ASTVผู้จัดการรายวัน – บุรีธาราฯ เผยปลายปี58มีแผนขยายการลงทุนคอนโด สไตล์รีสอร์ท “เมืองย่างกุ้ง -หลวงพระบาง” หลังแนวโน้มการท่องเที่ยวในพม่า-ลาวขยายตัวสูง โดยเฉพาะพม่าที่พึ่งเปิดประเทศส่งผลการท่องเที่ยวยังสด ทรัพยากรจำนวนมากดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างดี แจง2แนวทางการลงทุน ร่วมทุน1ร่วมทุน3กลุ่มไทย-ญี่ปุ่น-พม่าเจ้าของที่ดิน หรือ ร่วมทุนเฉพาะไทย-ญี่ปุ่น ซื้อที่ดินพัฒนาโครงการเอง ยันไม่ปิดกันลงทุนเฉพาะประเทศเทศเพื่อนบ้านแตหากประเทศใดน่าสนใจก็พร้อมเข้าไปลงทุน
นายธิติ ชินสมบูรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บุรีธารา กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทมีความสนใจจะขยายตลาดใหม่ๆ และเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศพม่า และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยคาดวว่าในไตมาส4/2558 บริษัท จะเข้าไปลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทที่เมืองย่างกุ้งประเทศเมียนมาร์ และเมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว เนื่องจากมองว่าเมืองหลวงเดิมของทั้ง 2ประเทศ และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
ทั้งนี้ การลงทุนใน2ประเทศดังกล่าวนั้น ความน่าจะเป็นในการพิจารณาลงทุน มีความเป็นไปได้สูงว่าเมืองย่างกุ้งจะเป้เมืองแรกที่บริษัทจะเข้าไปลงทุน เนื่องจากเมียร์มาร์เพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นาน จึงมีนักลงทุนให้ความสนใจเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับการมีทรัพยากรอยู่จำนวนมากของพม่าคือความน่าสนใจและดึงดูให้นักท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวของพม่าขยายตัวได้เร็ว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 จะช่วยให้พม่ากลายเป้ฯประเทศที่น่าสนใจอย่างมากด้วย
“ในเบื้องต้นได้มีการเจรจากับเจ้าของที่ดิน ซึ่งดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และเป็นแลนด์ลอร์ดใหญ่ในเมืองย่างกุ้ง บ้างแล้ว โดยเจ้าของที่ดินนั้นมีความต้องการที่จะให้บริษัทฯเข้าไปพัฒนา ในขณะที่บริษัทฯเอง ก็ต้องการให้เจ้าของที่ดินพัฒนาเองและบริษัทฯเข้าไปบริหารมากกว่า”
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีความชัดเจนในการลงทุนแล้ว บริษีทจำเป็นต้องมีการพิจารณารูปแบบการเข้าไปลงทุนออกมาอีกครั้ง โดยเบื้องต้นอาจมี 2 ทางเลือกในการลงทุน เช่น การร่วมทุน โดยจะมีการร่วมทุนกับ3 พาร์ทเนอร์ คือ กลุ่มบุรีธาราฯ กลุ่มเมียนมาร์ และ กลุ่มนักธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ส่วนทางเลือกที่ 2 คือ การร่วมทุนกันระหว่างบุรีธาราฯกับกลุ่มญี่ปุ่น โดยเข้าไปซื้อที่ดินจากกลุ่มเมียร์มาร์ มาพัฒนาเอง ซึ่งหากใช้ทางเลือกที่2 ก็จำเป็นที่ทั้ง2 บริษัทจะต้องระดมเม็ดเงินในการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะใช้เม็ดเงินรายละประมาณ 300 ล้านบาท
“เรื่องนี้ต้องรอดูความคืบการเจรจาไปก่อน เนื่องจากอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด และข้อมูลเรื่องกฎหมายในการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน ดังนั้นจึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้”
นายธิติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศพม่า ยังไม่มีการพัฒนาโครงการในรูปแบบคอนโดมิเนียม อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่เจ้าของที่ดินจะพัฒนาเป็นอพาร์ตเมนต์ สูง7-8 ชั้น หรือร่วมทุนกับพันธมิตรและพัฒนามากกว่า ส่วนโรงแรมระดับ 5ดาวก็ยังแทบจะไม่มีเลย ส่วนใหญ่จะเป็นระดับ 2 ดาวขึ้นไป ราคาอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ/คืนขึ้นไป ขณะที่โรงแรมระดับ 4ดาวขึ้นไป ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 300เหรียญสหรัฐขึ้นไป
อย่างไรก็ตามในอนาคตบริษัทฯไม่ได้มองการลงทุนในต่างประเทศเพียงแค่ ประเทศเมียนมาร์ และ สปป.ลาว แต่หากประเทศไหนมีศักยภาพภาพในการลงทุนและบริหารงานง่าย รวมไปถึงมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนท้องถิ่น ก็สนใจที่จะเข้าไปลงทุนเช่นกัน อาทิ ญี่ปุ่น เพราะบริษัทฯมีสายสัมพันธ์กับนักลงทุนท้องถิ่นมาช้านาน
“นอกจากนี้ บริษัท ยังสนใจที่จะนำ บริษัท บุรีธารา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการเงิน คาดว่าก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดฯคงต้องมีการปรับโครงสร้างบริษัทฯใหม่อีกครั้ง และจะต้องมียอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 1,700ล้านบาท”
