นักศึกษาปฐมวัย ม.ราชภัฏกาฬสินธุ์แถลงไม่เกี่ยวข้องกับคลิปครูบังคับแสตมป์เซเว่นฯ-เครื่องแก้วแลกเกรด ระบุเป็นการเต็มใจมอบเครื่องแก้วไว้ใช้ในห้องเรียน ส่วนแสตมป์นำไปบริจาคและไม่เคยร้องเรียน ขณะอธิการบดีเชื่อนักศึกษาอาจถูกบังคับ ระบุผลสอบวินัยผิดร้ายแรงถึงขั้นไล่ออกและปลดออก มั่นใจพยานหลักฐานครบ ด้านนายกสภา มรภ.กาฬสินธุ์ ชี้อธิการบดีมีอำนาจตัดสินและลงโทษพนักงานได้ โดยไม่ต้องเสนอให้สภามหาวิทยาลัยพิจารณา คาดเสนอให้รับทราบ 26 ก.ค.นี้ ระบุอาจารย์สาวรับสารภาพทำเรื่องดังกล่าวจริง
จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปแสตมป์แลกเกรด ได้โพสต์คลิปวิดีโอลงยูทิวบ์ ชื่อ "อาจารย์ราชภัฏสาว แสตมป์เซเว่นฯ-เครื่องแก้วแลกเกรด" ซึ่งระบุว่าถูกบันทึกเมื่อวันที่ 23 มี.ค.57 จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างกว้างขวาง กระทั่งมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอาจารย์สาว ซึ่งสอนวิชาสาขาปฐมวัย คณะครุศาสตร์คนดังกล่าว
ต่อมาวานนี้ (17 ก.ค.) ตัวแทนนักศึกษาวิชาเอกการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ ทั้งกลุ่มศูนย์ในและศูนย์นอก หรือนักศึกษาปฐมวัย 53 จำนวน 27 คน ร่วมกันแถลงชี้แจงถึงกรณีคลิปภาพวิดีโอที่ถูกโพสต์ออกไป โดยระบุว่านักศึกษาปฐมวัย 53 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับคลิปดังกล่าว อีกทั้งยังไม่เคยร้องเรียนถึงพฤติกรรมของอาจารย์ที่สอนรายวิชาสัมมนาและจิตวิทยา สาขาปฐมวัยคนนี้ ที่ให้นำแสตมป์เซเว่นฯ-เครื่องแก้วมาแลกเกรดแต่อย่างใด แต่เป็นการเต็มใจของนักศึกษาที่ต้องการมอบสิ่งของให้กับภาควิชาปฐมวัยเพื่อใช้ในโอกาสที่จำเป็น ส่วนแสตมป์เซเว่นฯ นั้นเป็นการเต็มใจนำมามอบเพื่อไปบริจาค และกรณีการร้องเรียนบังคับให้ไปศึกษาดูงานต่างประเทศนั้นก็เป็นความเต็มใจของนักศึกษาเช่นกัน
**นักศึกษาโร่แถลงไม่เกี่ยวข้อง
น.ส.สุธาวัลย์ น้อยเสนา อายุ 26 ปี ตัวแทนนักศึกษา แถลงว่า ตามที่มีกระแสข่าวในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้นักศึกษาปฐมวัย 53 มหาวิทยาลัย และอาจารย์ได้รับความเสียหายเนื่องจากข้อความที่บรรยายในคลิปไม่เป็นเรื่องจริง คณะนักศึกษาปฐมวัย 53 จึงขอชี้แจงเรื่องดังกล่าว ดังนี้
1. เรื่องแสตมป์ในวิชาจิตวิทยาและการแนะแนวสำหรับครู อาจารย์ให้นักศึกษาทำรายงานหานักทฤษฎีด้านสังคม อารมณ์มาส่งภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่นักศึกษาแจ้งกับอาจารย์ว่าไม่ทันแล้วเสนออาจารย์ว่าขอเอาแสตมป์เซเว่นฯ มาส่งเป็นคะแนนจิตพิสัย 5 คะแนน โดยได้ปรึกษากันว่าแสตมป์ที่นำมาส่งจะนำไปบริจาคให้มูลนิธิ
