วานนี้ (17ก.ย.) สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน โดยนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมฯ พร้อมชาวบ้านในเขตพื้นที่ อ.คูเมือง อ.บ้านด่าน อ.สตึก และ อ.แคนดง ของ จ.บุรีรัมย์ รวม 98 คน ได้ยื่นฟ้องอธิบดีกรมเชื้อพลิงธรรมชาติ รมว.พลังงาน และคณะกรรมการปิโตรเลียม เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีเพิกถอนสัมปทานปิโตรเลียม เลขที่ 6/2553/108 ลงวันที่ 25 ก.พ. 53 สั่งเพิกถอนรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกต้อง และให้ไปดำเนินการใหม่ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี สั่งให้ผู้รับสัมปทาน ทำหนังสือสัญญากับชาวบ้านเป็นรายครอบครัว หรือรายแปลงที่ดิน เพื่อรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนเสียหายจากการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมรวมถึงให้ชดเชยค่าเสียหายให้กับชาวบ้าน และสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดี ตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญทางวิชการในทุกแขนง เพื่อศึกษาและประเมินผลทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรามชาติ และสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับชุมชน ครัวเรือน เพื่อกำหนดมาตรการอย่างหนึ่งอย่างใดภายใน 3 เดือน ก่อนที่จะดำเนินการอนุมัติ หรือ อนุญาตให้สัมปทานเกี่ยวกับการขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
ทั้งนี้ ยังได้ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว สั่งให้ผู้รับสัมปทานและบริษัทผู้รับจ้าง ระงับการจุดระเบิด หรือการทดสอบการระเบิดหลุมขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม ในระบบคลื่นไหวสะเทือน แบบ 3 มิติ ในพื้นที่ทั้งหมดไว้ก่อน จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา
สำหรับเหตุที่สมาคมฯ ยื่นฟ้องเนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดี ได้ให้สัมปทานการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม บนบก แปลงสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 6/2553/108 ลงวันที่ 25 ก.พ. 53 แก่ บริษัทซ่านซี เหยียน ฉาง ปิโตรเลียม กรุ๊ป จำกัด กลุ่มบริษัทเหยียนฉ่าง ปิโตรเลียม ประเทศจีน โดยบริษัทได้ว่าจ้างให้ บริษัท บีจีพี อินท์ไชน่า เนชั่นแนล ปิโตรเลียม คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้รับจ้างทำการสำรวจแปลงสัมปทาน ซึ่งก็ได้เข้าทำการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองอยู่ และพื้นที่ของชุมชนที่ถือเป็นสมบัติของแผ่นดินและสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน
โดยมีการใช้วัตถุระเบิด เพื่อระเบิดหลุมหลายพันหลุม เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้รับการยินยอม หรือมีข้อตกลงใดๆ กับชาวบ้านในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ถือเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ ทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายแพ่งพานิชย์ กฎหมายอาญา พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตของประชาชนและชุมชน อาทิ ในเรื่องของโครงสร้างชั้นดินที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหินทรายอาจเกิดการยุบตัว กระทบต่อแหล่งน้ำบาดาลใต้ดิน โดยดินระเบิดที่ใช้มีองค์ประกอบของแอมโมเนียไนเตรท ไนโทรกรีเซอรีน ไนโตรเซลลูโลส ดินดำ จนอาจทำให้สารดังกล่าวตกค้างในดิน ส่งผลให้การปลูกพืชของชาวบานไม่เจริญงอกงาม อาจทำให้เกิดสารปนเปื้อนในน้ำ บาดาลที่เป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคของชาวบ้าน
ซึ่งประเด็นเหล่านี้บริษัทผู้รับสัมปทานไม่เคยชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชนรวมถึงไม่เคยทำประชาพิจารณ์ข้อดี ข้อเสีย โครงการ จึงทำให้เชื่อว่า รายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้จัดทำขึ้น ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยที่ผ่านมาชาวบ้านได้มีการเคลื่อนไหวคัดค้านมาตลอด ทั้งการแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด แต่บริษัทฯ ก็ยังคงดำเนินการขุดเจาะอยู่ จึงต้องยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลปกครอง
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดศาลปกครองกลางได้ยกคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉิน แต่ก็ได้รับคำฟ้อง ไว้ดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ ยังได้ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว สั่งให้ผู้รับสัมปทานและบริษัทผู้รับจ้าง ระงับการจุดระเบิด หรือการทดสอบการระเบิดหลุมขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม ในระบบคลื่นไหวสะเทือน แบบ 3 มิติ ในพื้นที่ทั้งหมดไว้ก่อน จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา
สำหรับเหตุที่สมาคมฯ ยื่นฟ้องเนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดี ได้ให้สัมปทานการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม บนบก แปลงสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 6/2553/108 ลงวันที่ 25 ก.พ. 53 แก่ บริษัทซ่านซี เหยียน ฉาง ปิโตรเลียม กรุ๊ป จำกัด กลุ่มบริษัทเหยียนฉ่าง ปิโตรเลียม ประเทศจีน โดยบริษัทได้ว่าจ้างให้ บริษัท บีจีพี อินท์ไชน่า เนชั่นแนล ปิโตรเลียม คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้รับจ้างทำการสำรวจแปลงสัมปทาน ซึ่งก็ได้เข้าทำการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองอยู่ และพื้นที่ของชุมชนที่ถือเป็นสมบัติของแผ่นดินและสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน
โดยมีการใช้วัตถุระเบิด เพื่อระเบิดหลุมหลายพันหลุม เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้รับการยินยอม หรือมีข้อตกลงใดๆ กับชาวบ้านในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ถือเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ ทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายแพ่งพานิชย์ กฎหมายอาญา พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตของประชาชนและชุมชน อาทิ ในเรื่องของโครงสร้างชั้นดินที่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหินทรายอาจเกิดการยุบตัว กระทบต่อแหล่งน้ำบาดาลใต้ดิน โดยดินระเบิดที่ใช้มีองค์ประกอบของแอมโมเนียไนเตรท ไนโทรกรีเซอรีน ไนโตรเซลลูโลส ดินดำ จนอาจทำให้สารดังกล่าวตกค้างในดิน ส่งผลให้การปลูกพืชของชาวบานไม่เจริญงอกงาม อาจทำให้เกิดสารปนเปื้อนในน้ำ บาดาลที่เป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคของชาวบ้าน
ซึ่งประเด็นเหล่านี้บริษัทผู้รับสัมปทานไม่เคยชี้แจงทำความเข้าใจต่อประชาชนรวมถึงไม่เคยทำประชาพิจารณ์ข้อดี ข้อเสีย โครงการ จึงทำให้เชื่อว่า รายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้จัดทำขึ้น ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ โดยที่ผ่านมาชาวบ้านได้มีการเคลื่อนไหวคัดค้านมาตลอด ทั้งการแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัด แต่บริษัทฯ ก็ยังคงดำเนินการขุดเจาะอยู่ จึงต้องยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลปกครอง
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดศาลปกครองกลางได้ยกคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉิน แต่ก็ได้รับคำฟ้อง ไว้ดำเนินการต่อไป