วานนี้ (17 ก.ค.) เมื่อเวลา 17.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายวิชา มหาคุณ กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. แถลงภายหลังการประชุม ป.ป.ช.คณะใหญ่ กรณีไต่สวนข้อเท็จจริงการกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. 7 คน ยกเว้น พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ที่ขอถอนตัวก่อนหน้านี้ ลงมติเอกฉันท์ว่า มีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกกล่าวหาเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ตามที่มีอำนาจหน้าที่จนทำให้ทางราชการได้รับความเสียหาย เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งได้กำหนดนโยบายการรับจำนำข้าวมาตั้งแต่ต้น และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและมีส่วนร่วมในการบริหารโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลได้กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกสูงกว่าราคาท้องตลาดเกินกว่าไปที่ควรคาดหมายได้ตามปกติ อันมีลักษณะเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด และในการดำเนินโครงการปรากฏว่า เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน ทั้งการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การสวมสิทธิ์เกษตรกร โกงความชื้น โกงตราชั่ง นำข้าวมาเวียนเข้าโครงการ การลักลอบนำข้าวออกจากคลัง
** ซัด “ปู” ใช้อิทธิพลช่วยเหลือพวกพ้อง
นายวิชา กล่าวต่อว่า ในส่วนของการระบายข้าวที่รับจำนำมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ข้าวจากโครงการไปจำหน่าย เกิดระบบนายหน้าค้าข้าว ไม่ประมูลข้าวอย่างเปิดเผย ก่อให้เกิดภาระรายจ่ายของรัฐและสภาวะขาดทุนจำนวนมาก ทั้งการอุดหนุนเกษตรกรและค่าใช้จ่ายต่างๆ และอาจมีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพ ข้าวสูญหายจากโกดัง รัฐเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ทำลายการค้าข้าวโดยเสรี โรงสีและผู้ส่งออกนอกโครงการไม่สามารถจัดหาข้าวได้เพียงพอ ส่วนโรงสีในโครงการได้เปรียบ และราคาข้าวไทยแพงกว่าต่างประเทศ สูญเสียตลาดส่งออกโดยสำคัญ การจำนำข้าวทุกเมล็ดทำให้เกิดความเสี่ยงจากการนำข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ์ ตลอดจนคุณภาพข้าวที่ต่ำลง เมื่อมีการระบายข้าวเกิดผลขาดทุนจำนวนมาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับรู้รับทราบจากผลการปิดบัญชีโครงการ รับรู้ว่ามีการทุจริตทุกขั้นตอน และมีชาวนาเข้าร่วมโครงการนับล้านครอบครัวไม่ได้รับเงิน เกิดความเสียหายและฆ่าตัวตาย จึงมีความจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องรับทราบและยับยั้งโครงการ แต่ยังดึงดันที่จะดำเนินโครงการต่อไป ก่อให้เกิดความเสียหายไปเรื่อยๆ
“การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวจึงมีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 มาตรา 123/1ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และให้สรุปสำนวนเพื่อรายพร้อมส่งเอกสารความเห็นดังกล่าวไปยังอัยการสูงสุด เพื่อให้ดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามฐานความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 มาตรา 70” นายวิชา ระบุ
** หยอกมติ ป.ป.ช.อาจทำทัวร์นอกกร่อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มูลค่าความเสียหายของโครงการที่เกิดขึ้นมีจำนวนเท่าไร นายวิชา กล่าวว่า ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท เป็นไปตามที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวยืนยันมาตลอด อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เลขาธิการ ป.ป.ช.จะจัดทำเอกสารให้แล้วเสร็จเพื่อส่งให้อัยการสูงสุดในสัปดาห์หน้า
เมื่อถามว่า การชี้มูลของ ป.ป.ช.วันนี้มีผลต่อการเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ทาง ป.ป.ช.ไม่ได้นำมาเกี่ยวข้อง การจะเดินทางไปต่างประเทศนั้นเป็นอำนาจของ คสช.ที่จะพิจารณา ไม่เกี่ยวกับ ป.ป.ช.