พร้อมนี้อาจารย์ได้อบรมนักศึกษาเกี่ยวกับการทำงาน อาจารย์ได้พูดว่า "อะไรที่ซื้อมาด้วยเงิน พวกคุณสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แต่อะไรที่ต้องใช้สติปัญญาพวกคุณกลับบอกว่าไม่ทัน" หลังจากที่นักศึกษานำแสตมป์มาให้ อาจารย์ได้เอาแสตมป์รวบรวมให้นักศึกษาไปปิดบริจาคที่บอร์ดบริจาคเซเว่นฯ อาจารย์ไม่ได้เป็นผู้เรียกร้องให้นักศึกษาเอาแสตมป์มาแลกเกรดตามที่เป็นข่าว
นักศึกษาทั้งห้องเรียนมีทั้งหมด 20 คนได้เกรด A2 คน B+2 คน B4 คน ที่เหลือได้ C+ ซึ่งหากเรื่องนี้เป็นจริงทุกคนคงได้เกรด A ทุกคน ซึ่งไม่มีใครนำแสตมป์มามอบคนละ 400 ดวง แต่นำมามอบรวมแล้วเพียง 27 ดวงเท่านั้น
** ปัดอาจารย์ชักใยแถลงข่าว
2.เรื่องแก้ว นักศึกษาจบภาคทฤษฎีแล้วจึงได้นำแก้วมามอบให้สาขาปฐมวัยเป็นที่ระลึกและไว้ใช้ในส่วนรวม โดยเขียนข้อความใต้แก้วว่า ปฐมวัย 53 ซึ่งอาจารย์ไม่ได้เรียกร้องแต่อย่างใด
3.เรื่องการศึกษาดูงานที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายคนละ 7,300 บาทนั้น เป็นมติและนักศึกษาเห็นด้วยทุกคน โดยที่อาจารย์ไม่ได้บังคับ
4.เรื่องการขอขมา ซึ่งในคลิประบุว่าอาจารย์ให้ขอขมา แต่ความจริงนักศึกษาตั้งใจมาขอขมาด้วยความจริงใจกรณีที่มีการร้องเรียนอาจารย์
5.เรื่องคณบดีบังคับให้นักศึกษาลงชื่อ ไม่เป็นความจริง เนื่องจากนักศึกษาตั้งใจมาให้การว่าไม่ได้เป็นผู้ร้องเรียนเอง จึงได้ลงลายมือชื่อด้วยความสมัครใจ
6.กรณีคลิปในปล่อยออกไป ซึ่งมีทั้งการบรรยาย เพลงประกอบ เทคนิคการทำมัลติมีเดียสอบถามแล้วไม่มีใครทำเป็น เป็นการทำขึ้นของบุคคลอื่นที่ต้องการกล่าวร้ายและหมิ่นประมาททำให้อาจารย์เสียหาย และ 7.เรื่องการร้องเรียน นักศึกษาทั้งหมดไม่มีใครร้องเรียนอาจารย์ในเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของบุคคลที่สาม ที่พยายามหาทางกลั่นแกล้ง โดยการทำหนังสือร้องเรียนส่งไปทางมหาวิทยาลัย โดยลงชื่อผู้ร้องเรียนว่า ปฐมวัย 53 ซึ่งเป็นบุคคลที่ 3 ที่อยู่เบื้องหลัง เจตนายืมมือนักศึกษาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งอาจารย์
"การแถลงข่าวครั้งนี้เป็นการปกป้องชื่อเสียงของนักศึกษาปฐมวัย 53 และชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่อยากตกเป็นเครื่องมือใคร ส่วนสาเหตุที่อาจารย์ไม่ออกมาแถลงร่วมด้วยนั้นเพราะเกรงว่าจะเป็นการเข้าใจผิดว่า อาจารย์เป็นคนสั่งให้นักศึกษาออกมาแถลง ซึ่งยืนยันว่าไม่มีใครบังคับให้แถลงข่าวในครั้งนี้" น.ส.สุธาวัลย์ ระบุ
** ผลสอบชี้ผิดวินัยร้ายแรง-ไล่ออก
ทางด้าน ผศ.นพพร โฆสิระโยธิน รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ กล่าวว่า การแถลงชี้แจงของนักศึกษาครั้งนี้จะต้องดูว่ามาครบหรือไม่ ส่วนผู้ที่ออกมาจะต้องตรวจสอบว่าอาจจะถูกบังคับหรือข่มขู่มาหรือไม่ แต่คาดว่านักศึกษาน่าจะมีเหตุผลบางอย่างจึงจำเป็นต้องออกมาแถลง อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวมาถึงขั้นนี้แล้วประกอบกับที่ผ่านมามีการร้องเรียนและมีพยาน หลักฐานชัดเจนจนมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งผลออกมาปรากฏว่ามีมูลความผิด จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ซึ่งปกติจะต้องใช้เวลา 180 วัน
