xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สิ้น “สุทธิ อัชฌาศัย” สิ่งแวดล้อม“มาบตาพุด”เสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ค่ำวันที่ 15 ก.ค. 2557ต่อเนื่องจนถึงเช้ามืดวันรุ่งขึ้น แวดวงนักต่อสู้ - เอ็นจีโอ ตลอดจนคนในพื้นที่ภาคตะวันออก ต่างพากันตกตะลึงระคนสงสัย หลังได้รับทราบข่าว “สุทธิ อัชฌาศัย” หนุ่มนักต่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อม วัยใกล้ 40 ใช้ปืนยิงตัวตาย และสิ้นลมจากไปในเวลา 04.00 น.ของวันที่ 16 ก.ค. 2557

รวมทั้งมีคำถามตามมาทันทีด้วยว่า จากนี้ไปชาวมาบตาพุด ที่อยู่ใต้เงาโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จะเป็นอย่างไรต่อไป !?

ชื่อของ “สุทธิ อัชฌาศัย” หนุ่มลูกชาวสวนเมืองระยอง วัย 38 ปีคนนี้ เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในฐานะ “นักต่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อม” เป็นหัวหอกสำคัญของ “เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก” ที่รวมตัวก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2548 เพื่อต่อสู้เรียกร้องให้ภาครัฐ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หันกลับมาดูแลปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างจริงจัง แทนที่จะมุ่งมั่นผันน้ำให้กับ ภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก

นอกจากนี้ “สุทธิ” ยังถือเป็นแกนหลักของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ภาคตะวันออก ที่ออกมาขับไล่ระบอบทักษิณ โดยเป็นผู้ที่ดูข้อมูลเรื่องการจัดการทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรมของ “ระบอบทักษิณ” เพื่อนำมาตีแผ่ให้สังคมไทยได้รับรู้ และตระหนักถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น

เมื่อสิ้นสุดรัฐบาลทักษิณ มาถึงรัฐบาลของขิงแก่ - พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กลับไม่ได้สนใจเรื่อง Caring Capacity ซึ่ง “สุทธิ” คิดว่า เรื่องมาบตาพุด มันต้องมีอะไรมากกว่าน้ำที่แย่งชิงกัน เมื่อแหล่งน้ำไม่พอ แต่ยังอยากขยายอุตสาหกรรมเพิ่ม ซึ่งไม่สอดคล้อง อีกทั้งผลการศึกษาต่าง ๆ ก็ชี้ชัดว่า “มาบตาพุด” มีแต่มลพิษ จึงได้มีการรวมกลุ่มกันของกลุ่มเอ็นจีโอ ทำให้เห็นว่า “มาบตาพุด” มันมีปัญหาเรื่องมลพิษ!!

โดยเริ่มขับเคลื่อนข้อเรียกร้องมาตั้งแต่ปี 2549 ด้วยการชวนชาวบ้านที่มาบตาพุด ออกมาเรียกร้องให้มีการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ ต่อสู้กันมา 1 ปี ก่อนยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ให้ประกาศมาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2545 ซึ่งท้ายที่สุด “สุทธิ” และคณะ ชนะคดี ศาลฯประกาศให้ “มาบตาพุด” เป็นเขตควบคุมมลพิษในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

แล้วนับแต่นั้นมาก็มีการทำแผนให้ “มาบตาพุด”เป็นเขตควบคุมมลพิษ !!

นอกจากนี้ “สุทธิ” ยังได้ชื่อว่า เป็นหัวหอกสำคัญในการหยิบยกรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 67 วรรค 2 มาคุ้มครอง หรือเป็นการวางเกราะป้องกันไม่ให้ปัญหาการพัฒนาไปเหลื่อมล้ำภาคส่วนต่างๆของสังคม นำมาสู่คำสั่งศาลปกครองกลาง ที่ให้ระงับ 76 โครงการ (ก่อนลดมาเหลือ 64 โครงการ) ลงทุนใน “มาบตาพุด”

กระทั่งรัฐบาล ต้องสั่งตั้งคณะกรรมการร่วม 4 ฝ่ายขึ้นมาแก้ไขปัญหา พร้อมกับจำเพาะเจาะจงว่า ขอให้ติดต่อ “อานันท์ ปันยารชุน” อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธานฯ โดย “สุทธิ”ก็เข้าร่วมเป็น 1 ในอนุกรรมการฯหลายชุด เช่นคณะอนุกรรมการอีกหลายชุด เช่น คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจจัดทำแผนลดมลพิษในพื้นที่ จ.ระยอง ,คณะอนุกรรมการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมลพิษกับสุขภาพ ,คณะอนุกรรมการพหุภาคีในการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่ จ.ระยอง เป็นต้น

ล่าสุด ก่อนที่จะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ “สุทธิ” ได้ออกมาเรียกร้องให้ ปตท. ออกมารับผิดชอบจากกรณี ท่อก๊าซแตกในทะเลระยอง จนเกิดผลกระทบต่อเกาะเสม็ด และสภาพแวดล้อมทางทะเลอย่างมหาศาลเมื่อกลางปี 2556 ที่ผ่านมา

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเคยพบเห็น และไม่มีใครรู้ว่า “สุทธิ” ไปอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ !?