“เป็นความบังเอิญที่ ป.ป.ช.ตัดสินตรงกับช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอเดินไปต่างประเทศพอดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังเดินทางไปต่างประเทศได้หาก คสช.อนุญาต แต่อาจเที่ยวไม่สนุกเท่านั้น และอย่าไปคาดเดาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางกลับมาหรือไม่กลับมา” นายวิชา ระบุ
** ก.ย.นี้ปิดมหากาพย์โกงข้าวทุกคดี
เมื่อถามว่า เหตุใดจึงมีการชี้มูลแบบกะทันหันเช่นนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ระบุว่าจะชี้มูลได้ในเดือน ก.ย. นายวิชา กล่าวว่า ที่พูดถึงเดือน ก.ย.นั้นหมายถึงคดีจำนำข้าวทั้งหมด รวมถึงที่มีชื่อของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และหลายๆ คนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ป.ป.ช.กำลังดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน และจะสามารถสรุปได้ในเดือนก.ย. แต่ครั้งนี้เป็นการพิจารณาคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์คนเดียว ทั้งนี้ จากนี้จะเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุด หลังจากที่ป.ป.ช.ทำเรื่องนี้อย่างที่สุดแล้ว ส่วนความเห็นของอัยการสูงสุดจะเป็นอย่างไรอย่าเพิ่งไปคาดการณ์ล่วงหน้า หรือคาดเดาใดๆ เพราะเป็นข้อกฎหมาย ป.ป.ช.ได้ทำตามหน้าที่อย่างครบถ้วน ตอนนี้หมดหน้าที่ ป.ป.ช.แล้ว
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่อยู่ในการตรวจสอบของ ป.ป.ช.จำนวนเท่าใด นายวิชา กล่าวว่า มีทั้งหมด 35 เรื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงมติชี้มูลความผิดคดีอาญาจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันนี้ถือเป็นการลงมติแบบสายฟ้าแลบ โดยไม่มีใครทราบล่วงหน้า และยังแจ้งให้ผู้สื่อข่าวทราบว่าจะมีการแถลงข่าวอย่างกะทันหันเพียง 40 นาทีเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายวิชาเคยระบุว่า จะลงมติโครงการรับจำนำข้าวได้ในเดือน ก.ย. โดยนายวิชาให้เหตุผลกับผู้สื่อข่าวว่าการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในครั้งนี้เนื่องจากได้ไต่สวนข้อมูลข้อเท็จจริง และมีหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
ขณะที่บุคคลใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์รับทราบมติของ ป.ป.ช.แล้ว แต่จะยังไม่มีท่าทีใดๆออกมา โดยได้สั่งเรียกประชุมทีมกฎหมายและคณะทำงานด่วนในเวลา 09.00 น. วันนี้ (18 ก.ค.) ซึ่งภายหลังการประชุมอาจมอบหมายให้ทีมงานหรือทนายความออกมาชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับคดีและแนวทางการต่อสู้อีกครั้ง ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องการให้เกิดความชัดเจนก่อนที่ตัวเองจะเดินทางไปต่างประเทศ
** คสช.ชี้ “ยิ่งลักษณ์” อยู่ในกรอบ-อนุญาตบินนอก
วันเดียวกัน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้า คสช. เพื่อขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ โดยให้เหตุผลว่า จะเดินทางไปพักผ่อน พร้อมกับ ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชาย ที่ประเทศแถบทวีปยุโรป ระหว่างวันที่ 20 ก.ค. - 10 ส.ค.นี้ว่า ทาง คสช.อนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศระหว่างวันที่ 20 ก.ค.-10 ส.ค.นี้ ตามที่มีการร้องขอมา หลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ติดต่อประสานงานมายัง คสช. เพื่ออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ โดยระบุว่า ไปภารกิจส่วนตัวในต่างประเทศ โดย คสช.พิจารณาแล้วเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ขอมาตามขั้นตอน และช่วงที่ผ่านมาก็ไม่เคยขัดคำสั่งของ คสช. หรือฝืนคำสั่งที่ได้มีการตกลงกัน อีกทั้งคำสั่งห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือห้ามการเดินทางออกนอกประเทศ
“ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ให้ความร่วมมือด้วยดีมาตลอด จึงเห็นชอบอนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามารถเดินทางไปได้” พ.อ.วินธัย ระบุ