อย่างไรก็ตามในปี 2556 ที่ผ่านมาบริษัทฯมียอดรับรู้รายได้รวมทั้งกลุ่มที่ประมาณ 160 ล้านบาท แต่ในปี 2557จะมีการรับรู้รายได้รวมที่ 550 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากคอนโดมิเนียม 300 ล้านบาท และโรงแรม 250 ล้านบาท
นายธิติ ชินสมบูรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บุรีธารา กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทมีความสนใจจะขยายตลาดใหม่ๆ และเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศพม่า และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยคาดวว่าในไตมาส4/2558 บริษัท จะเข้าไปลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทที่เมืองย่างกุ้งประเทศเมียนมาร์ และเมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว เนื่องจากมองว่าเมืองหลวงเดิมของทั้ง 2ประเทศ และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
ทั้งนี้ การลงทุนใน2ประเทศดังกล่าวนั้น ความน่าจะเป็นในการพิจารณาลงทุน มีความเป็นไปได้สูงว่าเมืองย่างกุ้งจะเป้เมืองแรกที่บริษัทจะเข้าไปลงทุน เนื่องจากเมียร์มาร์เพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นาน จึงมีนักลงทุนให้ความสนใจเข้าไปลงทุนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับการมีทรัพยากรอยู่จำนวนมากของพม่าคือความน่าสนใจและดึงดูให้นักท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวของพม่าขยายตัวได้เร็ว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 จะช่วยให้พม่ากลายเป้ฯประเทศที่น่าสนใจอย่างมากด้วย
“ในเบื้องต้นได้มีการเจรจากับเจ้าของที่ดิน ซึ่งดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และเป็นแลนด์ลอร์ดใหญ่ในเมืองย่างกุ้ง บ้างแล้ว โดยเจ้าของที่ดินนั้นมีความต้องการที่จะให้บริษัทฯเข้าไปพัฒนา ในขณะที่บริษัทฯเอง ก็ต้องการให้เจ้าของที่ดินพัฒนาเองและบริษัทฯเข้าไปบริหารมากกว่า”
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีความชัดเจนในการลงทุนแล้ว บริษีทจำเป็นต้องมีการพิจารณารูปแบบการเข้าไปลงทุนออกมาอีกครั้ง โดยเบื้องต้นอาจมี 2 ทางเลือกในการลงทุน เช่น การร่วมทุน โดยจะมีการร่วมทุนกับ3 พาร์ทเนอร์ คือ กลุ่มบุรีธาราฯ กลุ่มเมียนมาร์ และ กลุ่มนักธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ส่วนทางเลือกที่ 2 คือ การร่วมทุนกันระหว่างบุรีธาราฯกับกลุ่มญี่ปุ่น โดยเข้าไปซื้อที่ดินจากกลุ่มเมียร์มาร์ มาพัฒนาเอง ซึ่งหากใช้ทางเลือกที่2 ก็จำเป็นที่ทั้ง2 บริษัทจะต้องระดมเม็ดเงินในการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะใช้เม็ดเงินรายละประมาณ 300 ล้านบาท
“เรื่องนี้ต้องรอดูความคืบการเจรจาไปก่อน เนื่องจากอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด และข้อมูลเรื่องกฎหมายในการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน ดังนั้นจึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้”
นายธิติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศพม่า ยังไม่มีการพัฒนาโครงการในรูปแบบคอนโดมิเนียม อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่เจ้าของที่ดินจะพัฒนาเป็นอพาร์ตเมนต์ สูง7-8 ชั้น หรือร่วมทุนกับพันธมิตรและพัฒนามากกว่า ส่วนโรงแรมระดับ 5ดาวก็ยังแทบจะไม่มีเลย ส่วนใหญ่จะเป็นระดับ 2 ดาวขึ้นไป ราคาอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ/คืนขึ้นไป ขณะที่โรงแรมระดับ 4ดาวขึ้นไป ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 300เหรียญสหรัฐขึ้นไป
อย่างไรก็ตามในอนาคตบริษัทฯไม่ได้มองการลงทุนในต่างประเทศเพียงแค่ ประเทศเมียนมาร์ และ สปป.ลาว แต่หากประเทศไหนมีศักยภาพภาพในการลงทุนและบริหารงานง่าย รวมไปถึงมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนท้องถิ่น ก็สนใจที่จะเข้าไปลงทุนเช่นกัน อาทิ ญี่ปุ่น เพราะบริษัทฯมีสายสัมพันธ์กับนักลงทุนท้องถิ่นมาช้านาน
“นอกจากนี้ บริษัท ยังสนใจที่จะนำ บริษัท บุรีธารา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาทางด้านการเงิน คาดว่าก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดฯคงต้องมีการปรับโครงสร้างบริษัทฯใหม่อีกครั้ง และจะต้องมียอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 1,700ล้านบาท”
อย่างไรก็ตามในปี 2556 ที่ผ่านมาบริษัทฯมียอดรับรู้รายได้รวมทั้งกลุ่มที่ประมาณ 160 ล้านบาท แต่ในปี 2557จะมีการรับรู้รายได้รวมที่ 550 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากคอนโดมิเนียม 300 ล้านบาท และโรงแรม 250 ล้านบาท