"แต่กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ซึ่งขณะนี้ผลของคณะกรรมการก็ส่งมาถึงแล้วว่าสรุปมีความผิดวินัยร้ายแรงมีโทษถึงขั้นไล่ออกและปลดออก แต่อยู่ระหว่างขั้นตอนของขบวนการกฎระเบียบ เพราะอาจารย์คนดังกล่าวมีตำแหน่งเป็นพนักงานราชการ ซึ่งจะต้องทำตามหลักเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมั่นใจในพยานหลักฐาน หากพบว่าผิดก็ว่าไปตามความผิด คงไม่สามารถยอมความกันได้" ผศ.นพพร กล่าว
ขณะที่ ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า ใน พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏได้กำหนดอำนาจตามข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ซึ่งออกโดยสภามหาวิทยาลัย ได้ ให้อำนาจอธิการบดีสามารถที่จะพิจารณาและตัดสินลงโทษพนักงานมหาวิทยาลัยที่กระทำผิดได้ทันที โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้สภามหาวิทยาลัยพิจารณา แต่เสนอเพื่อให้รับทราบเท่านั้น คาดว่าในการประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ ในวันที่ 26 ก.ค.นี้ อธิการบดีคงจะเสนอเรื่องให้สภามหาวิทยาลัยรับทราบ
“อธิการบดีได้รายงานว่าอาจารย์รับสารภาพว่าได้กระทำเรื่องดังกล่าวจริงและอ้างว่าทำได้ เพราะเป็นสิทธิที่จะดำเนินการให้คะแนนเด็กได้ แต่การกระทำนี้ถือว่าเป็นการผิดจรรยาบรรณการเป็นครูเป็นเรื่องด่างพร้อยวงการครู ผมจึงกำชับอธิการบดีว่าให้ดำเนินการทุกอย่างตามข้อเท็จจริง และหากนักศึกษาคนใดพบเห็นกรณีเช่นนี้อีกก็สามารถให้ข้อมูลได้ เพื่อเราจะได้ดำเนินการคนเหล่านี้ ส่วนที่ว่าอาจารย์คนนี่จะไปออกไปเป็นครูได้อีกหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของหน่วยงานที่รับว่าจะมีการตรวจสอบถึงพฤติกรรมหรือไม่” ศ.ดร.ภาวิช กล่าว
** กกอ.จี้ มรภ.ทบทวนระบบประเมินครู
ทางด้าน รศ.นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่านักศึกษาสาขาปฐมวัน 53 ทั้งหมดไม่มีใครร้องเรียนอาจารย์ แต่เป็นอาจารย์กันเองที่ร้องเรียน ว่า ทาง มรภ.กาฬสินธุ์ ต้องไปสืบหาข้อเท็จจริง เพราะแม้จะตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาผิดจริง ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาอยู่ อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นตนเชื่อว่าที่ประชุมอธิการบดี มรภ.เองก็มีความกังวลกับกรณีดังกล่าวเพราะเสียชื่อไปหมด ดังนั้น มหาวิทยาลัยต้องกลับไปทบทวนกระบวนการประเมินผลว่า เหตุใดจึงปล่อยให้อาจารย์มีอิทธิพลต่อนักศึกษา การประเมินต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม คนที่ทำคะแนนได้ดี ก็ควรได้เกรดดี ไม่ใช่ใช้สิ่งของมาแลก และไม่ได้หมายถึงเฉพาะ มรภ.กาฬสินธุ์เท่านั้น แต่หมายถึงการประเมินผลความรู้ของมหาวิทยาลัยทั้งระบบที่จะต้องปรับให้มีมาตรฐาน
จากกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปแสตมป์แลกเกรด ได้โพสต์คลิปวิดีโอลงยูทิวบ์ ชื่อ "อาจารย์ราชภัฏสาว แสตมป์เซเว่นฯ-เครื่องแก้วแลกเกรด" ซึ่งระบุว่าถูกบันทึกเมื่อวันที่ 23 มี.ค.57 จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างกว้างขวาง กระทั่งมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอาจารย์สาว ซึ่งสอนวิชาสาขาปฐมวัย คณะครุศาสตร์คนดังกล่าว
ต่อมาวานนี้ (17 ก.ค.) ตัวแทนนักศึกษาวิชาเอกการศึกษาปฐมวัย ชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ ทั้งกลุ่มศูนย์ในและศูนย์นอก หรือนักศึกษาปฐมวัย 53 จำนวน 27 คน ร่วมกันแถลงชี้แจงถึงกรณีคลิปภาพวิดีโอที่ถูกโพสต์ออกไป โดยระบุว่านักศึกษาปฐมวัย 53 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นกับคลิปดังกล่าว อีกทั้งยังไม่เคยร้องเรียนถึงพฤติกรรมของอาจารย์ที่สอนรายวิชาสัมมนาและจิตวิทยา สาขาปฐมวัยคนนี้ ที่ให้นำแสตมป์เซเว่นฯ-เครื่องแก้วมาแลกเกรดแต่อย่างใด แต่เป็นการเต็มใจของนักศึกษาที่ต้องการมอบสิ่งของให้กับภาควิชาปฐมวัยเพื่อใช้ในโอกาสที่จำเป็น ส่วนแสตมป์เซเว่นฯ นั้นเป็นการเต็มใจนำมามอบเพื่อไปบริจาค และกรณีการร้องเรียนบังคับให้ไปศึกษาดูงานต่างประเทศนั้นก็เป็นความเต็มใจของนักศึกษาเช่นกัน
**นักศึกษาโร่แถลงไม่เกี่ยวข้อง
น.ส.สุธาวัลย์ น้อยเสนา อายุ 26 ปี ตัวแทนนักศึกษา แถลงว่า ตามที่มีกระแสข่าวในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้นักศึกษาปฐมวัย 53 มหาวิทยาลัย และอาจารย์ได้รับความเสียหายเนื่องจากข้อความที่บรรยายในคลิปไม่เป็นเรื่องจริง คณะนักศึกษาปฐมวัย 53 จึงขอชี้แจงเรื่องดังกล่าว ดังนี้
1. เรื่องแสตมป์ในวิชาจิตวิทยาและการแนะแนวสำหรับครู อาจารย์ให้นักศึกษาทำรายงานหานักทฤษฎีด้านสังคม อารมณ์มาส่งภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่นักศึกษาแจ้งกับอาจารย์ว่าไม่ทันแล้วเสนออาจารย์ว่าขอเอาแสตมป์เซเว่นฯ มาส่งเป็นคะแนนจิตพิสัย 5 คะแนน โดยได้ปรึกษากันว่าแสตมป์ที่นำมาส่งจะนำไปบริจาคให้มูลนิธิ
พร้อมนี้อาจารย์ได้อบรมนักศึกษาเกี่ยวกับการทำงาน อาจารย์ได้พูดว่า "อะไรที่ซื้อมาด้วยเงิน พวกคุณสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว แต่อะไรที่ต้องใช้สติปัญญาพวกคุณกลับบอกว่าไม่ทัน" หลังจากที่นักศึกษานำแสตมป์มาให้ อาจารย์ได้เอาแสตมป์รวบรวมให้นักศึกษาไปปิดบริจาคที่บอร์ดบริจาคเซเว่นฯ อาจารย์ไม่ได้เป็นผู้เรียกร้องให้นักศึกษาเอาแสตมป์มาแลกเกรดตามที่เป็นข่าว