พ.อ.วินธัย กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่า คสช.ไม่ได้ลิดรอนสิทธิส่วนบุคคล ส่วนคำขอของบุคคลอื่นนั้นยังไม่เห็นว่ามียื่นเข้ามาอีกหรือไม่ ซึ่งหากมีเข้ามา ก็ต้องพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ เช่น ประวัติการกระทำความผิด คดี หรือข้อกล่าวหาที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องขึ้นอยู่กับ คสช.พิจารณา
ส่วนการที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์จะส่งผลให้ คสช.ทบทวนการเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่นั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ขณะนี้ทีมโฆษก คสช.ยังไม่ได้รับข้อมูลเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้ อย่างไรก็ตามมองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง อีกทั้งการพิจารณาไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. ก็ถือเป็นขั้นตอนดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการพิจารณาของ คสช. อย่างไรก็ตามหากทาง ป.ป.ช.หรืออัยการสูงสุดประสานมายัง คสช.เพื่อขอให้ระงับการเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ถือเป็นดุลยพินิจของผู้ใหญ่ใน คสช.
** “บัวแก้ว”เชื่อไม่ลักไก่ลี้ภัยการเมือง
ด้าน นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า ไม่มีอะไรนอกเหนือจากความคาดหมาย และถือเป็นการร้องขอต่อ คสช. ตามขั้นตอนตามปกติ และไม่คิดว่าจะเป็นการลี้ภัยทางการเมือง ส่วนการเคลื่อนไหวขององคก์รเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ในต่างประเทศนั้น ทางกระทรวงยังคงติดตามอยู่ แต่ไม่ได้ให้ค่าหรือสถานะใดๆ เพราะการเคลื่อนไหวในต่างประเทศของกลุ่มนี้อยู่ในกลุ่มประเทศที่เป็นมิตรกับไทย จึงเชื่อว่าประเทศเหล่านั้นคงไม่ยอมให้ใช้ประเทศเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวเพื่อแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย
รายงานข่าวแจ้งว่า การเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่มีการกำหนดว่า จะไปประเทศใดบ้าง โดยเบื้องต้นจะเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะเดินทางเข้าทวีปยุโรป นอกเหนือจากจะไปท่องเที่ยวและพักผ่อนแล้ว ยังมีกำหนดการช่วงหนึ่งเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ เพื่อดูโรงเรียนให้แก่บุตรชายที่มีแผนการจะส่งไปศึกษาต่อที่ประเทศดังกล่าวด้วย หลังจากที่ในช่วงที่มีสถานการณ์ทางการเมือง บุตรชายถูกฝ่ายต่อต้านแสดงสัญลักษณ์ประท้วงหลายเรื่อง ทั้งนี้คาดการณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชาย ซึ่งมีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่า จะจัดงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 65 ปี ที่กรุงปารีส ในวันที่ 26 ก.ค.ที่จะถึงนี้
** “วัชระ” เตือนคสช.ปล่อยเสือเข้าป่า
ขณะที่ นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการตัดสินใจของ คสช.ว่า ตนขอยกคำสอนโบราณ ที่กวีเอกสุนทรภู่ได้แต่งไว้สอนคนรุ่นหลัง ฝากถึงหัวหน้า คสช. ว่า ประเพณีตีงูให้หลังหัก มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง จรเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง เหมือนเสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย ต้องตำหรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย จะทำภายหลังยากลำบากครั้น หมายความว่า อย่าให้ประมาทในการกระทำการใดๆ
“ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกนอกประเทศไปแล้วไม่กลับมายังประเทศไทย ซ้ำรอยเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วใครจะรับผิดชอบ เพราะคดีการทุจริตจำนำข้าว ก็งวดเข้ามาทุกขณะ โดยพบความเสียหาย เช่น ข้าวเสื่อมสภาพ ข้าวหาย บัญชีปิดไม่ได้เป็นจำนวนหลายแสนล้านบาท ใครจะรับผิดชอบในกรณีนี้” นายวัชระ กล่าว
