ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ปัญหาระหว่าง “โค้ชเช-เช ยอง ซอก” แห่งสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย กับ “น้องก้อย” รุ่งระวี ขุระสะ จอมเตะหญิงทีมชาติไทย ที่ออกมาประจานผ่านทั้งโลกออนไลน์และโลกเสมือนจริงว่า โค้ชชาวเกาหลีใต้ ทำร้ายร่างกายด้วยการชกที่หน้าและท้องหลายหมัด เนื่องจากไม่พอใจ หลังแพ้คู่ต่อสู้เจ้าถิ่นศึกโคเรีย โอเพน ที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นที่เกิดข้อถกเถียงในหลายมิติ
ทั้งในแง่มุมของข้อเท็จจริง และในแง่มุมของความถูก-ผิด
ขณะเดียวกันผลพวงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังได้ลุกลามกลายเป็นปัญหาระดับชาติอีกต่างหาก เมื่อโค้ชเชซึ่งปลุกปั้นให้นักกีฬาเทควันโดจนสามารถคว้าเหรียญจากการแข่งขันระดับโลกมีแนวโน้มว่าจะตัดสินใจไม่เดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งนั่นหมายความว่า ประเทศไทยกำลังสูญเสียโค้ชฝีมือดีที่เป็นกำลังสำคัญให้กับเทควันโดมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
สำหรับกระแสวิจารณ์ที่ออกมาเริ่มจาก โค้ชเชถูกมองว่าทำเกินกว่าเหตุ เนื่องจากวัฒนธรรมไทยติดภาพห้ามใช้ความรุนแรง ซึ่งหลายคนน่าจะซึมซับเข้าไปโดยไม่รู้ตัวจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เช่น พ่อแม่แจ้งความครูตีลูกบ้างอะไรบ้าง สุดท้ายจบที่ครูคนนั้นลาออกไม่ก็ถูกไล่ออก กรณีของ “น้องก้อย” ก็ทำนองเดียวกัน
“น้องก้อย” รุ่งระวี เจ้าของเหรียญทองแดงศึกชิงแชมป์เอเชีย 2014 รุ่น 62 กก. อ้างว่าหลังพ่ายแพ้ถูก โค้ชเช เรียกไปต่อว่า เนื่องจากมองว่าเกิดจากความไม่พร้อม ก่อนจะลงไม้ลงมือด้วยการต่อยที่หน้าและท้อง ตามมาอีกระลอกว่าฝ่ายนักกีฬาเองก็รอให้โค้ชไทยอีก 2 รายที่คอยประสานงานมาตามเมื่อถึงเวลาลงสนาม แต่ทุกอย่างคลาดเคลื่อนอาจจะเนื่องมาจากคู่ก่อนหน้านี้จบช้าหรือเร็วอย่างไรก็แล้วแต่ ทำให้ไม่ได้วอร์มร่างกายจนถึงจุดที่พอดี สุดท้ายรีบร้อนจนลืมบัตร รวมถึงต้องรีบใส่อุปกรณ์ป้องกันอย่างสนับ
ทุกคนคาใจและยังไม่เชื่อข่าวตอนแรกที่ออกมาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะต้องยอมรับว่า โค้ชเชทำงานที่เมืองไทยมานานและฝากผลงานเอาไว้มากมาย แต่หลังจากนั้นได้มีนักกีฬารุ่นก่อนหน้านี้ออกมาให้สัมภาษณ์ อาทิ เยาวภา บุรพลชัย เหรียญทองแดง โอลิมปิก เอเธนส์ เกมส์ 2004 ที่ประเทศกรีซ, ชนาธิป ซ้อนขำ เหรียญเงิน โอลิมปิก เกมส์ 2008 และ สริตา ผ่องศรี เหรียญทองเทควันโด เอเชียน เกมส์ 2010 รวมถึง “น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันหญิงแชมป์โลกชาวไทย
