xs
xsm
sm
md
lg

“เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง” …เมื่อบัณฑิตสาวญี่ปุ่นผันตัวเองเป็นชาวนา

เผยแพร่:   โดย: ประสาท มีแต้ม

ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับผลกระทบต่อเกษตรกรอันเนื่องมาจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 8 วัน โดยการสนับสนุนขององค์กรเอ็นจีโอประเทศญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “Japan International Volunteer Center, JVC” หรือศูนย์อาสาสมัครญี่ปุ่นซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 โดยมีกิจกรรมเพื่อสนับสนุนภาคประชาชนมากกว่า20 ประเทศซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อชุมชนที่สันติสุขและมีความยั่งยืนด้วยตนเอง

ผมได้พบหลายประเด็นที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับความคิดและอุดมการณ์ของคนหนุ่มสาวที่เป็นความหวังของสังคมในอนาคต จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นตอนๆ แต่ละตอนจบด้วยในตัวครับ

สถานที่ที่ผมไปเยี่ยมชาวนาอยู่ห่างจากที่ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (ซึ่งระเบิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2554 หลังเหตุการณ์สึนามิหนึ่งวัน) ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในจังหวัดฟูกุชิมะประมาณ 40 กิโลเมตรแต่รังสีของสารกัมมันตรังสีก็ยังอุตส่าห์มาตามรังควานไกลถึงนี่จนถึงวันนี้ซึ่งนานกว่า 3 ปีแล้ว

แผนที่ข้างล่างนี้แสดงทั้งที่ตั้งของหมู่บ้านที่ผมและคณะไปเยือน ที่ตั้งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ตลอดจนแสดงความเข้มของสารกัมมันตภาพรังสี แต่เรื่องความเข้มของรังสีและผลกระทบจะยังไม่กล่าวถึงเพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะซับซ้อนเล็กน้อยสรุปว่าในวันนี้ผ่านมาแล้วกว่า 3 ปีภายในรัศมี 10 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้ารัฐบาลก็ยังไม่อนุญาตให้คนอยู่อาศัย แต่สามารถขับรถยนต์ผ่านได้ ปัจจุบันนี้คนกว่า 1.3 แสนคนที่ได้อพยพออกไปตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 ยังไม่สามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านของตนเองได้

สภาพเมืองที่คณะของเราขับรถยนต์ผ่านไปเป็นเมืองร้างครับ ไม่มีคนอยู่อาศัย มีแต่บ้านหลังสวยๆ รถยนต์คันใหม่ๆ จอดทิ้งไว้ตลอดเส้นทางที่ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “รู้สึกหดหู่มาก”

ในตอนนี้ผมจะยังไม่เน้นเรื่องโรงไฟฟ้านะครับ แต่จะเล่าถึงอุดมการณ์และกิจกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ถือว่าเป็น “เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง”เป็นเรื่องสวยๆ งามๆ ด้านจิตใจที่ช่วยให้ชีวิตของเรามีพลังขึ้นมาได้นะครับ

เรามาเริ่มต้นให้ความสนใจกับสุภาพสตรีสองคนในภาพนี้กันก่อนนะครับ ซ้ายมือซึ่งจะเป็นตัวเอกของเรื่องคือ คุณมิซูโกะ ซุเกะโนะ บัณฑิตสาวซึ่งจบการศึกษาด้านพละศึกษาจากมหาวิทยาลัยโตเกียวเมื่อ 5 ปีก่อน สำหรับคนขวามือคือ คุณคาอุรุ โมริโมโตะเป็นเจ้าหน้าที่ของ JVC ซึ่งเป็นทั้งผู้ประสานการดูงานครั้งนี้และเป็นผู้ทำหน้าที่ล่ามไปด้วยในตัว

คุณมิซูโกะเป็นลูกชาวนาโดยกำเนิด ปัจจุบันเธออาศัยอยู่กับครอบครัวซึ่งอบอุ่นไปด้วยด้วยพ่อ-แม่ ตา-ยายและน้องชายรวม 6 คน บ้านหลังนี้อยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงโตเกียวประมาณ 260 กิโลเมตร