** จี้ “ทนายปู” สละตำแหน่งบอร์ด รสก.
นายวัชระ ยังได้กล่าวถึง กรณี นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ให้ข่าวพาดพิงต่อ ป.ป.ช.กรณีไม่อนุญาตให้พิจารณาพยานบุคคลเพิ่มอีก 8 ปาก ในคดีทุจริตในโครงการจำนำข้าวว่า หากนายนรวิชญ์จะทำหน้าที่ทนายในคดีดังกล่าว ก็ขอให้นายนรวิชญ์ลาออกจากบอร์ดของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) บอร์ดของ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และที่ปรึกษาคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งการเป็นบอร์ดดังกล่าว ได้รับผลตอบแทน และเงินเดือนเฉลี่ยขั้นต่ำปีละ 2.4 แสนบาท สูงสุด 3.6 แสนบาท ต่อปีต่อแห่ง แสดงว่า นายนรวิชญ์ ได้รับเงินขั้นต่ำต่อปี 4.8 แสนบาท หรือ ขั้นสูง 7.2 แสนบาทต่อปี ยังไม่รวมโบนัสและสวัสดิการตอบแทนอื่นๆ
“ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า นายนรวิชญ์ไม่ได้มีความชำนาญหรือความถนัดใดๆเกี่ยวข้องกับงานของรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทที่ได้เป็นบอร์ดอยู่ เพราะคาดว่าสาเหตุที่นายนรวิชญ์ได้รับการตั้งแต่งเป็นบอร์ด ก็เพราะเป็นทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช่หรือไม่ เพราะเห็นนายนรวิชญ์ ทำหน้าที่เป็นทนายช่วยเหลือในคดีจำนำข้าวเพียงอย่างเดียว” นายวัชระ กล่าว
**CAC กระตุ้น บจ.เร่งป้องกันโกง
ทางด้าน นายบัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมสถาบันส่งเสริมสถาบันกรรมการไทย (IOD) และเลขาธิการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) เปิดเผยว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังตื่นตัวอย่างมากกับเรื่องของการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งการจะจัดการปัญหานี้ให้เป็นผลสำเร็จจำเป็นต้องมีการดำเนินการควบคู่กันไปทุกด้านอย่างเป็นระบบ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ในส่วนของบริษัทจดทะเบียนฯ ถือเป็นกลุ่มผู้นำในภาคเอกชนซึ่งต้องสร้างแบบอย่างที่ดีในการวางกลไกป้องกันการทุจริต คอร์รัปชัน ทาง IOD พร้อมให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้ บริษัทจดทะเบียนฯ ประสบความสำเร็จในการวางนโยบายและระบบงานภายในเพื่อป้องกันการทุจริต และสามารถปรับปรุงคะแนนดัชนีความคืบหน้าการป้องกันการคอร์รัปชั่น ซึ่งจะส่งผลดีโดยรวมต่อการทำธุรกิจในภาพรวมให้มีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
การที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เตรียมจัดทำดัชนีชี้วัดความคืบหน้าในการป้องกันคอร์รัปชั่น ของ บจ.กว่า 500 แห่ง และจะขอความร่วมมือให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เผยแพร่คะแนนของ บจ. แต่ละแห่งในบทวิเคราะห์ตั้งแต่เดือนสิงหาคมนั้น นายบัณฑิตแนะนำว่า บริษัทจดทะเบียนฯ ต่างๆ ควรที่จะเร่งดำเนินการให้เกิดความคืบหน้าในการติดตั้งกลไกป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อปรับปรุงคะแนนดัชนีของบริษัท เสริมภาพลักษณ์ด้านความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนรวมถึงผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทด้วย.
