. ต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือ เขียนให้ชัด ผู้จัดการฯ ตีพิมพ์ข้อความอันเป็นเท็จอย่างไร พร้อมเอาเข้าที่ประชุมพิจารณาอย่างตรงไปตรงมา 29 ก.ค. นี้ หากผิดจริง ไม่ปกป้อง
จากกรณี เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 108/2557 เรื่องการตักเตือนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งฝ่าฝืนข้อห้าม โดยระบุว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 253 วันที่ 26 ก.ค.- 1 ส.ค. 57 ตีพิมพ์ข้อความหลายเรื่องด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคสช. ถือว่าเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของคสช. โดยในชั้นนี้เห็นสมควรตักเตือนผู้เขียนบทความ บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของหนังสือพิมพ์ดังกล่าว หากฝ่าฝืนอีก จะดำเนินการตามกฎอัยการศึก ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. 57 เป็นต้นมา และส่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายด้วย นอกจากนี้ ยังสั่งให้องค์กรวิชาชีพ ที่ผู้ฝ่าฝืนดังกล่าวข้างต้นเป็นสมาชิกดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพต่อบุคคลเหล่านั้น แล้วรายงานผลการดำเนินการให้ คสช. ทราบโดยเร็ว
นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนอยากขอรายละเอียดเพิ่มเติมจากทางคสช. ว่าข้อมูลในหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์ ส่วนใดที่เป็นเท็จ เพื่อที่ตนจะได้ดำเนินการตรวจสอบได้ทันที ตามคำสั่งของ คสช.
"ผมอยากขอความชัดเจนจากคสช. ว่าข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่ทำลายภาพลักษณ์คสช. จากหนังสือเอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ คสช. มีคำสั่งให้สอบสวน คือเรื่องอะไร ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารจะได้ทำการตรวจสอบได้ทันที เพื่อตอบสนองคำสั่งคสช. ซึ่งถ้าคสช. ไม่ระบุให้ชัดๆ ผมก็คงต้องคาดเดาเอาจากข่าวต่างๆ ในเล่ม ตั้งแต่เรื่องหลักคือ ข่าวปกเรื่อง เจนี่ อัศวเหม, ข่าวคสช. อนุญาตให้คุณยิ่งลักษณ์ และตระกูลชินวัตร เดินทางไปฝรั่งเศส เพื่ออวยพรวันเกิดคุณทักษิณ ข่าวรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับใหม่ ที่ให้อำนาจคสช. อยู่เหนือหน่วยงานนิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ, ข่าวการคืนตำแหน่งให้พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ, ข่าวโผแต่งตั้งสนช. และข่าวออกหมายจับ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย หรือ“รองโรมานอฟ”ซึ่งสื่อทุกฉบับ ล้วนแล้วแต่เสนอข่าวเหล่านี้ทั้งนั้น”นายจิตตนาถ กล่าว
ผู้บริหารของสื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ กล่าวต่อว่า ตนอยากเรียนว่า การนำเสนอข่าวการเมืองเหล่านี้ ย่อมต้องมีความเกี่ยวข้องกับ คสช. อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะคสช. เป็นศูนย์กลางของความเคลื่อนไหวทั้งหมด ดังนั้นถ้าคสช. ไม่ระบุให้ชัดเจน ตนที่จะต้องตรวจสอบการทำงานภายในองค์กรสื่อก็คงจะมองไม่เห็นภาพที่ คสช. มอง ยกเว้นในกรณีห้ามพูดถึงคสช. ในทุกกรณี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ข่าวก็จะไม่มีที่มาที่ไป และสำนักข่าวทุกเจ้าคงจะมีปัญหาในการเขียนข่าวอย่างแน่นอน
**พร้อมปรับปรุง-ไม่เสียใจถ้าถูกปิด
“เรื่องความร่วมมือนั้น ทางเราก็ให้เต็มที่มาตลอด โดยเฉพาะอะไรที่จะไปกระทบกระเทือนถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ในเรื่องที่ท่านไม่พอใจ อย่างกรณีการวางภาพปกเปรียบเทียบเรื่องบันเทิงสมัยก่อน ก็ได้หยุดไปโดยสิ้นเชิง และก็ได้หลีกเลี่ยงอย่างเต็มที่ ที่จะหยิบ หัวหน้าคสช. ขึ้นเป็นเรื่องปกใหญ่ อย่างฉบับที่แล้ว ก็เป็นเรื่อง“โค้ชเช”เช ยองซอก และปัญหาภายในสมาคมเทควันโด ส่วนฉบับนี้ก็เอาเรื่องดารา อย่างเจนี่ ขึ้นเป็นปกหลัก แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหาขึ้นมาอีกจนได้” นายจิตตนาถ เผย และว่า
“ยังไงก็ตาม ผมคงต้องเรียกประชุมให้มีการระมัดระวังมากขึ้นนะครับ ซึ่งหากในอนาคตหนังสือเล่มนี้จะโดนปิด ผมและทีมงานก็คงจะไม่เสียใจ เพราะถือว่าได้ทำหน้าที่สื่ออย่างเต็มที่ ไม่อายฟ้าดิน ไม่ผิดต่อจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชนแล้ว”
เมื่อถามต่อว่า ในฐานะผู้บริหารสื่อ รู้สึกอย่างไรกับวิกฤตครั้งนี้บ้าง เพราะถือว่าเป็นครั้งแรกที่คสช. ออกคำสั่งเตือนถึงสื่อ โดยระบุอย่างเฉพาะเจาะจง นายจิตตนาถ ตอบว่า เรื่องนี้ผมคงไม่รู้สึกอะไร แค่ต้องการความชัดเจน เพื่อจะได้ปรับปรุงให้ถูกใจคสช. ที่บริหารประเทศให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราเจอหลายเรื่องหนักกว่านี้มาแล้ว