ทั้งหมดเคยร่วมงานและประสบความสำเร็จจากฝีมือของ โค้ชเช ขณะที่ “น้องเมย์” รัชนก ออกมาให้กำลังใจ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองว่าเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความรุนแรงเข้าปะทะแบบนี้ ผู้ฝึกสอนก็จะต้องมีระเบียบวินัยและเข้มงวด การฝึกซ้อมก็จะต้องโหด ลงโทษก็จะต้องเพิ่มระดับขึ้นไปด้วย
ทั้งนี้ กระแสสังคมส่วนหนึ่งมองว่า กีฬาเทควันโดกำเนิดมาจากเกาหลีที่ค่อนข้างจะเข้มงวดและจริงจังอยู่แล้ว ดังนั้นหาก โค้ชเชจะนำวัฒนธรรมที่บ้านเกิดมาใช้กับคนไทยบ้างเพื่อกระตุ้นให้ยกระดับตนเองเทียบเคียงกับเจ้าของต้นตำรับก็คงไม่แปลก เพราะหากอ่อนปวกเปียกจะไปสู้อะไรกับใครได้ ยิ่ง เอเชียน เกมส์ ที่ อินชอน กำลังจะเปิดฉากเดือนกันยายนนี้แล้ว
ส่วนจีนไม่ต้องพูดถึงการสร้างนักกีฬาของประเทศเริ่มตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบพ่อแม่ให้ลูกไปฝึกเพื่ออนาคตที่ดีกว่า ซึ่งก็จะเห็นภาพถูกเคี่ยวกรำจนเด็กร้องไห้ แต่ก็ยังฝึกต่อไป เพราะทุกคนมีเป้าหมาย เพราะหากผ่านจุดนี้ไปได้แล้วสร้างชื่อเสียงประสบความสำเร็จก็จะนำมาซึ่งเงินทองก้าวไปเล่นอาชีพ พรีเซ็นเตอร์รุมจีบ ไหนจะเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอีก ครอบครัวก็สบายไปทั้งชาติ
แต่ไทยนอกจากเริ่มช้า แถมกระบวนการพัฒนาหยุดชะงัก ยังไม่สามารถผ่านจุดการฝึกระดับเขี้ยวลากดินไปได้ บ้างก็ถอดใจไปเสียก่อน “น้องก้อย” เพิ่งจะเริ่มติดทีมชาติต้นปีเล่นมาเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ 3 จึงเป็นเหตุให้รุ่นพี่ออกมาเตือนว่าโดนแค่นี้ยังเล็กน้อยเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ แต่ละคนผ่านอะไรมาบ้างถึงจะประสบความสำเร็จสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ
ขณะที่สังคมอีกฟากหนึ่งก็ตั้งคำถามถึงการลงโทษของโค้ชเช เพราะเป็นที่ชัดเจนว่า โค้ชเชได้ลงโทษน้องก้อยจริง แถมยังเป็นการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงอีกต่างหาก แม้จะชื่นชมโค้ชเชที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมาก็ตาม
ส่วนบางก็อดตำหนิไม่ได้กับวิธีการที่น้องก้อยใช้ เพราะความจริงน่าจะมีวิธีการที่ดีกว่านี้ เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า โค้เชเชคือครู คือผู้ประสิทธิประสาทวิชาการต่อสู้ให้ แถมยังจะให้มาขอโทษผ่านสื่ออีก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องบอกว่า เกินกว่าเหตุ
กระนั้นก็ดี ณ เวลานี้ไม่มีสัญญาณตอบรับจากโค้ชเชที่ไร้กำหนดกลับเมืองไทย พร้อมกับหอบภรรยาและลูกชายวัย 4 ขวบเดินทางไปสมทบที่เกาหลี ซึ่งทุกคนอยากได้ยินจากปากไม่ว่าจะอะไรก็ตามขอให้มาออกสื่อที่เมืองไทย ซึ่ง “บิ๊กเอ” ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย กับ ปรีชา ต่อตระกูล อุปนายกสมาคมเทควันโดไทย เต้นเป็นเจ้าเข้าคงจะต้องเหินฟ้าไปตามและปรับความเข้าใจ