** ซัด “ปู” ใช้อิทธิพลช่วยเหลือพวกพ้อง
นายวิชา กล่าวต่อว่า ในส่วนของการระบายข้าวที่รับจำนำมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ข้าวจากโครงการไปจำหน่าย เกิดระบบนายหน้าค้าข้าว ไม่ประมูลข้าวอย่างเปิดเผย ก่อให้เกิดภาระรายจ่ายของรัฐและสภาวะขาดทุนจำนวนมาก ทั้งการอุดหนุนเกษตรกรและค่าใช้จ่ายต่างๆ และอาจมีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพ ข้าวสูญหายจากโกดัง รัฐเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ทำลายการค้าข้าวโดยเสรี โรงสีและผู้ส่งออกนอกโครงการไม่สามารถจัดหาข้าวได้เพียงพอ ส่วนโรงสีในโครงการได้เปรียบ และราคาข้าวไทยแพงกว่าต่างประเทศ สูญเสียตลาดส่งออกโดยสำคัญ การจำนำข้าวทุกเมล็ดทำให้เกิดความเสี่ยงจากการนำข้าวจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ์ ตลอดจนคุณภาพข้าวที่ต่ำลง เมื่อมีการระบายข้าวเกิดผลขาดทุนจำนวนมาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับรู้รับทราบจากผลการปิดบัญชีโครงการ รับรู้ว่ามีการทุจริตทุกขั้นตอน และมีชาวนาเข้าร่วมโครงการนับล้านครอบครัวไม่ได้รับเงิน เกิดความเสียหายและฆ่าตัวตาย จึงมีความจำเป็นที่นายกรัฐมนตรีจะต้องรับทราบและยับยั้งโครงการ แต่ยังดึงดันที่จะดำเนินโครงการต่อไป ก่อให้เกิดความเสียหายไปเรื่อยๆ
“การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวจึงมีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 มาตรา 123/1ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และให้สรุปสำนวนเพื่อรายพร้อมส่งเอกสารความเห็นดังกล่าวไปยังอัยการสูงสุด เพื่อให้ดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามฐานความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554 มาตรา 70” นายวิชา ระบุ
** หยอกมติ ป.ป.ช.อาจทำทัวร์นอกกร่อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มูลค่าความเสียหายของโครงการที่เกิดขึ้นมีจำนวนเท่าไร นายวิชา กล่าวว่า ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท เป็นไปตามที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวยืนยันมาตลอด อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เลขาธิการ ป.ป.ช.จะจัดทำเอกสารให้แล้วเสร็จเพื่อส่งให้อัยการสูงสุดในสัปดาห์หน้า
เมื่อถามว่า การชี้มูลของ ป.ป.ช.วันนี้มีผลต่อการเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ทาง ป.ป.ช.ไม่ได้นำมาเกี่ยวข้อง การจะเดินทางไปต่างประเทศนั้นเป็นอำนาจของ คสช.ที่จะพิจารณา ไม่เกี่ยวกับ ป.ป.ช.
