โดย...ไพรัตน์ แย้มโกสุม
มีสำนวนไทยโบราณอยู่ประโยคหนึ่ง “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” หมายความว่า ถ้าหัวหน้าไม่กระทำชั่ว ลูกน้องก็ไม่กล้าทำชั่วเช่นกัน
ในทำนองเดียวกัน ถ้าหัวหน้าทำดี มีหรือลูกน้องจะแตกแถว มีแต่จะทำดีเยี่ยงหัวหน้า ดั่งเงาหัวหน้าปานนั้น
สำนวนไทยดังกล่าว มาตรงกับเหตุการณ์บ้านเมืองช่วงนี้เป๊ะเลย นั่นคือ...หัวหน้า คสช.เห็นความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ ควรจะเป็นวิชาเฉพาะ จัดการเรียนการสอนในทุกระดับการศึกษา
วิชาประวัติศาสตร์ (และหน้าที่พลเมือง) อยู่นอกสายตามานานแล้ว กำลังจะกลับมามีบทบาทใหม่ มีความสำคัญและศักดิ์ศรีเท่ากับวิชาอื่นๆ จึงเกิดวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย (ถ้าหน่วยงานรัฐก็เห็นด้วยเต็มร้อย) ก็ว่ากันไป เป็นธรรมชาติธรรมดาของคนมีปัญญา การมีความเห็นต่าง หรือมีความขัดแย้ง เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง
ในบทความนี้ จะไม่เข้าไปยุ่งในรายละเอียด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักวิชาการประวัติศาสตร์ จะยังไงก็ต้องเปิดประตูรับฟัง เพราะเขาเชี่ยวชาญด้านนั้นโดยเฉพาะ
บทความของผม ก็จะเป็นแนวของผม ไม่ค่อยเหมือนใคร คือ “เลื่อนไหล ผ่อนคลาย สบาย” หากจะวิพากษ์ใคร ก็จะเป็นแบบสามขั้นตอน คือ “หยิกแกมหยอก ตอกดังโป๊ก โขกให้วาย” สามขั้นตอนดังกล่าว ยังไม่ไปถึงไหน ยังต้วมเตี้ยมอยู่แค่ชั้นแรกเท่านั้น เพราะผมเป็นคนใจอ่อน “รักดอกจึงหยอกเจ้า” ประมาณนั้น
ท่านผู้รู้ทั้งหลายต่างก็บอกว่า “การวิพากษ์วิจารณ์ หรือพูดกันแรงๆ เป็นการชี้ขุมทรัพย์ให้” จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะขอบคุณผู้ชี้ขุมทรัพย์ มิใช่ไปกล่าวโทษเขา ถ้าทำเช่นนั้น ก็แปลกคนแล้ว อาจเป็นคนผิดปกติ ควรต้องรีบพบหมอโดยด่วน
ขนาดคนปกติ ยังพบหมอเป็นประจำเดือนละครั้งสองครั้ง หมอบางคนก็ขยั้นขยันตรวจคนไข้ไวมากนาทีละคนสองคน กวาดสายตาดูข้อมูลคนไข้ ลงความเห็นดีๆๆ อะไรก็ดีไปหมด เขียนใบสั่งยาเสร็จตรวจคนต่อไป ดีๆๆ เหมือนเดิม
“ทำไมถึงตรวจเร็วอย่างนั้นคุณหมอ?” คนป่วยสงสัย? ถามตรงๆ คุณหมอคงไม่ตอบหรอก ต้องใช้วิธีเลียบๆ เคียงๆ ถามหมอและพยาบาลที่ว่างพอจะให้ข้อเท็จจริง ก็ได้ความว่า... “ต้องทำเวลา ทำสถิติตรวจให้ได้มากที่สุด ถือเป็นผลงานตามนโยบาย”
ผมเห็นใจหมอที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะมีคนไข้รออยู่มากเหลือเกิน วันละหลายร้อยคนต่อหมอออกตรวจหนึ่งคน และผมก็เห็นใจคนไข้ที่หวังพึ่งหมอ