นายพิมลซึ่งเมื่อกลางสัปดาห์ได้อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกากล่าวว่า “ผมอยากให้ น้องรุ่งระวี ไตร่ตรองดูว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ในฐานะเป็นนักกีฬาทีมชาติ ซึ่งผมเคยย้ำ หลายครั้งว่าเวลาไปแข่งนั้นเป็นการเสียสละเพื่อประเทศชาติ เหมือนทหารเวลาไปรบก็ต้องพลีชีพเพื่อชาติ แต่สิ่งที่ทำนั้นเป็นการพลีชีพเพื่อชาติหรือเปล่า”
“คุณทำไปอย่างนี้ประเทศชาติเสียหาย จะให้สะใจ จะต้องให้ขอโทษในที่สาธารณะผ่านสื่อให้ทุกคนรู้ โค้ชเช ต้องมาขอโทษเนี่ย โดยที่เขาทำไปทั้งหมดด้วยความรักและหวังดี มันสมควรหรือ เพราะว่าถ้าเขาไม่กลับมา เรามีเหรียญ ยูธ โอลิมปิก หรือ เหรียญ เอเชียน เกมส์ ที่เคยได้ทอง โอกาสก็ริบหรี่ๆ แล้วคุณก็อาจเป็นนักกีฬาทีมชาติคนแรกที่คนไทยไม่เชียร์ เพื่อความสะใจของตัวเอง ก็อยากให้นักกีฬาไปไตร่ตรองดูว่าอะไรผิดอะไรถูก” นายพิมล เผย
อย่างไรก็ตาม การกระทำ ณ จุดนี้ของโค้ชเช ถือว่าเป็นไปตามนิสัยของคนเกาหลีที่พร้อมจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง แม้ว่าตนเองจะผิดหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อถูกสังคมวิจารณ์แล้วก็ไม่อาจที่จะทนทำงานต่อไปได้ ทว่า ด้วยความรับผิดชอบ โค้ชเชสมควรที่จะกลับมาสะสางทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้จบ ไม่ควรที่จะหนีหน้าไปแบบนี้ โดยทัพนักกีฬาเดินทางถึงไทยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมาปราศจากเงาของโค้ชเช
แน่นอน เชื่อเหลือเกินว่า โค้ชเช รู้สึกว่าตนเองผิด เพราะ “น้องก้อย” เป็นคนบอกเองว่าได้เข้ามาขอโทษภายหลังแล้ว
ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา โค้ชเชได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้ โดยถือเป็นการเปิดปากครั้งแรกว่า “ตอนนั้นคู่ต่อสู้มารออยู่แล้วเพื่อเตรียมแข่ง ซึ่งถือเป็นวันแรก ดังนั้นผมไม่สามารถปล่อยให้ความประมาทของนักกีฬาคนเดียวมามีอิทธิพลกับคนอื่นที่เหลือไม่ได้ จึงต้องสั่งสอน ยอมรับว่าตีที่ใบหน้าและท้อง แต่ไม่ได้ต่อย ด้วยความที่ทำหน้าที่เป็นโค้ชทีมชาติไทยมานาน จึงรู้วัฒนธรรมที่นี่เป็นอย่างดี ไม่คุ้นกับการลงโทษรุนแรง ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว ผมจะต่อยได้อย่างไร”
“ตอนนี้สิ่งที่เป็นห่วงคือข่าวที่ออกมาค่อนข้างเสียหายอาจจะทำลายภาพพจน์วงการเทควันโดในสายตาชาวต่างชาติ อยากให้ทุกฝ่ายทำความเข้าใจ ต้องขอบคุณ สมาคมฯ และคนไทยทุกคนที่ยังให้ความเชื่อมั่นในตัวผม” เช ยอง ซอก กล่าวในท้ายที่สุด
เมื่อโค้ชเชออกมายืนยันเช่นนี้ ก็ย่อมหมายความว่า งานนี้ต้องมีใครโกหก
ถ้าโค้ชเชไม่โกหก น้องก้อยก็โกหก