“เป็นความบังเอิญที่ ป.ป.ช.ตัดสินตรงกับช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ขอเดินไปต่างประเทศพอดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังเดินทางไปต่างประเทศได้หาก คสช.อนุญาต แต่อาจเที่ยวไม่สนุกเท่านั้น และอย่าไปคาดเดาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางกลับมาหรือไม่กลับมา” นายวิชา ระบุ
** ก.ย.นี้ปิดมหากาพย์โกงข้าวทุกคดี
เมื่อถามว่า เหตุใดจึงมีการชี้มูลแบบกะทันหันเช่นนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ระบุว่าจะชี้มูลได้ในเดือน ก.ย. นายวิชา กล่าวว่า ที่พูดถึงเดือน ก.ย.นั้นหมายถึงคดีจำนำข้าวทั้งหมด รวมถึงที่มีชื่อของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และหลายๆ คนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ป.ป.ช.กำลังดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน และจะสามารถสรุปได้ในเดือนก.ย. แต่ครั้งนี้เป็นการพิจารณาคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์คนเดียว ทั้งนี้ จากนี้จะเป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุด หลังจากที่ป.ป.ช.ทำเรื่องนี้อย่างที่สุดแล้ว ส่วนความเห็นของอัยการสูงสุดจะเป็นอย่างไรอย่าเพิ่งไปคาดการณ์ล่วงหน้า หรือคาดเดาใดๆ เพราะเป็นข้อกฎหมาย ป.ป.ช.ได้ทำตามหน้าที่อย่างครบถ้วน ตอนนี้หมดหน้าที่ ป.ป.ช.แล้ว
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่อยู่ในการตรวจสอบของ ป.ป.ช.จำนวนเท่าใด นายวิชา กล่าวว่า มีทั้งหมด 35 เรื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การลงมติชี้มูลความผิดคดีอาญาจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันนี้ถือเป็นการลงมติแบบสายฟ้าแลบ โดยไม่มีใครทราบล่วงหน้า และยังแจ้งให้ผู้สื่อข่าวทราบว่าจะมีการแถลงข่าวอย่างกะทันหันเพียง 40 นาทีเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายวิชาเคยระบุว่า จะลงมติโครงการรับจำนำข้าวได้ในเดือน ก.ย. โดยนายวิชาให้เหตุผลกับผู้สื่อข่าวว่าการชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในครั้งนี้เนื่องจากได้ไต่สวนข้อมูลข้อเท็จจริง และมีหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
ขณะที่บุคคลใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์รับทราบมติของ ป.ป.ช.แล้ว แต่จะยังไม่มีท่าทีใดๆออกมา โดยได้สั่งเรียกประชุมทีมกฎหมายและคณะทำงานด่วนในเวลา 09.00 น. วันนี้ (18 ก.ค.) ซึ่งภายหลังการประชุมอาจมอบหมายให้ทีมงานหรือทนายความออกมาชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับคดีและแนวทางการต่อสู้อีกครั้ง ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องการให้เกิดความชัดเจนก่อนที่ตัวเองจะเดินทางไปต่างประเทศ
** คสช.ชี้ “ยิ่งลักษณ์” อยู่ในกรอบ-อนุญาตบินนอก
วันเดียวกัน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้า คสช. เพื่อขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ โดยให้เหตุผลว่า จะเดินทางไปพักผ่อน พร้อมกับ ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชาย ที่ประเทศแถบทวีปยุโรป ระหว่างวันที่ 20 ก.ค. - 10 ส.ค.นี้ว่า ทาง คสช.อนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศระหว่างวันที่ 20 ก.ค.-10 ส.ค.นี้ ตามที่มีการร้องขอมา หลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ติดต่อประสานงานมายัง คสช. เพื่ออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ โดยระบุว่า ไปภารกิจส่วนตัวในต่างประเทศ โดย คสช.พิจารณาแล้วเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ขอมาตามขั้นตอน และช่วงที่ผ่านมาก็ไม่เคยขัดคำสั่งของ คสช. หรือฝืนคำสั่งที่ได้มีการตกลงกัน อีกทั้งคำสั่งห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือห้ามการเดินทางออกนอกประเทศ
“ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ให้ความร่วมมือด้วยดีมาตลอด จึงเห็นชอบอนุญาตให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สามารถเดินทางไปได้” พ.อ.วินธัย ระบุ
พ.อ.วินธัย กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่า คสช.ไม่ได้ลิดรอนสิทธิส่วนบุคคล ส่วนคำขอของบุคคลอื่นนั้นยังไม่เห็นว่ามียื่นเข้ามาอีกหรือไม่ ซึ่งหากมีเข้ามา ก็ต้องพิจารณาจากหลายองค์ประกอบ เช่น ประวัติการกระทำความผิด คดี หรือข้อกล่าวหาที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องขึ้นอยู่กับ คสช.พิจารณา
ส่วนการที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์จะส่งผลให้ คสช.ทบทวนการเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่นั้น พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ขณะนี้ทีมโฆษก คสช.ยังไม่ได้รับข้อมูลเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้ อย่างไรก็ตามมองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง อีกทั้งการพิจารณาไต่สวนคดีของ ป.ป.ช. ก็ถือเป็นขั้นตอนดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับการพิจารณาของ คสช. อย่างไรก็ตามหากทาง ป.ป.ช.หรืออัยการสูงสุดประสานมายัง คสช.เพื่อขอให้ระงับการเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ถือเป็นดุลยพินิจของผู้ใหญ่ใน คสช.
