xs
xsm
sm
md
lg

ชะตากรรมสื่อแบบเรา! และความเพียรอันไม่มีที่สิ้นสุด !

เผยแพร่:   โดย: ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที

ขายปุ๋ยอินทรีย์ก็ขายแล้ว ปุ๋ยที่ทำให้แผ่นดินมีชีวิต ของลุงจำลอง

เครื่องทำน้ำด่างก็ขายแล้ว ..ขายน้ำมันมะพร้าวก็ขายแล้ว

ข้าวสาร ยาอม ยาดม กะปิ น้ำปลา มีครบที่สถานีเอเอสทีวี ทีวีของประชาชน

พนักงานทุกคนร่วมใจกันทั้งพี่ๆน้องๆ ตั้งแต่ผู้ประกาศข่าว ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพ โปรดิวเซอร์ ดิ้นรนกันทุกหนทางเพื่อให้มีรายได้มาหล่อเลี้ยงสถานีโทรทัศน์กันในแต่ละเดือน

ผมเห็นน้องผู้ประกาศรุ่นใหม่ของเรา ยืนถือกล่องรับบริจาคอยู่บริเวณทางขึ้นรถไฟฟ้าที่ถนนสีลม

เรามองน้องๆให้กำลังใจเขา แต่ทำไมในอกมันมีอะไรจุกแน่นขึ้นมาวะ!

น้ำตามันไหลออกมาจากไหนกันนี่ เดินก้มหน้าน้ำตาซึมไม่ให้น้องๆเห็น

เกือบสิบปีที่สถานีโทรทัศน์ของเราซัดกับระบอบทักษิณ ชะตากรรมก็อย่างที่เห็นและรับรู้แหละครับ

คดีความมีกันแทบทุกคนในหมู่ผู้ประกาศ คุณสนธิถูกยิงถูกทำร้าย รายได้แต่ละเดือนของทางสถานีก็ลำบาก

เห็นพี่สุนันท์ ศรีจันทรา สื่อมวลชนอาวุโส พี่ชายที่แสนดีมายืนเป็นเพื่อนน้องๆผู้ประกาศถือกล่องรับบริจาค เราเช็ดน้ำตาที่ซึมหากาแฟกินสักถ้วยวะ ฝืนยิ้มถ่ายรูปกับประชาชน พี่น้องผู้มีพระคุณของทางสถานี ที่มาช่วยขายของเป็นกำลังใจทั้งที่สีลม และที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต

ได้คุยกับคุณแอนจินดารัตน์ คุณนงวดี เดินขายน้ำมันมะพร้าว พร้อมทีมขายชุดละ10คน เดินตั้งแต่วงเวียนโอเดียน มาถึงโรงแรมแกรนด์ไชน่าเยาวราช เข้าออกตามซอกซอย ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงบ่ายสอง ทีมผมพนักงานขายสิบคน คุณนงวดีนับเงินได้สี่หมื่นกว่าบาท ทีมขายของผมจบปริญญาโท3 คนจบจากเมืองนอกและมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศด้านสื่อสารมวลชนจบมหาลัยธรรมศาสตร์3คน จุฬาลงกรณ์1 คน รามคำแหง2คน

เราเดินขายตั้งแต่9โมงเช้าเดินถึงบ่ายสองทั่วเยาวราช ได้เงินมาสี่หมื่นกว่าบาท

ผมถามพี่ๆที่ซื้อน้ำมันมะพร้าวว่า ที่ซื้อเพราะอะไร ชอบในคุณภาพของน้ำมันมะพร้าวนั่นก็เรื่องหนึ่ง ชื่นชอบสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี นั่นก็เรื่องหนึ่ง

“ซื้อของช่วยพวกลื้อนี่ เพราะทนดูไม่ได้ ..สงสาร.. เดินขายนี่มันจะได้สักกี่บาท..ไปเอามาหนึ่งลัง ”

มันไม่ใช่หลักการของเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการค้าขายเลย

มันเป็นหัวใจที่พี่น้องประชาชนเขาเมตตาในชะตากรรม ของคนที่มีวิชาชีพสื่ออย่างพวกเรา!


ผมเห็นน้องๆผู้ประกาศของสถานีเอเอสทีวี ปอกทุเรียนขาย เลือดเปื้อนมือก็ทนทำกันอยู่

บ้านพระอาทิตย์วันนี้หน้าห้องที่เคยเป็นที่แถลงข่าวของแกนนำพันธมิตรเมื่อห้าหกปีที่แล้ว กลายเป็นโรงผลิตแซนวิชขาย

นี่คือรางวัลของชีวิตใช่ไหม!!!

สิบปีที่เราสร้างสถานีเอเอสทีวีกันมา อย่าได้พูดถึงเงินออม และโบนัสของพนักงานเลย

คุณแอนจินดารัตน์เขาบอกว่า “ มันสะกดอย่างไงนะคำว่าโบนัส ไม่รู้จักมานานแล้ว แต่เราก็มีความสุข ที่ปอกทุเรียนขายเลือดซิบๆ ทั้งทุเรียนดิบ ทุเรียนห่าม พี่น้องซื้อไปก็ไม่บ่นเลยสักคำ

ดูซิน้ำใจที่พี่น้องเมตตาต่อพวกเราชาวเอเอสทีวี !