ผลที่ตามมา หมอทำงานดี เพราะมีสถิติตรวจคนไข้ได้มาก นี่คือผลดี นี่คือผลงาน ส่วนผลเสียก็คือ ความเป็นหมอเป็นแพทย์ลดลง เพราะสวนกับคำสอนของพระบิดาการแพทย์ไทยที่ว่า “ให้เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นลำดับต้น ประโยชน์ส่วนตนเป็นลำดับรอง” และผลเสียอีกอันหนึ่งคือ คนไข้จะลดลงเรื่อยๆ ขอเปลี่ยนไปรักษากับหมอคนอื่น หรือหากหมอไวเปิดคลินิกก็จะกลายเป็น “คลินิกเงียบสงัด ลมพัดวังเวง”
ถ้ามองให้ลึกๆ เข้าไปอีก อาจเป็นแผนทำลายโรงพยาบาลของรัฐ เพื่อให้ประชาชนมองเห็นความอ่อนแอด้อยคุณภาพของหมอ แล้วแห่ไปโรงพยาบาลเอกชนที่บริการเป็นเลิศ (เสียเงินมากหน่อยนะ) โดยมีนายทุนใหญ่ระดับขายชาติอย่างไร้ยางอายอยู่เบื้องหลัง มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่หลายแห่งแล้ว
เมื่อรู้จักหมอไม่ค่อยประทับใจ ก็ควรรู้จักหมอที่โดนใจบ้าง หมอดีอย่างนี้ก็มีอยู่ทุกโรงพยาบาลนั่นแหละ นโยบายของรัฐจะมาไม้ไหนก็รับได้ ทำไปตามหน้าที่เป็นปกติ แต่จิตวิญญาณแพทย์ยังอยู่อย่างมั่นคง
ตรวจคนไข้บางคนก็หนึ่งนาที บางคนก็หลายนาที แล้วแต่อาการของโรค หมอประเภทนี้เป็นหมอมีปาก จึงรู้จักถามอาการคนไข้ และแนะนำคนไข้ บางรายถึงกับดุเพราะคนไข้ไม่ปฏิบัติตามที่หมอแนะนำ เช่น ไม่ควบคุมอาหาร ไม่ลดหวานมันเค็ม เป็นต้น ทำให้อาการของโรคหนักขึ้น เห็นคนไข้ทุกคนอยู่ในสายตาหมออย่างนี้ งานนโยบายก็ไม่เสีย แต่งานดูแลรักษาคนไข้เป็นเลิศ จึงเป็นที่โดนใจของคนไข้ทุกคน คนไข้ไร้กังขา ผลตามมาของหมอประเภทนี้ คนไข้เพิ่มขึ้น ถ้าเปิดคลินิกคนไข้ก็ตามไปที่คลินิกอีก ทำให้โรงพยาบาลมีชื่อเสียงเพราะมีหมอดี เมื่อหมอดี นางพยาบาล คนงานต่างๆ ก็พลอยดีไปด้วย นี่คือหัวหน้าหรือหมอดี ลูกน้องก็ดีเป็นเงาตามตัวหัวหน้า
“พึงชมคนที่ควรชม พึงข่มคนที่ควรข่ม” ในที่นี้จะไม่ข่มใครหรอก ขออนุญาตชมหน่อยคือ “ชมหมอดีที่โดนใจประชาชน”
ข้อมูลหลักฐานประวัติศาสตร์แต่ละประเภท เช่น หลักฐานปฐมภูมิ หลักฐานทุติยภูมิ หลักฐานตติยภูมิ เมื่อมีหลักฐานแล้ว ก็มีวิธีการทางประวัติศาสตร์ คือกระบวนการในการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญดังนี้...การรวบรวมและคัดเลือกหลักฐาน, การสังเคราะห์และประเมินคุณค่าหลักฐาน, การตีความ เป็นต้น
เมื่อเข้าสู่ผิววิชาการนิดๆ ก็เริ่มจะเครียดแล้ว ให้โลกสัมผัสจอช่วยเหลือก็แล้วกัน อยู่อย่างเลื่อนไหล ผ่อนคลายสบายๆ ฟินกว่า
ฉลาดตื่นรู้ คนที่สนใจประวัติศาสตร์ส่วนมากเป็นปราชญ์ ปราชญ์ย่อมไม่หลับใหล ไม่หลับยืน ปราชญ์ย่อมตื่นรู้อยู่เสมอ คือรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ท่านเนห์รู ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของชาวอินเดียและของโลก ได้กล่าวเกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของประวัติศาสตร์ไว้ว่า...