** “บัวแก้ว”เชื่อไม่ลักไก่ลี้ภัยการเมือง
ด้าน นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า ไม่มีอะไรนอกเหนือจากความคาดหมาย และถือเป็นการร้องขอต่อ คสช. ตามขั้นตอนตามปกติ และไม่คิดว่าจะเป็นการลี้ภัยทางการเมือง ส่วนการเคลื่อนไหวขององคก์รเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ในต่างประเทศนั้น ทางกระทรวงยังคงติดตามอยู่ แต่ไม่ได้ให้ค่าหรือสถานะใดๆ เพราะการเคลื่อนไหวในต่างประเทศของกลุ่มนี้อยู่ในกลุ่มประเทศที่เป็นมิตรกับไทย จึงเชื่อว่าประเทศเหล่านั้นคงไม่ยอมให้ใช้ประเทศเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวเพื่อแทรกแซงกิจการภายในประเทศไทย
รายงานข่าวแจ้งว่า การเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่มีการกำหนดว่า จะไปประเทศใดบ้าง โดยเบื้องต้นจะเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะเดินทางเข้าทวีปยุโรป นอกเหนือจากจะไปท่องเที่ยวและพักผ่อนแล้ว ยังมีกำหนดการช่วงหนึ่งเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ เพื่อดูโรงเรียนให้แก่บุตรชายที่มีแผนการจะส่งไปศึกษาต่อที่ประเทศดังกล่าวด้วย หลังจากที่ในช่วงที่มีสถานการณ์ทางการเมือง บุตรชายถูกฝ่ายต่อต้านแสดงสัญลักษณ์ประท้วงหลายเรื่อง ทั้งนี้คาดการณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พี่ชาย ซึ่งมีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่า จะจัดงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 65 ปี ที่กรุงปารีส ในวันที่ 26 ก.ค.ที่จะถึงนี้
** “วัชระ” เตือนคสช.ปล่อยเสือเข้าป่า
ขณะที่ นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการตัดสินใจของ คสช.ว่า ตนขอยกคำสอนโบราณ ที่กวีเอกสุนทรภู่ได้แต่งไว้สอนคนรุ่นหลัง ฝากถึงหัวหน้า คสช. ว่า ประเพณีตีงูให้หลังหัก มันก็มักทำร้ายเมื่อภายหลัง จรเข้ใหญ่ไปถึงน้ำมีกำลัง เหมือนเสือขังเข้าถึงดงก็คงร้าย อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย ต้องตำหรับจับให้มั่นคั้นให้ตาย จะทำภายหลังยากลำบากครั้น หมายความว่า อย่าให้ประมาทในการกระทำการใดๆ
“ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกนอกประเทศไปแล้วไม่กลับมายังประเทศไทย ซ้ำรอยเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แล้วใครจะรับผิดชอบ เพราะคดีการทุจริตจำนำข้าว ก็งวดเข้ามาทุกขณะ โดยพบความเสียหาย เช่น ข้าวเสื่อมสภาพ ข้าวหาย บัญชีปิดไม่ได้เป็นจำนวนหลายแสนล้านบาท ใครจะรับผิดชอบในกรณีนี้” นายวัชระ กล่าว