กระทั่งวันที่ 15 ก.ค. 2557 เมื่อสื่อจากหลากสำนัก ได้นำเสนอข่าวการตัดสินใจยิงตัวเองของ “สุทธิ” ก่อนที่เข้าจะเสียชีวิตลงช่วงเช้ามืดวันต่อมา (16 ก.ค.) ที่โรงพยาบาลระยอง

พ.ต.อ.กิตติ ศิริคช พงส.สภ.เมืองระยอง ยืนยันว่านายสุทธิ อัชฌาศัย แกนนำ เครือข่าย ปชช.ตะวันออก เสียชีวิตแล้ว ที่โรงพยาบาล เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันที่ 16 ก.ค. หลังใช้อาวุธปืน.38 ยิงตัวเองบริเวณขมับขวากระสุนทะลุหน้าผาก ภายในรถที่จอดในบ้านของมารดาที่ ต.บ้านแลง อ.เมือง จ.ระยอง ด้วยวัยเพียง 38 ปี

เฉลิมพร กล่อมแก้ว พี่ผู้ร่วมอุดมการณ์ กล่าวน้ำตาเมื่อถูกถามถึง “สุทธิ อัชฌาศัย” ซึ่งเปรียบเสมือนน้องชาย ว่า ไม่คาดคิดว่าจะมีวันนี้ รู้สึกเสียดายคนดีๆอย่างสุทธิ ที่เกิดมาเพื่อทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมอย่างจริงจัง ทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์

เฉลิมพร บอกว่า “สุทธิ” เป็นคนหนุ่มมีอุดมการณ์ รักบ้านเกิด และทุ่มเทการทำงานให้กับส่วนรวมมาโดยตลอด ตนได้ร่วมงานด้วยหลังสุทธิ กลับมาอยู่บ้านที่ระยองประมาณ ปี 2548 เพื่อมาดูแลแม่

หลังจากได้เห็นความเห็นแก่ตัวของผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม และนโยบายของรัฐบาล ที่เอื้อให้กับนายทุน โดยไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังรุมเร้าสุขภาพชาวระยอง โดยเฉพาะที่มาบตาพุด จึงได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งหลายคนก็รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย แต่ไม่ใครกล้าพอที่จะออกมาต่อต้าน “สุทธิ” ที่ทำงานช่วยเหลือสังคมมาอยู่แล้ว ถึงได้มีรวมตัวกัน และลุกขึ้นต่อต้าน คัดค้านการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าถ่านหินของ ไออาร์พีซี และสุดท้ายเราก็ทำสำเร็จ

“พวกเราชาวจังหวัดระยอง ต้องขอขอบคุณ สุทธิ อย่างมาก ซึ่งพวกเราอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมกันต่อสู้กันมาอย่างต่อเนื่อง จนมีการประกาศให้พื้นที่มาบตาพุดเป็นพื้นที่ควบคุมมลพิษ”

แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเสียใจ และน้อยใจแทนน้องชายคนนี้ คือ คำกล่าวหาที่ว่า “สุทธิ”ออกมาต่อสู้ประท้วงการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ถูกมองว่า เขาทำไปเพราะต้องการเงินจากพวกโรงงานอุตสาหกรรม บ้างก็หาว่า สุทธิ ไปรับเงินมาจากโรงงาน ซึ่งคนพวกนี้ไม่ทราบว่า “ใช้สมองส่วนไหนคิด” เพราะเท่าที่ทำงานด้วยกันมา “สุทธิ” เสียสละมาโดยตลอด เสียสละทั้งชีวิตส่วนตัว ละทิ้งครอบครัว รวมทั้งกำลังทรัพย์ เพราะการต่อสู่แต่ละครั้ง ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย พวกเราต้องหยุดการประกอบอาชีพประจำวันเพื่อมาทำให้ส่วนรวม บางครั้งเงินสนับสนุนไม่มี สุทธิ ก็ต้องควักเงินจ่ายดูแลพี่น้องที่ออกมาร่วมทำงานด้วยกัน

“การต่อสู้ที่ยาวนาน เกือบ10 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมีปัญหาเรื่องการเงิน และเป็นที่มาของความเครียดในการตัดสินใจลาโลกไปในครั้งนี้”

เฉลิมพร เล่าด้วยว่า ตอน 5 โมงเย็น ของวันที่ 15 ก.ค. สุทธิ ได้โทรศัพท์มาหา และเอ่ยปากขอให้ตนช่วยเหลือ หาคนหารับจำนองที่ดิน ซึ่งเป็นมรดก ที่ครอบครัวยกให้ จำนวน 23 ไร่ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาใช้หนี้สินบางส่วน ซึ่งตนก็รับปาก และหาคนที่จะช่วยรับจำนองได้แล้ว โดยในระหว่างพูดคุยกัน “สุทธิ” ไม่ได้มีอาการเครียดแต่อย่างใด หลังจากนั้นประมาณทุ่มกว่าๆ วันเดียวกัน ก็ได้รับทราบข่าวร้าย ว่า “เขายิงตัวตาย”

“รู้สึกเสียดายคนดีๆ ที่ทำเพื่อส่วนรวมมาตลอด แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนคุณความดีจากสังคม”

จากนี้จะมีใครลุกขึ้นสานงานการก่อสู้ด้านสิ่งแวดล้อมของชาวมาบตาพุด และคนภาคตะวันออก ซึ่งคงต้องฝากไปถึงนักสู้รุ่นต่อไปให้ช่วยกันดูแลบ้านเกิดของตนเอง ในวันที่ไม่มี “สุทธิ อัชฌาศัย” อีกต่อไป




กำลังโหลดความคิดเห็น