“ศึกษาอดีต เพื่อรู้ปัจจุบัน เข้าใจปัจจุบัน เพื่อหยั่งการณ์อนาคต”
ประวัติศาสตร์มีความสำคัญต่อผู้มีอาชีพสอน ข้าราชการ (โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ) ผู้นำทางการเมือง นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง รัฐบุรุษ นักเคลื่อนไหวหรือนักต่อสู้ภาคประชาชน นักกฎหมาย แพทย์พยาบาล นักศึกษา ฯลฯ
มีผู้กล่าวว่า History Never Repeats Itself หมายความว่า มิได้ซ้ำตัวเองในรายละเอียด เพราะไม่มีกาลเทศะ บุคคล และเหตุการณ์ตอนใดเหมือนกัน แต่อาจมีสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน อันนำไปสู่ผลซึ่งคล้ายคลึงกันด้วย ดังเช่น...การปฏิวัติมีสาเหตุทำนองเดียวกัน ทั้งในอังกฤษปี 1640 ฝรั่งเศสปี 1789 และรัสเซียปี 1917
รัฐบุรุษสำคัญๆ มักอ่านหนังสือประวัติศาสตร์อย่างละเอียดทุกแง่มุม เช่น นโปเลียน เชอร์ชิลล์ แม้แต่ฮิตเลอร์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น Uneducated Men of Gening และทำให้เกิดผลร้ายขึ้น ถ้าตีความหมายผิด และนักประวัติศาสตร์นำไปใช้ในทางที่ผิด
Bacon ยังกล่าวว่า Histories Make Men Wise
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ให้อยู่กับปัจจุบัน อดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง” มิได้หมายความว่า อดีตและอนาคตไม่สำคัญ ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่...ปัจจุบันก็คืออดีตและอนาคตนั่นแล
ทำปัจจุบันให้ดี อดีตและอนาคตก็จะดีไปด้วย
ท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ท่านเป็นนักการทหาร ซึ่งสนใจประวัติศาสตร์อยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะให้รื้อวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นมาหรือ?
เพียงแต่ว่า ถ้าตีความประวัติศาสตร์ผิดและนำไปใช้ในทางที่ผิด ผลร้ายก็จะเกิดขึ้นแก่แผ่นดินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสุขและความสงบสันติ ที่ท่านปรารถนาจะมอบให้คนไทยและแผ่นดินไทย ก็จะกลายเป็นเยี่ยวไม่สุดอีกครั้ง?
ผ่อนคลายเป็นอยู่
รับรู้ปล่อยวาง
แม้จะอยู่คนละแถว ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือสัมพันธ์แนบแน่น
รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็คือรับรู้ธรรมะ เพราะธรรมะคือทุกสิ่งทุกอย่าง
ผู้ใดมี “สติ” อยู่ทุกเวลา ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเมื่อตามองเห็นรูป...ก็เป็นธรรมะ หูได้ยินเสียง...ก็เป็นธรรมะ จมูกได้กลิ่น...ก็เป็นธรรมะ ลิ้นได้รส...ก็เป็นธรรมะ ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใด...เป็นธรรมะเมื่อนั้น อะไรๆ ก็เป็นธรรมะทั้งนั้น
ปล่อยวาง สมมติเราถือไม้อันหนึ่ง มันสั้นหรือว่ามันยาว? ความจริงไม้อันนี้ธรรมชาติแท้ๆ ของมันมีแค่นี้เท่านี้ มันไม่สั้นและก็ไม่ยาว ความต้องการที่จะให้ไม้นี้มันสั้นเข้าหรือยาวออก นั่นแหละ “ทุกข์” ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรายอมตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดที่นั่น