เมื่อจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแล้วแทนที่เธอจะเป็นครูพละหรือทำงานอื่นๆ ตามที่ได้ร่ำเรียนมา แต่เธอได้ตัดสินใจเข้าฝึกฝนและเรียนรู้อาชีพเกษตรกรกับพ่อแม่ของเธอก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดประมาณ 1 ปี โดยหลักสูตรการฝึกฝนอบรมครั้งนี้ต้องใช้เวลานาน 1 ปี

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ในตอนนั้นเธอยังไม่มีความรู้เรื่องนิวเคลียร์เลย ด้วยความกลัวเธอจึงอพยพไปอยู่โตเกียวเป็นเวลา 10 วัน ได้รับข้อมูลข่าวสารจากโทรทัศน์ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นข่าวสารที่ถูกกรองมาแล้ว แต่เธออยากจะรู้ความจริงโดยเฉพาะความจริงที่สื่อไม่ได้นำเสนอ เมื่อเธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองและความคิดใหม่ๆ ก็พรั่งพรูกันออกมา

“โรงไฟฟ้าที่เกิดอุบัติเหตุตั้งอยู่ในจังหวัดฟูกุชิมะ ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าให้ชาวฟูกุชิมะใช้ แต่ผลิตเพื่อป้อนให้ชาวกรุงโตเกียวซึ่งมีความสะดวกสบายมาก คนโตเกียว ถ้ามีเงินก็สามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในชนบทไม่ต้องซื้ออาหาร มีข้าวให้กิน มีผักกิน นอกจากนี้ยังมีสภาพเป็นชุมชนที่เข้มแข็งด้วย”

และแล้วเธอก็ได้ตั้งคำถามเดียวกับที่ปรมาจารย์ด้านปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้เคยถามกับสานุศิษย์ทั้งหลายเมื่อ 2 พันกว่าปีก่อนว่า “ความสุขคืออะไร”

หลังเกิดอุบัติเหตุได้ 3 เดือนเธอเริ่มเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสารกัมมันตรังสี จากนั้นก็เริ่มหากิจกรรมทำตามความรู้ความเชื่อของเธอ กิจกรรมแรกของเธอคือการรับอาสาสมัครเพื่อร่วมกันปลูกต้นทานตะวันเพราะทราบมาว่าต้นทานตะวันสามารถดูดเก็บสารซีเซียมซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีที่อันตรายที่ออกมาจากโรงไฟฟ้าได้ ปรากฏว่ามีอาสาสมัครมาร่วมกันปลูกถึง 20 คน

“พวกอาสาสมัครเหล่านี้มีความคิดร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคืออยากจะช่วยแก้วิกฤตของสถานการณ์ของประเทศ อยากทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร อีกอย่างหนึ่งพวกอาสาสมัครเหล่านี้ต่างก็มีความเครียดกับเหตุการณ์ที่ไม่เคยประสบมาก่อน เมื่อมารวมอยู่ด้วยกันก็สามารถคลายความเครียดลงได้ระดับหนึ่ง”

เธอจัดกิจกรรมให้คนมาร่วมทำในลักษณะนี้เดือนละครั้งโดยเข้าไปใช้ให้มหาวิทยาลัยที่เธอเคยเรียนเป็นผู้ประชาสัมพันธ์ให้ กิจกรรมของเธอคือการปลูกผักอินทรีย์และทำอาหารกินกัน มีคนมาจากต่างจังหวัดไกลๆ มาร่วมหลายคน ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน ที่นอนก็ใช้อาคารของชุมชน โดยที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้การสนับสนุนด้านการเงินด้วยจำนวนหนึ่งผู้สมัครต้องเสียเงินคนละประมาณ 3 พันบาท

ต่อมาเธอได้ตัดสินใจจัดตั้งเป็นบริษัทโดยให้ตัวเธอเป็นผู้อำนวยการ ส่วนแม่ของเธอเป็นพนักงาน บริษัทนี้ชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Kibo-no-tane (คิโบโนทาเนะ) ซึ่งมีความหมายว่า “เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังสำหรับอนาคต (Seed of Hope for the Future)” ภาพข้างล่างนี้มาจากเสื้อยืดที่เธอจัดทำขึ้นในราคาตัวละ 800 บาทซึ่งผมซื้อติดมือมาด้วยเพราะต้องการจะสนับสนุนความคิดของเธอ