** จี้ “ทนายปู” สละตำแหน่งบอร์ด รสก.
นายวัชระ ยังได้กล่าวถึง กรณี นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ให้ข่าวพาดพิงต่อ ป.ป.ช.กรณีไม่อนุญาตให้พิจารณาพยานบุคคลเพิ่มอีก 8 ปาก ในคดีทุจริตในโครงการจำนำข้าวว่า หากนายนรวิชญ์จะทำหน้าที่ทนายในคดีดังกล่าว ก็ขอให้นายนรวิชญ์ลาออกจากบอร์ดของ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) บอร์ดของ บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และที่ปรึกษาคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งการเป็นบอร์ดดังกล่าว ได้รับผลตอบแทน และเงินเดือนเฉลี่ยขั้นต่ำปีละ 2.4 แสนบาท สูงสุด 3.6 แสนบาท ต่อปีต่อแห่ง แสดงว่า นายนรวิชญ์ ได้รับเงินขั้นต่ำต่อปี 4.8 แสนบาท หรือ ขั้นสูง 7.2 แสนบาทต่อปี ยังไม่รวมโบนัสและสวัสดิการตอบแทนอื่นๆ
“ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า นายนรวิชญ์ไม่ได้มีความชำนาญหรือความถนัดใดๆเกี่ยวข้องกับงานของรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทที่ได้เป็นบอร์ดอยู่ เพราะคาดว่าสาเหตุที่นายนรวิชญ์ได้รับการตั้งแต่งเป็นบอร์ด ก็เพราะเป็นทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช่หรือไม่ เพราะเห็นนายนรวิชญ์ ทำหน้าที่เป็นทนายช่วยเหลือในคดีจำนำข้าวเพียงอย่างเดียว” นายวัชระ กล่าว
**CAC กระตุ้น บจ.เร่งป้องกันโกง
ทางด้าน นายบัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมสถาบันส่งเสริมสถาบันกรรมการไทย (IOD) และเลขาธิการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) เปิดเผยว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังตื่นตัวอย่างมากกับเรื่องของการทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งการจะจัดการปัญหานี้ให้เป็นผลสำเร็จจำเป็นต้องมีการดำเนินการควบคู่กันไปทุกด้านอย่างเป็นระบบ ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ในส่วนของบริษัทจดทะเบียนฯ ถือเป็นกลุ่มผู้นำในภาคเอกชนซึ่งต้องสร้างแบบอย่างที่ดีในการวางกลไกป้องกันการทุจริต คอร์รัปชัน ทาง IOD พร้อมให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้ บริษัทจดทะเบียนฯ ประสบความสำเร็จในการวางนโยบายและระบบงานภายในเพื่อป้องกันการทุจริต และสามารถปรับปรุงคะแนนดัชนีความคืบหน้าการป้องกันการคอร์รัปชั่น ซึ่งจะส่งผลดีโดยรวมต่อการทำธุรกิจในภาพรวมให้มีความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
การที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เตรียมจัดทำดัชนีชี้วัดความคืบหน้าในการป้องกันคอร์รัปชั่น ของ บจ.กว่า 500 แห่ง และจะขอความร่วมมือให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เผยแพร่คะแนนของ บจ. แต่ละแห่งในบทวิเคราะห์ตั้งแต่เดือนสิงหาคมนั้น นายบัณฑิตแนะนำว่า บริษัทจดทะเบียนฯ ต่างๆ ควรที่จะเร่งดำเนินการให้เกิดความคืบหน้าในการติดตั้งกลไกป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อปรับปรุงคะแนนดัชนีของบริษัท เสริมภาพลักษณ์ด้านความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนรวมถึงผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทด้วย.