กล่าวสำหรับ “น้องก้อย” ถ้าคิดได้ กรณีนี้คงได้รับบทเรียนจากการใช้สังคมออนไลน์ เพราะไม่ควรที่จะจุดชนวนโพสต์เรื่องนี้ผ่าน “เฟซบุ๊ก” เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในสมาคมฯ ดังนั้นควรที่จะใจเย็นๆ นำไปปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน ซึ่งหากเป็นไปในแนวทางนี้ก็น่าจะตกลงกันได้ ไม่ลุกลามบานปลายเป็นปัญหาระดับประเทศขนาดนี้
นอกจากนี้ “ฟ้องสื่อ” ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทุกเรื่อง เพราะบางครั้งสื่อก็ฆ่าคุณได้เหมือนกัน จากการที่ “น้องก้อย” ไปออกรายการช่วงเย็นช่องหนึ่งเมื่อวันพุธที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากตอนท้ายมีการเปิดคลิปคำให้สัมภาษณ์ “วิว” เยาวภา ดีกรีเหรียญทองแดง โอลิมปิก เอเธนส์ เกมส์ 2004 ออกมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในฐานะรุ่นพี่
แต่ด้วยความเป็นเด็ก “น้องก้อย” เลยถามกลับอดีตทีมชาติ ทว่า เวลาดันหมดเสียก่อน ดังนั้น “วิว” เลยใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวตอบ ซึ่งสมัยนี้ข่าวสารกระจายเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ไม่กี่นาทีจากนั้นกลายเป็นการไปออกรายการที่จับประเด็นร้อนมาตีแผ่ครั้งนี้ ถูกสื่อฆ่ากลางอากาศเลย งานนี้ไม่ใช่แค่จอมเตะวัย 23 ปีเท่านั้นที่โดนสังคมพิพากษา ยังรวมไปถึงพ่อและแม่ด้วย
สุดท้าย “น้องก้อย” ยังคงย้ำถึงจุดยืนเหมือนเดิมว่าต้องการให้ โค้ชเชกลับมาและขอ โทษตนเองผ่านสื่อ เนื่องจากจะได้ลบคำครหาที่ถูกต่อว่าอย่างหนัก รวมถึงมีกลุ่มคนที่แอนตี้ถึงขนาดตั้งเฟซบุ๊กที่มีการกดไลค์กระฉูดเพียงแค่วันเดียว เพราะมองว่าตนเองไม่ได้ผิดทำไมต้องรุนแรงขนาดนี้
ปัญหาและบทสรุปของเรื่องนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วก็น่าจะเป็นเรื่อง “น้ำผึ้งหยดเดียว” เพราะจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดอยู่ตรงที่การสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างโค้ชเชกับผู้ประสานงานที่เป็นคนเกาหลีคือ คิม แจ วู กับโค้ชไทยอีก 2 รายคือ วิชิต สิทธิกัณฑ์ กับ ชัชวาล ขาวลออ ” ซึ่งผู้ที่จะทำให้ความจริงทั้งหมดให้เป็นที่กระจ่างและเป็นที่ยุติธรรมของทั้งสองฝ่ายก็คือ สมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย
และถ้าสมาคมฯ ไม่สามารถทำความจริงให้กระจ่างและทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจซึ่งกันและกัน สิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือความสูญเสียที่จะได้รับ เนื่องจากศึกเอเชียน เกมส์ ที่อินชอน จะแข่งระหว่างวันที่ 19 กันยายน ถึง 4 ตุลาคมนี้แล้ว ซึ่งเป็นชนิดกีฬาความหวังของคนทั้งประเทศด้วย
ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าทุกฝ่ายตั้งมั่นอยู่บนจุดเดียวกันคือผลประโยชน์และชื่อเสียงของประเทศชาติ