“การยอมก็คือการปล่อยวาง หรือการปล่อยวางก็คือการยอม”
การสัมผัสหรือการกระทบกันระหว่างอายตนะภายใน ภายนอก และวิญญาณ เช่น จักขุสัมผัส ถ้าปล่อยวาง รูปก็สักแต่ว่ารูป ไม่เกิดสุขเกิดทุกข์-จบ นี่คือคุณค่าของการปล่อยวาง หรือยอมมันซะ อย่าไปสะเงาะสะแงะกับมันให้สติลด (หรืออยากล้อเล่น เขาส่งมาดอกหนึ่ง เราคืนให้สองสามดอกก็ได้ เพื่อทดสอบความนิ่งแห่งใจเรา)
เมื่อรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วสามารถปล่อยวางหรือยอมมันได้ ความเป็นอยู่ของเราก็ปกติ จึงผ่อนคลายสบายๆ ฟินๆ ได้ การผ่อนคลายหรือการไม่เครียด เป็นยาวิเศษชั้นเลิศเชียวนะ (หมอและพระบอก)
ประวัติศาสตร์ (ประ-หวัด-ติ-สาด)
ฉลาดตื่นรู้
ผ่อนคลายเป็นอยู่
รับรู้ปล่อยวาง
ขณะที่เขียนบทความนี้ เป็นปัจจุบันกว่าจะได้ตีพิมพ์ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว อนาคตที่อยู่ไกลโพ้นอาจจะขยับมาเป็นปัจจุบันแล้วก็ได้ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่นนี้ไม่สิ้นสุด
ถ้าถามว่า...ประวัติศาสตร์คืออดีตใช่ไหม? ประวัติศาสตร์คือปัจจุบันใช่ไหม? ประวัติศาสตร์คืออนาคตใช่ไหม? ทุกคนมีสิทธิตอบไปต่างๆ นานา (ใช่หรือไม่ใช่) แต่ผมขอตอบว่า ใช่ ทุกข้อ
ปราชญ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า...หากท่านต้องการเปลี่ยนแปลงโลก ท่านต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน เพราะนั่นคือธรรมชาติของสรรพสิ่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จะต้องเกิดในตัวท่านก่อน ท่านจึงจะแพร่กระจายไปสู่หัวใจผู้อื่นได้ ท่านต้องเริ่มเริงระบำก่อน แล้วท่านจึงจะเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ว่า ผู้อื่นก็เริ่มเริงระบำไปกับท่านด้วย
มิเช่นนั้น อาจจะเกิดโศกนาฏกรรมที่ว่า...คนตาบอดกำลังนำทางให้คนตาบอดอีกคน...แล้วทั้งคู่ก็ตกลงไปในบ่อน้ำ
มีสำนวนไทยโบราณอยู่ประโยคหนึ่ง “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก” หมายความว่า ถ้าหัวหน้าไม่กระทำชั่ว ลูกน้องก็ไม่กล้าทำชั่วเช่นกัน
ในทำนองเดียวกัน ถ้าหัวหน้าทำดี มีหรือลูกน้องจะแตกแถว มีแต่จะทำดีเยี่ยงหัวหน้า ดั่งเงาหัวหน้าปานนั้น
สำนวนไทยดังกล่าว มาตรงกับเหตุการณ์บ้านเมืองช่วงนี้เป๊ะเลย นั่นคือ...หัวหน้า คสช.เห็นความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ ควรจะเป็นวิชาเฉพาะ จัดการเรียนการสอนในทุกระดับการศึกษา
วิชาประวัติศาสตร์ (และหน้าที่พลเมือง) อยู่นอกสายตามานานแล้ว กำลังจะกลับมามีบทบาทใหม่ มีความสำคัญและศักดิ์ศรีเท่ากับวิชาอื่นๆ จึงเกิดวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย (ถ้าหน่วยงานรัฐก็เห็นด้วยเต็มร้อย) ก็ว่ากันไป เป็นธรรมชาติธรรมดาของคนมีปัญญา การมีความเห็นต่าง หรือมีความขัดแย้ง เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง
ในบทความนี้ จะไม่เข้าไปยุ่งในรายละเอียด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักวิชาการประวัติศาสตร์ จะยังไงก็ต้องเปิดประตูรับฟัง เพราะเขาเชี่ยวชาญด้านนั้นโดยเฉพาะ
บทความของผม ก็จะเป็นแนวของผม ไม่ค่อยเหมือนใคร คือ “เลื่อนไหล ผ่อนคลาย สบาย” หากจะวิพากษ์ใคร ก็จะเป็นแบบสามขั้นตอน คือ “หยิกแกมหยอก ตอกดังโป๊ก โขกให้วาย” สามขั้นตอนดังกล่าว ยังไม่ไปถึงไหน ยังต้วมเตี้ยมอยู่แค่ชั้นแรกเท่านั้น เพราะผมเป็นคนใจอ่อน “รักดอกจึงหยอกเจ้า” ประมาณนั้น
ท่านผู้รู้ทั้งหลายต่างก็บอกว่า “การวิพากษ์วิจารณ์ หรือพูดกันแรงๆ เป็นการชี้ขุมทรัพย์ให้” จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะขอบคุณผู้ชี้ขุมทรัพย์ มิใช่ไปกล่าวโทษเขา ถ้าทำเช่นนั้น ก็แปลกคนแล้ว อาจเป็นคนผิดปกติ ควรต้องรีบพบหมอโดยด่วน
ขนาดคนปกติ ยังพบหมอเป็นประจำเดือนละครั้งสองครั้ง หมอบางคนก็ขยั้นขยันตรวจคนไข้ไวมากนาทีละคนสองคน กวาดสายตาดูข้อมูลคนไข้ ลงความเห็นดีๆๆ อะไรก็ดีไปหมด เขียนใบสั่งยาเสร็จตรวจคนต่อไป ดีๆๆ เหมือนเดิม
“ทำไมถึงตรวจเร็วอย่างนั้นคุณหมอ?” คนป่วยสงสัย? ถามตรงๆ คุณหมอคงไม่ตอบหรอก ต้องใช้วิธีเลียบๆ เคียงๆ ถามหมอและพยาบาลที่ว่างพอจะให้ข้อเท็จจริง ก็ได้ความว่า... “ต้องทำเวลา ทำสถิติตรวจให้ได้มากที่สุด ถือเป็นผลงานตามนโยบาย”
ผมเห็นใจหมอที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะมีคนไข้รออยู่มากเหลือเกิน วันละหลายร้อยคนต่อหมอออกตรวจหนึ่งคน และผมก็เห็นใจคนไข้ที่หวังพึ่งหมอ
ผลที่ตามมา หมอทำงานดี เพราะมีสถิติตรวจคนไข้ได้มาก นี่คือผลดี นี่คือผลงาน ส่วนผลเสียก็คือ ความเป็นหมอเป็นแพทย์ลดลง เพราะสวนกับคำสอนของพระบิดาการแพทย์ไทยที่ว่า “ให้เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นลำดับต้น ประโยชน์ส่วนตนเป็นลำดับรอง” และผลเสียอีกอันหนึ่งคือ คนไข้จะลดลงเรื่อยๆ ขอเปลี่ยนไปรักษากับหมอคนอื่น หรือหากหมอไวเปิดคลินิกก็จะกลายเป็น “คลินิกเงียบสงัด ลมพัดวังเวง”
ถ้ามองให้ลึกๆ เข้าไปอีก อาจเป็นแผนทำลายโรงพยาบาลของรัฐ เพื่อให้ประชาชนมองเห็นความอ่อนแอด้อยคุณภาพของหมอ แล้วแห่ไปโรงพยาบาลเอกชนที่บริการเป็นเลิศ (เสียเงินมากหน่อยนะ) โดยมีนายทุนใหญ่ระดับขายชาติอย่างไร้ยางอายอยู่เบื้องหลัง มีให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่หลายแห่งแล้ว
เมื่อรู้จักหมอไม่ค่อยประทับใจ ก็ควรรู้จักหมอที่โดนใจบ้าง หมอดีอย่างนี้ก็มีอยู่ทุกโรงพยาบาลนั่นแหละ นโยบายของรัฐจะมาไม้ไหนก็รับได้ ทำไปตามหน้าที่เป็นปกติ แต่จิตวิญญาณแพทย์ยังอยู่อย่างมั่นคง
ตรวจคนไข้บางคนก็หนึ่งนาที บางคนก็หลายนาที แล้วแต่อาการของโรค หมอประเภทนี้เป็นหมอมีปาก จึงรู้จักถามอาการคนไข้ และแนะนำคนไข้ บางรายถึงกับดุเพราะคนไข้ไม่ปฏิบัติตามที่หมอแนะนำ เช่น ไม่ควบคุมอาหาร ไม่ลดหวานมันเค็ม เป็นต้น ทำให้อาการของโรคหนักขึ้น เห็นคนไข้ทุกคนอยู่ในสายตาหมออย่างนี้ งานนโยบายก็ไม่เสีย แต่งานดูแลรักษาคนไข้เป็นเลิศ จึงเป็นที่โดนใจของคนไข้ทุกคน คนไข้ไร้กังขา ผลตามมาของหมอประเภทนี้ คนไข้เพิ่มขึ้น ถ้าเปิดคลินิกคนไข้ก็ตามไปที่คลินิกอีก ทำให้โรงพยาบาลมีชื่อเสียงเพราะมีหมอดี เมื่อหมอดี นางพยาบาล คนงานต่างๆ ก็พลอยดีไปด้วย นี่คือหัวหน้าหรือหมอดี ลูกน้องก็ดีเป็นเงาตามตัวหัวหน้า