นักศึกษาทั้งห้องเรียนมีทั้งหมด 20 คนได้เกรด A2 คน B+2 คน B4 คน ที่เหลือได้ C+ ซึ่งหากเรื่องนี้เป็นจริงทุกคนคงได้เกรด A ทุกคน ซึ่งไม่มีใครนำแสตมป์มามอบคนละ 400 ดวง แต่นำมามอบรวมแล้วเพียง 27 ดวงเท่านั้น
** ปัดอาจารย์ชักใยแถลงข่าว
2.เรื่องแก้ว นักศึกษาจบภาคทฤษฎีแล้วจึงได้นำแก้วมามอบให้สาขาปฐมวัยเป็นที่ระลึกและไว้ใช้ในส่วนรวม โดยเขียนข้อความใต้แก้วว่า ปฐมวัย 53 ซึ่งอาจารย์ไม่ได้เรียกร้องแต่อย่างใด
3.เรื่องการศึกษาดูงานที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายคนละ 7,300 บาทนั้น เป็นมติและนักศึกษาเห็นด้วยทุกคน โดยที่อาจารย์ไม่ได้บังคับ
4.เรื่องการขอขมา ซึ่งในคลิประบุว่าอาจารย์ให้ขอขมา แต่ความจริงนักศึกษาตั้งใจมาขอขมาด้วยความจริงใจกรณีที่มีการร้องเรียนอาจารย์
5.เรื่องคณบดีบังคับให้นักศึกษาลงชื่อ ไม่เป็นความจริง เนื่องจากนักศึกษาตั้งใจมาให้การว่าไม่ได้เป็นผู้ร้องเรียนเอง จึงได้ลงลายมือชื่อด้วยความสมัครใจ
6.กรณีคลิปในปล่อยออกไป ซึ่งมีทั้งการบรรยาย เพลงประกอบ เทคนิคการทำมัลติมีเดียสอบถามแล้วไม่มีใครทำเป็น เป็นการทำขึ้นของบุคคลอื่นที่ต้องการกล่าวร้ายและหมิ่นประมาททำให้อาจารย์เสียหาย และ 7.เรื่องการร้องเรียน นักศึกษาทั้งหมดไม่มีใครร้องเรียนอาจารย์ในเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของบุคคลที่สาม ที่พยายามหาทางกลั่นแกล้ง โดยการทำหนังสือร้องเรียนส่งไปทางมหาวิทยาลัย โดยลงชื่อผู้ร้องเรียนว่า ปฐมวัย 53 ซึ่งเป็นบุคคลที่ 3 ที่อยู่เบื้องหลัง เจตนายืมมือนักศึกษาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งอาจารย์
"การแถลงข่าวครั้งนี้เป็นการปกป้องชื่อเสียงของนักศึกษาปฐมวัย 53 และชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่อยากตกเป็นเครื่องมือใคร ส่วนสาเหตุที่อาจารย์ไม่ออกมาแถลงร่วมด้วยนั้นเพราะเกรงว่าจะเป็นการเข้าใจผิดว่า อาจารย์เป็นคนสั่งให้นักศึกษาออกมาแถลง ซึ่งยืนยันว่าไม่มีใครบังคับให้แถลงข่าวในครั้งนี้" น.ส.สุธาวัลย์ ระบุ
** ผลสอบชี้ผิดวินัยร้ายแรง-ไล่ออก
ทางด้าน ผศ.นพพร โฆสิระโยธิน รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ กล่าวว่า การแถลงชี้แจงของนักศึกษาครั้งนี้จะต้องดูว่ามาครบหรือไม่ ส่วนผู้ที่ออกมาจะต้องตรวจสอบว่าอาจจะถูกบังคับหรือข่มขู่มาหรือไม่ แต่คาดว่านักศึกษาน่าจะมีเหตุผลบางอย่างจึงจำเป็นต้องออกมาแถลง อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวมาถึงขั้นนี้แล้วประกอบกับที่ผ่านมามีการร้องเรียนและมีพยาน หลักฐานชัดเจนจนมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งผลออกมาปรากฏว่ามีมูลความผิด จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัย ซึ่งปกติจะต้องใช้เวลา 180 วัน
