ในงานประชุมกำกับดูแลกิจการที่ดีและพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน หรือ Improving corporate Governance Key to Advancing Thailand ประจำปี 2557 เพื่อปรับปรุงพัฒนาเรื่องการกำกับกิจการดูแลที่ดีของเอกชนไทย นายบัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการส่งเสริมธรรมาภิบาล หรือ CG ให้กับภาคเอกชนไทยให้มีระดับธรรมาภิบาลดีขึ้น โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ระดับการพัฒนาธรรมาภิบาลไทยปรับดีขึ้น เมื่อเทียบกับอาเซียน โดยอยู่ในอันดับที่ 1 จากการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทยตามมาตรฐานอาเซียน หรือ Asian CG Score Card ปี 2556/2557 บริษัทจดทะเบียนไทยมีคะแนน 75.39 รองลงมาคือ มาเลเซีย มีคะแนน 71.69 และสิงค์โปร์ มีคะแนน 71.68
นายบัณฑิต เสนอว่า ภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมมือกันใน 3 ด้านคือ พัฒนาระบบการทำหน้าที่ของกรรมการบริษัท การดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และดูแลการคอร์รัปชัน ที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเข้มข้นมากขึ้นมากกว่าที่ผ่านมา โดยที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนได้ดำเนินการแล้ว แต่อยากให้ขยายการมีธรรมาภิบาลสู่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และมูลนิธิที่เป็นองค์ที่ไม่แสวงหาผลกำไรด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เอกชนให้ความสำคัญกับการปราบปรามทุจริตการต่อต้านคอร์รัปชั่น ได้ดำเนินการมาแล้ว 3 ปี ผ่านภาคเอกชน 8 องค์กร ซึ่งมีบริษัทเข้าร่วมกว่า 323 บริษัท แต่มีบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ดูแลปัญหาคอร์รัปชัน 48 บริษัท
นายเกริกไกร จีระแพทย์ ประธานกรรมการ สถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวว่า การส่งเสริมธรรมาภิบาลที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำ อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียน ที่ดำเนินการมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะต้องยอมรับว่าการแก้ไขปัญการทุจริตคอร์รัปชันในไทยยังหย่อนยาน ซึ่งสร้างความแตกแยกให้กับสังคมไทยมานาน
ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญาทั้งระบบ โดยเริ่มจากตัวเองที่ต้องไม่คอร์รัปชันตัวเองก่อน จึงขยายไปสู่ครอบครัว สังคม และบริษัท งดโกงกินบ้านเมือง เพื่อขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นให้หมดไปจากประเทศ
นายบัณฑิต เสนอว่า ภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมมือกันใน 3 ด้านคือ พัฒนาระบบการทำหน้าที่ของกรรมการบริษัท การดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และดูแลการคอร์รัปชัน ที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเข้มข้นมากขึ้นมากกว่าที่ผ่านมา โดยที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนได้ดำเนินการแล้ว แต่อยากให้ขยายการมีธรรมาภิบาลสู่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และมูลนิธิที่เป็นองค์ที่ไม่แสวงหาผลกำไรด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา เอกชนให้ความสำคัญกับการปราบปรามทุจริตการต่อต้านคอร์รัปชั่น ได้ดำเนินการมาแล้ว 3 ปี ผ่านภาคเอกชน 8 องค์กร ซึ่งมีบริษัทเข้าร่วมกว่า 323 บริษัท แต่มีบริษัทที่ผ่านเกณฑ์ดูแลปัญหาคอร์รัปชัน 48 บริษัท
นายเกริกไกร จีระแพทย์ ประธานกรรมการ สถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวว่า การส่งเสริมธรรมาภิบาลที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำ อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสมาคมบริษัทจดทะเบียน ที่ดำเนินการมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องปรับปรุง โดยเฉพาะการต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะต้องยอมรับว่าการแก้ไขปัญการทุจริตคอร์รัปชันในไทยยังหย่อนยาน ซึ่งสร้างความแตกแยกให้กับสังคมไทยมานาน
ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญาทั้งระบบ โดยเริ่มจากตัวเองที่ต้องไม่คอร์รัปชันตัวเองก่อน จึงขยายไปสู่ครอบครัว สังคม และบริษัท งดโกงกินบ้านเมือง เพื่อขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นให้หมดไปจากประเทศ