“พึงชมคนที่ควรชม พึงข่มคนที่ควรข่ม” ในที่นี้จะไม่ข่มใครหรอก ขออนุญาตชมหน่อยคือ “ชมหมอดีที่โดนใจประชาชน”
ข้อมูลหลักฐานประวัติศาสตร์แต่ละประเภท เช่น หลักฐานปฐมภูมิ หลักฐานทุติยภูมิ หลักฐานตติยภูมิ เมื่อมีหลักฐานแล้ว ก็มีวิธีการทางประวัติศาสตร์ คือกระบวนการในการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญดังนี้...การรวบรวมและคัดเลือกหลักฐาน, การสังเคราะห์และประเมินคุณค่าหลักฐาน, การตีความ เป็นต้น
เมื่อเข้าสู่ผิววิชาการนิดๆ ก็เริ่มจะเครียดแล้ว ให้โลกสัมผัสจอช่วยเหลือก็แล้วกัน อยู่อย่างเลื่อนไหล ผ่อนคลายสบายๆ ฟินกว่า
ฉลาดตื่นรู้ คนที่สนใจประวัติศาสตร์ส่วนมากเป็นปราชญ์ ปราชญ์ย่อมไม่หลับใหล ไม่หลับยืน ปราชญ์ย่อมตื่นรู้อยู่เสมอ คือรู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ท่านเนห์รู ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของชาวอินเดียและของโลก ได้กล่าวเกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของประวัติศาสตร์ไว้ว่า...
“ศึกษาอดีต เพื่อรู้ปัจจุบัน เข้าใจปัจจุบัน เพื่อหยั่งการณ์อนาคต”
ประวัติศาสตร์มีความสำคัญต่อผู้มีอาชีพสอน ข้าราชการ (โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ) ผู้นำทางการเมือง นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง รัฐบุรุษ นักเคลื่อนไหวหรือนักต่อสู้ภาคประชาชน นักกฎหมาย แพทย์พยาบาล นักศึกษา ฯลฯ
มีผู้กล่าวว่า History Never Repeats Itself หมายความว่า มิได้ซ้ำตัวเองในรายละเอียด เพราะไม่มีกาลเทศะ บุคคล และเหตุการณ์ตอนใดเหมือนกัน แต่อาจมีสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน อันนำไปสู่ผลซึ่งคล้ายคลึงกันด้วย ดังเช่น...การปฏิวัติมีสาเหตุทำนองเดียวกัน ทั้งในอังกฤษปี 1640 ฝรั่งเศสปี 1789 และรัสเซียปี 1917
รัฐบุรุษสำคัญๆ มักอ่านหนังสือประวัติศาสตร์อย่างละเอียดทุกแง่มุม เช่น นโปเลียน เชอร์ชิลล์ แม้แต่ฮิตเลอร์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น Uneducated Men of Gening และทำให้เกิดผลร้ายขึ้น ถ้าตีความหมายผิด และนักประวัติศาสตร์นำไปใช้ในทางที่ผิด
Bacon ยังกล่าวว่า Histories Make Men Wise
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ให้อยู่กับปัจจุบัน อดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง” มิได้หมายความว่า อดีตและอนาคตไม่สำคัญ ไม่มีประโยชน์ เพียงแต่...ปัจจุบันก็คืออดีตและอนาคตนั่นแล
ทำปัจจุบันให้ดี อดีตและอนาคตก็จะดีไปด้วย
ท่านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ท่านเป็นนักการทหาร ซึ่งสนใจประวัติศาสตร์อยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะให้รื้อวิชาประวัติศาสตร์ขึ้นมาหรือ?