วัตถุประสงค์ในการตั้งบริษัทก็คือเพื่อส่งเสริมให้คนกลับมาทำนาหรือเป็นเกษตร เธอให้เหตุผลว่า “เพราะเป็นหลักประกันว่ากิจกรรมที่ทำให้คนญี่ปุ่นมีความเข้าใจปัญหาของชาวนา รวมทั้งการส่งเสริมให้คนมาทำนานั้น ไม่ใช่เรื่องทำกันเล่นๆ แต่ต้องทำอย่างจริงจังและมีความต่อเนื่อง”

จากการทำกิจกรรมของเธออย่างต่อเนื่อง ปรากฏว่ามีคนตัดสินใจมายึดอาชีพเป็นเกษตรกรแล้วจำนวน 5 คน เป้าหมายของเธอคือการเชื่อมโยงระหว่างคนกับคนและคนกับธรรมชาติ “วันพรุ่งนี้จะมีพนักงานบริษัทที่เกี่ยวกับไอทีจำนวน 37 คนจะมาเข้าอบรม”

จากการบอกเล่าของคุณสนั่น ชูสกูล ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับชาวนาญี่ปุ่นได้เล่าว่า ปัจจุบันคนญี่ปุ่นไม่นิยมทำนาและอพยพไปอยู่ในเมืองใหญ่ จำนวนชาวนาจึงลดลง ปัจจุบันจำนวนคนที่เป็นชาวนาเต็มตัวในญี่ปุ่นมีประมาณ 3% ของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น แต่สามารถปลูกข้าวได้ 90% ของความต้องการบริโภคภายในประเทศนอกจากนี้คนในชนบทที่มีอาชีพหลักอยู่ในเมืองก็จะทำนาเป็นอาชีพเสริมไปด้วย การทำนาในญี่ปุ่นจะใช้เครื่องจักรทั้งหมดแม้แต่การปักกล้า

คุณมิซูโกะได้เล่าต่อไปว่า “ในแต่ละปี ที่นี่จะมีหิมะตกหนา 30 เซ็นติเมตรนานประมาณ 3 เดือน ช่วงนั้นจะปลูกอะไรไม่ได้ แต่เราก็หันไปหารายได้จากการแปรรูปอาหาร เช่นขนมโมจิ”

ผมตั้งคำถามว่า “คุณเรียนมาเพื่อจะเป็นครูพละ แต่หันมาเป็นชาวนาไม่เสียดายสิ่งที่ร่ำเรียนมาหรือ”

เธอตอบว่า ปัจจุบันเธอเป็นวิทยากรอบรมการทำนาก็ได้ทำหน้าที่ครูเหมือนกัน

จากนั้นวงสนทนาก็ได้สอบถามถึงเงินครูจบใหม่ ได้ความว่า ครูจบใหม่จะได้เงินเดือนประมาณ 2 แสนเยน (ประมาณ 7 หมื่นบาท) แต่ถ้าอยู่กรุงโตเกียวก็จะต้องเสียค่าที่พักเดือนจะ 7 หมื่นเยนค่าครองชีพในโตเกียวสูงมาก รายได้แค่นี้ก็ต้องประหยัดมากจึงจะอยู่ได้

กลับมาที่ผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสี เธอเล่าว่า ตัวเธอเองมีรังสีสะสมอยู่ในตัวที่ 1.3 ไมโครซีเวิร์ต (ซึ่งค่ามาตรฐานต้องไม่เกิน 1ไมโครซีเวิร์ต) ทั้งๆ ที่อยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าประมาณ 50 กิโลเมตร

“ก็กังวลอยู่เหมือนกัน แต่ก็พยายามจะไม่คิดมาก”

การตรวจปริมาณรังสีในร่างกาย ถ้าอายุเกิน 18 ปีก็ต้องเสียค่าตรวจครั้งละประมาณ 3 พันเยน โดยต้องจ่ายเอง เบิกจากใครก็ไม่ได้ รัฐบาลก็ไม่จ่าย บริษัทก็ไม่รับผิดชอบ