"แต่กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ซึ่งขณะนี้ผลของคณะกรรมการก็ส่งมาถึงแล้วว่าสรุปมีความผิดวินัยร้ายแรงมีโทษถึงขั้นไล่ออกและปลดออก แต่อยู่ระหว่างขั้นตอนของขบวนการกฎระเบียบ เพราะอาจารย์คนดังกล่าวมีตำแหน่งเป็นพนักงานราชการ ซึ่งจะต้องทำตามหลักเกณฑ์ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมั่นใจในพยานหลักฐาน หากพบว่าผิดก็ว่าไปตามความผิด คงไม่สามารถยอมความกันได้" ผศ.นพพร กล่าว
ขณะที่ ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า ใน พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏได้กำหนดอำนาจตามข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคล ซึ่งออกโดยสภามหาวิทยาลัย ได้ ให้อำนาจอธิการบดีสามารถที่จะพิจารณาและตัดสินลงโทษพนักงานมหาวิทยาลัยที่กระทำผิดได้ทันที โดยไม่ต้องเสนอเรื่องให้สภามหาวิทยาลัยพิจารณา แต่เสนอเพื่อให้รับทราบเท่านั้น คาดว่าในการประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ ในวันที่ 26 ก.ค.นี้ อธิการบดีคงจะเสนอเรื่องให้สภามหาวิทยาลัยรับทราบ
“อธิการบดีได้รายงานว่าอาจารย์รับสารภาพว่าได้กระทำเรื่องดังกล่าวจริงและอ้างว่าทำได้ เพราะเป็นสิทธิที่จะดำเนินการให้คะแนนเด็กได้ แต่การกระทำนี้ถือว่าเป็นการผิดจรรยาบรรณการเป็นครูเป็นเรื่องด่างพร้อยวงการครู ผมจึงกำชับอธิการบดีว่าให้ดำเนินการทุกอย่างตามข้อเท็จจริง และหากนักศึกษาคนใดพบเห็นกรณีเช่นนี้อีกก็สามารถให้ข้อมูลได้ เพื่อเราจะได้ดำเนินการคนเหล่านี้ ส่วนที่ว่าอาจารย์คนนี่จะไปออกไปเป็นครูได้อีกหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของหน่วยงานที่รับว่าจะมีการตรวจสอบถึงพฤติกรรมหรือไม่” ศ.ดร.ภาวิช กล่าว
** กกอ.จี้ มรภ.ทบทวนระบบประเมินครู
ทางด้าน รศ.นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่านักศึกษาสาขาปฐมวัน 53 ทั้งหมดไม่มีใครร้องเรียนอาจารย์ แต่เป็นอาจารย์กันเองที่ร้องเรียน ว่า ทาง มรภ.กาฬสินธุ์ ต้องไปสืบหาข้อเท็จจริง เพราะแม้จะตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาผิดจริง ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาอยู่ อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดขึ้นตนเชื่อว่าที่ประชุมอธิการบดี มรภ.เองก็มีความกังวลกับกรณีดังกล่าวเพราะเสียชื่อไปหมด ดังนั้น มหาวิทยาลัยต้องกลับไปทบทวนกระบวนการประเมินผลว่า เหตุใดจึงปล่อยให้อาจารย์มีอิทธิพลต่อนักศึกษา การประเมินต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม คนที่ทำคะแนนได้ดี ก็ควรได้เกรดดี ไม่ใช่ใช้สิ่งของมาแลก และไม่ได้หมายถึงเฉพาะ มรภ.กาฬสินธุ์เท่านั้น แต่หมายถึงการประเมินผลความรู้ของมหาวิทยาลัยทั้งระบบที่จะต้องปรับให้มีมาตรฐาน