เพียงแต่ว่า ถ้าตีความประวัติศาสตร์ผิดและนำไปใช้ในทางที่ผิด ผลร้ายก็จะเกิดขึ้นแก่แผ่นดินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความสุขและความสงบสันติ ที่ท่านปรารถนาจะมอบให้คนไทยและแผ่นดินไทย ก็จะกลายเป็นเยี่ยวไม่สุดอีกครั้ง?
ผ่อนคลายเป็นอยู่
รับรู้ปล่อยวาง
แม้จะอยู่คนละแถว ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือสัมพันธ์แนบแน่น
รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็คือรับรู้ธรรมะ เพราะธรรมะคือทุกสิ่งทุกอย่าง
ผู้ใดมี “สติ” อยู่ทุกเวลา ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเมื่อตามองเห็นรูป...ก็เป็นธรรมะ หูได้ยินเสียง...ก็เป็นธรรมะ จมูกได้กลิ่น...ก็เป็นธรรมะ ลิ้นได้รส...ก็เป็นธรรมะ ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใด...เป็นธรรมะเมื่อนั้น อะไรๆ ก็เป็นธรรมะทั้งนั้น
ปล่อยวาง สมมติเราถือไม้อันหนึ่ง มันสั้นหรือว่ามันยาว? ความจริงไม้อันนี้ธรรมชาติแท้ๆ ของมันมีแค่นี้เท่านี้ มันไม่สั้นและก็ไม่ยาว ความต้องการที่จะให้ไม้นี้มันสั้นเข้าหรือยาวออก นั่นแหละ “ทุกข์” ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรายอมตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดที่นั่น
“การยอมก็คือการปล่อยวาง หรือการปล่อยวางก็คือการยอม”
การสัมผัสหรือการกระทบกันระหว่างอายตนะภายใน ภายนอก และวิญญาณ เช่น จักขุสัมผัส ถ้าปล่อยวาง รูปก็สักแต่ว่ารูป ไม่เกิดสุขเกิดทุกข์-จบ นี่คือคุณค่าของการปล่อยวาง หรือยอมมันซะ อย่าไปสะเงาะสะแงะกับมันให้สติลด (หรืออยากล้อเล่น เขาส่งมาดอกหนึ่ง เราคืนให้สองสามดอกก็ได้ เพื่อทดสอบความนิ่งแห่งใจเรา)
เมื่อรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วสามารถปล่อยวางหรือยอมมันได้ ความเป็นอยู่ของเราก็ปกติ จึงผ่อนคลายสบายๆ ฟินๆ ได้ การผ่อนคลายหรือการไม่เครียด เป็นยาวิเศษชั้นเลิศเชียวนะ (หมอและพระบอก)
ประวัติศาสตร์ (ประ-หวัด-ติ-สาด)
ฉลาดตื่นรู้
ผ่อนคลายเป็นอยู่
รับรู้ปล่อยวาง
ขณะที่เขียนบทความนี้ เป็นปัจจุบันกว่าจะได้ตีพิมพ์ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว อนาคตที่อยู่ไกลโพ้นอาจจะขยับมาเป็นปัจจุบันแล้วก็ได้ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่นนี้ไม่สิ้นสุด
ถ้าถามว่า...ประวัติศาสตร์คืออดีตใช่ไหม? ประวัติศาสตร์คือปัจจุบันใช่ไหม? ประวัติศาสตร์คืออนาคตใช่ไหม? ทุกคนมีสิทธิตอบไปต่างๆ นานา (ใช่หรือไม่ใช่) แต่ผมขอตอบว่า ใช่ ทุกข้อ
ปราชญ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า...หากท่านต้องการเปลี่ยนแปลงโลก ท่านต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน เพราะนั่นคือธรรมชาติของสรรพสิ่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่จะต้องเกิดในตัวท่านก่อน ท่านจึงจะแพร่กระจายไปสู่หัวใจผู้อื่นได้ ท่านต้องเริ่มเริงระบำก่อน แล้วท่านจึงจะเห็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ว่า ผู้อื่นก็เริ่มเริงระบำไปกับท่านด้วย
มิเช่นนั้น อาจจะเกิดโศกนาฏกรรมที่ว่า...คนตาบอดกำลังนำทางให้คนตาบอดอีกคน...แล้วทั้งคู่ก็ตกลงไปในบ่อน้ำ