เท่าที่ผมดูจากสายตา ที่ดินที่ต้องลอกหน้าดินที่ปนเปื้อนรังสีประมาณ 1 ไร่ โดยลอกออกประมาณ 5 เซ็นติเมตรแล้วนำไปใส่ไว้ในถุงดำ (ดังรูป)

สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ค่าใช้จ่ายในการเก็บดินกล่าวซึ่งมีประมาณ 2 เท่าของที่เห็นภาพ ต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 5 แสนบาท (ย้ำ บาทนะครับ) แต่รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ โดยบริษัทโรงไฟฟ้า (คือบริษัท Tepco) เป็นผู้รับผิดชอบหรือไม่ ผมไม่ทราบครับ

ระหว่างสองข้างทางเราจะเห็นถุงดำในสภาพแบบนี้เต็มไปหมด โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนเท่าที่ผมค้นข้อมูลพบว่า สารซีเซียม 137 จะสลายตัวลดลงครึ่งหนึ่ง (ครึ่งชีวิต) ต้องใช้เวลา 30 ปี

ลองจินตนาการเล่นๆ ดูว่า พื้นที่ประมาณ 1 ไร่ เสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 5 แสนบาท แล้วในรัศมี 50 กิโลเมตรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าใด

เมื่อเห็นร่างกายของเธอออกจะแข็งแรง ผมถามว่า “เป็นนักกีฬาหรือเปล่า”

เธอตอบว่า “เป็นนักเซปักตะกร้อ” แต่ไม่ได้บอกว่าระดับไหน และเธอก็เคยไปเที่ยวเมืองไทยด้วย

ผมเก็บภาพในฟาร์มของเธอมาให้ดูครับ ภาพแรงเป็นแปลงมะเขือเทศอยู่ในโรงเรือนที่ทำด้วยแผ่นพลาสติกหนา (ราคามะเขือเทศในตลาดกิโลกรัม 300 บาท)

เท่าที่ผมเห็นจากบ้านชาวนา 3 รายทุกรายมีรถแทรกเตอร์ รถปลูกข้าว และรถใช้สอย (ไม่เหมือนรถกระบะ – คันที่ถูกบัง) ทุกราย

คนที่กำลังตัดหญ้าคืออาสาสมัครมาจากประเทศเซอร์เบีย (ชาติเดียวนักเทนนิสมือหนึ่งของโลก) อาสาสมัครคนนี้มาช่วยอยู่ประมาณ 2 เดือนแล้ว โดยมาทุกปีตั้งแต่ก่อนจะมีระเบิดโรงไฟฟ้า เขาเล่าว่า “เป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวซุเกะโนะ”

ภาพสุดท้ายคือสภาพแปลงนา แปลงๆ เล็กๆ โดยไม่ทราบว่าเขตแดนของคุณมิซูโกะไปถึงไหน

เธอได้สรุปความตั้งใจในกิจกรรมของเธอว่า “ต้องการจะสื่อสารความหมายของชีวิต และให้คนได้เข้าใจสภาพที่แท้จริงของจังหวัดฟูกุชิมะ และเป็นการเปิดโอกาสให้คนได้คิด ต้องการให้คนรุ่นใหม่มาทำนา”

และประโยคสุดท้ายที่ผมบันทึกไว้ได้คือ “คนรุ่นใหม่อยากอยู่ในชนบท ไม่อยากอยู่ในกรุงโตเกียว” โดยที่ผมก็สับสนว่าเป็นความคิดความรู้สึกของตัวเธอเอง หรือเป็นความหวังของเธอต่อคนรุ่นใหม่คนอื่นกันแน่

ผมได้แต่หวังว่า “เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง” จะงอกงามเติบใหญ่ต่อไป ไม่เพียงแต่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่จะกระจายไปสู่ประเทศอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยซึ่งกำลังเดินตามรอยความผิดพลาดของประเทศญี่ปุ่นอย่างไม่ลืมหูลืมตา
กำลังโหลดความคิดเห็น