มาดูที่กองบก.ของทางสถานีบ้าง ฝ่ายการเมืองเห็นพี่หญิง( พี่อัมพา สันติเมทะนีดล) มานั่งทำงานทุกวัน เพื่อเป็นกำลังใจให้น้องๆนักข่าวที่เข้ามาใหม่ พี่หญิงบอกว่ามีน้องๆย้ายไปอยู่ที่สถานีอื่นหลายคนแต่ เราก็มีน้องๆเข้ามามาใหม่

ก่อนหน้าที่คสช! จะรัฐประหาร มีคำสั่งปิดสถานีของเรา มีน้องๆผู้สื่อข่าวเข้ามาใหม่ส่วนหนึ่ง แม้ไม่มีพื้นที่ออกอากาศ เราก็เตรียมน้องๆคนรุ่นใหม่ ให้รู้จักการรายงานข่าว การจับประเด็นข่าว การแข่งขันในการนำเสนอความจริงที่มากกว่าสถานีโทรทัศน์อื่นๆ การวางตัวที่เหมาะสมในวิชาชีพสื่อ เพราะตราบใดที่มนุษย์ต้องกินข้าว ประชากรคุณภาพของประเทศไทย ก็ต้องเสพข่าวและปัญญาอยู่เสมอ

ทุกวันก็จะมีพี่น้องประชาชนถามว่า.. ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อ?

ชะตากรรมของประเทศภายใต้ คสช. จะเป็นอย่างไงต่อ?

เราก็ตอบไม่ได้ครับ...ดูกันเอาเองนะครับพี่น้อง!!!!

แต่นึกถึงสิ่งที่ท่านทูต สุรพงษ์ ชัยนาม เคยพูดเอาไว้ว่าบนโต๊ะกาแฟว่า

ความสมานฉันท์ ปรองดองไม่มีใครปฏิเสธหรอก แต่จะเกิดขึ้นได้คุณ (ผู้มีอำนาจ) ต้องกำจัดสิ่งเลวร้ายที่เป็นสาเหตุของความย่อยยับแตกแยก หากไม่จัดการกับสิ่งเลวร้ายความสมานฉันท์ปรองดองจะเกิดขึ้นไม่ได้ อำนาจรัฐในตัวมันเองไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่อยู่ที่คนใช้มัน ใช้ในทางที่ดี ทำเพื่อผลประโยชน์คนส่วนใหญ่ก็แก้ปัญหาชาติได้ หากทำเพื่อตัวเองก็ติดกับดักแน่นอน หายนะก็จะเกิดขึ้น

เอเอสทีวีจะอยู่อย่างไรพี่น้องประชาชนถามมาทุกวันที่พบหน้า

เจอกันก็ถาม โทรศัพท์มาถาม ไม่รู้จะตอบคำถามพี่น้องอย่างไร 60 กว่าวันแล้วที่มีคำสั่งปิดสถานีเอเอสทีวีเพื่อให้ความร่วมมือกับคสช เพื่อให้เขาทำเพื่อชาติบ้านเมือง!

ชีวิตมันก็ต้องมีความหวัง.. หากไม่มีความหวังก็คือหมดลมหายใจ

หกสิบกว่าวันที่รอสถานีเปิด... เอาเรื่องพระมหาชนก ที่ในหลวงทรงใช้เวลาเขียน 11 ปี มาบอกเล่าให้พี่น้องฟัง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่รอคอยเหมือนกับเราชาวเอเอสทีวี

ตอนที่พระมหาชนก เรือล่มในทะเลต้องว่ายน้ำ7 วัน7 คืน แม้มองไม่เห็นฝั่ง ( แต่รู้ว่าทะเลต้องมีฝั่ง) ก่อนที่เรือจะล่มพระมหาชนกเตรียมความพร้อมนำเอาเศษผ้า เอาน้ำมัน มาทาห่อหุ้มกายเอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อของสัตว์ในทะเล ว่ายน้ำเจ็ดวันเจ็ดคืน เทวดาก็ถามพระมหาชนกว่า เมื่อมองไม่เห็นฝั่งแล้วจะพยายามว่ายอยู่ทำไม ?

พระมหาชนกตรัสตอบว่า

“ เราไตร่ตรองเห็นปฏิปทาแห่งโลก และอานิสงส์ แห่งความเพียร เพราะฉะนั้นถึงจะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร และ เราทำความพยามยาม แม้ตายก็จักพ้นครหา บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ ญาติ เทวดา และบิดา มารดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง”

พี่น้องครับ...11 ปีที่ในหลวงทรงใช้เวลาเขียนเรื่องนี้ มีธรรมซ่อนอยู่ ให้กำลังใจเรา ถึงการทำความเพียรอันบริสุทธิ์ให้ถึงพร้อม

เราจะยังความเพียรอันบริสุทธิ์ให้ถึงพร้อมในแผ่นดินนี้ครับ!!!

“จะไม่อยู่เพื่อหายใจทิ้งไปวันๆในประเทศนี้แน่นอน”

ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที
รายการสภากาแฟ-สภาประชาชน

กำลังโหลดความคิดเห็น