** เผยถูกคุกคามก่อนมีอัยการศึก
นอกจากนี้ นายจิตตนาถ ยังเปิดเผยด้วยว่า ก่อนที่กองทัพจะประกาศกฎอัยการศึก เมื่อวันที่ 20 พ.ค. ตนก็เคยเจอคนยิงปืนขู่เข้าห้องทำงานมาแล้ว โดยตนเพียงให้ดำเนินการแจ้งความเพื่อลงบันทึกประจำวันไว้ เพราะไม่คาดหวังว่าจะสามารถจับใครได้ในสถานการณ์ ณ ขณะนั้น
“ส่วนตัวผมการคุกคามเรื่องสวัสดิภาพนั้น ที่เจอมากับตัว ก็ไม่นาน ก่อนประกาศกฎอัยการศึกสองสามวัน มีมืออาชีพใช้ปืนติดลำกล้องเล็งจากสะพานแห่งหนึ่งเข้ามาที่ห้องทำงานผม ก็ได้ลงบันทึกประจำวันแล้ว แต่ไม่ได้หวังอะไรอยู่แล้ว จึงไม่ได้ให้ข่าวก่อนหน้านี้ และไม่อยากให้ผู้ใหญ่ต้องเป็นกังวล เพราะกังวลไปก็ไร้ประโยชน์
“ซึ่งก็คิดว่าน่าจะเป็นฝีมือผู้มีอิทธิพล ที่อาจจะไปเคยวิจารณ์พาดพิงถึงเขาออกสื่อละครับ ส่วนลักษณะที่เป็นปืนติดลำกล้อง ก็คงต้องเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนมา แต่ก็เป็นแค่การยิงขู่เท่านั้น แต่ถ้าตอนนั้นผมนั่งทำงานอยู่ ก็ไม่แน่เหมือนกัน”นายจิตตนาถ กล่าวทิ้งท้าย
**ขอคสช.ระบุความผิดให้ชัด
ด้านนายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Chakkrish Permpoolหลังจากคสช. ออกคำสั่ง ฉบับที่ 108 ตักเตือน “เอเอสทีวีผู้จัดการสุดสัปดาห์”โดยอ้างฉบับล่าสุด ตีพิมพ์ข้อมูลเท็จหลายเรื่อง มีเจตนาทำลายความน่าเชื่อถือของคสช. พร้อมสั่งให้สมาคมสื่อฯ สอบจริยธรรมแล้วรายงานผลให้ทราบโดยเร็วนั้น
ในฐานะองค์กรอิสระ ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลกันเองในด้านจริยธรรม ในกรณีเช่นนี้ ฐานะของคสช. คือ ผู้เสียหาย หรือผู้ร้องเรียน ฐานะของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ คือ ผู้ถูกร้องเรียน ซึ่งกระบวนการในการสอบข้อเท็จจริงต้องเป็นไปตามธรรมนูญสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ นั่นคือ การแจ้งเป็นหนังสือ พร้อมด้วยพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า ผู้ถูกร้องเรียนละเมิดจริยธรรมในเรื่องใด เพื่อให้คณะกรรรมการได้ดำเนินการสอบสวนตามประเด็น หรือข้อความที่เป็นการละเมิดจริยธรรม ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติในประกาศฉบับที่ 103 ที่กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเรื่องให้องค์กรวิชาชีพ ที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพ
คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะได้พิจารณาคำสั่งนี้อย่างละเอียด รอบคอบอีกครั้ง ในการประชุมวันอังคารที่ 29 ก.ค.นี้
"ในฐานะส่วนตัว ผมยืนยันตามที่ได้ให้คำมั่นกับปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะตัวแทน คสช. ว่า เราจะทำหน้าที่อย่างสุจริต ตรงไปตรงมา และจะไม่ปกป้องกันเองอย่างเด็ดขาด หากปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ กระทำละเมิด หรือประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพข้อใด สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะดำเนินการตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มที่ และจะแจ้งผลการพิจารณาให้กับผู้ร้องเรียนทราบโดยเร็ว"ประธานสภาการหรังสือพิมพ์แห่งชาติ ระบุ
อนึ่ง นายจักร์กฤษ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อก่อนหน้านี้ ในประเด็นเดียวกันว่า จะดำเนินการตามระเบียบปกติที่เคยเป็นมา ตามที่สภาฯ ได้เคยหารือกับคสช. ก่อนหน้านี้ ซึ่งเราก็แสดงให้เห็นว่า เราสามารถตักเตือนดูแลกันเองได้ การที่คสช. ประกาศคำสั่งเตือนหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ครั้งล่าสุดนี้ ยังคงถือเป็นข้อกล่าวหาอยู่ ซึ่งทางสภาฯจะได้รับเรื่องไว้ และพร้อมดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริง หากพบว่ามีความผิดจริงก็จะมีมาตรการต่อไป
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นตนได้พูดคุยหารือกับทางหนังสือพิมพ์ผู้จัดการฯ แล้ว ซึ่งทางหนังสือพิมพ์ผู้จัดการฯเอง ก็มีความกังวล เกรงว่าสภาฯ จะเร่งรัดรีบร้อนตามคำสั่งของคสช. ที่ระบุว่า ให้องค์กรวิชาชีพที่ผู้ฝ่าฝืนเป็นสมาชิกดำเนินการสอบสวนทางจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพกับบุคคลเหล่านั้น แล้วรายงานผลการดำเนินการให้คสช. ทราบโดยเร็วนั้น ทางสภาฯ คงจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ ก่อนดำเนินการใดๆ อาจจะไม่ได้เร็วที่สุดอย่างที่ คสช. ต้องการ.