นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึง กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมทำหนังสือมายังกกต. เพื่อนัดหมายขอหารือเกี่ยวกับมาตรการดูแลโยบายประชานิยมของพรรคการเมืองในการหาเสียงเลือกตั้งว่า ขณะนี้สำนักงาน กกต.ยังไม่ได้รับหนังสือนัดหมายจากขาธิการป.ป.ช. อย่างเป็นทางการ เพียงแต่ทราบข่าว และรายละเอียดผ่านทางสื่อเท่านั้น หากป.ป.ช.ทำหนังสือขอหารือมา ทางกกต.ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ และพูดคุยเพื่อหามาตรการป้องกันดูแลนโยบายประชานิยมของพรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะการให้คำจำกัดความตามกฎหมายว่า ประชานิยม คืออะไร และนโยบายอย่างไร เข้าข่ายเป็นประชานิยม ซึ่งกกต.เพียงหน่วยเดียว คงดำเนินการไม่ได้ ต้องร่วมกับหลายหน่วยงาน อาทิ ป.ป.ช. และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในการพิจารณาประเด็นนี้
**เสนอคสช. เลิกวุฒิสภา
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวรู้สึกพอใจที่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย และสนับสนุนข้อเสนอของกกต. เกี่ยวกับการปฏิรูปเลือกตั้ง ที่ กกต.เสนอต่อคณะทำงานด้านการปฏิรูปของ คสช. โดยหลังจากนี้ กกต.ก็จะเดินหน้าแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกกต. เพื่อพัฒนาระบบเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อเสนอในการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ กกต.ได้เสนอไปยัง คณะทำงานด้านการปฎิรูปของคสช. โดยเป็นการตอบโจทย์ 6 ข้อ ที่ คสช.ให้มานั้น นอกจากมี ประเด็นในเรื่องการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของส.ส.ที่ต้องไม่เกิน 2 วาระ หรือ 8 ปี แล้ว ยังพบว่ามีข้อเสนอที่น่าสนใจ ในเรื่องของสมาชิกวุฒิสภา กกต.เสนอปัญหาว่า การมีส.ว.มาจากเลือกตั้ง และจากการสรรหา ทำให้เกิดความขัดแย้งกันในการปฏิบัติหน้าที่ ส.ว.เลือกตั้งหนีไม่พ้นการถูกครอบงำจากพรรคการเมือง นักการเมือง เพราะมีฐานที่มาเดียวกันจาก ส.ส. ขณะที่ ส.ว.สรรหา ขาดความยึดโยงกับประชาชน ดังนั้น ควรจะมีการยกเลิกส.ว. แล้วมีสภาเดียวหรือไม่ หรือหากจะคงไว้ ก็ต้องมีการแก้ไขในเรื่องของคุณสมบัติ ที่มา
** ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง
รวมทั้งกรณีที่มีการเสนอให้เปลี่ยนเขตเลือกตั้งจากเขตเดียว บอร์เดียวปัจจุบัน มาเป็นเขตใหญ่นั้น กกต.ให้เขตใหญ่นั้นหมายถึง ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในแต่ละจังหวัด ก็ใช้จำนวนคะแนนที่ได้เป็นตัวกำหนด ซึ่งจะไล่เรียงไปจนครบตามจำนวน ส.ส.ที่พึงมีของจังหวัดนั้นๆ ซึ่งจะเหมือนกับการเลือกตั้ง ส.ว.เมื่อปี 2543 ขณะเดียวกันในส่วนคุณสมบัติของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส. ที่นอกจากเสนอว่าต้องสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 1 ปี ห้ามต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีทุจริตซื้อเสียง คดียาเสพติด คดีหมิ่นสถาบันฯแล้ว ยังพบว่าเสนอกำหนดให้ผู้สมัครส.ส. ต้องจบปริญญาตรี เพื่อให้ได้คนที่มีคุณวุฒิเพียงพอที่จะมาพัฒนาประเทศ รวมทั้งยังกำหนดว่า ต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่สมัครไม่น้อยกว่า 5 ปี เพียงอย่างเดียวอีกด้วย ขณะเดียวกันในเรื่องการเลือกตั้งล่วงหน้า และการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร กกต.เสนอโดยให้น้ำหนักว่าควรจะยกเลิกเนื่องจาก ไม่คุ้มค่ากับงบประมาณ หากจะคงไว้ก็ต้องมีการแก้ไขกระบวนการ เพื่อให้เกิดการใช้สิทธิมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ นายภุชงค์ ยังได้เป็นประธานประชุมผู้บริหารสำนักงานเพื่อหารือเกี่ยวกับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญรวม 5 ฉบับ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต.โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาโจทย์ 3 ข้อที่คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของกกต. ซึ่งประกอบไปด้วยนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ได้มีความเห็นเสนอที่ประชุม กกต. เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา
โดยคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายเห็นว่า ข้อเสนอที่สำนักงาน กกต.ได้จัดทำเกี่ยวกับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 5 ฉบับนั้น เป็นการเสนอแบบกระจายประเด็น ทำให้ขาดความชัดเจน และมองว่าเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญให้ กกต. มีหน้าที่ในการดำเนินกระบวนการเข้าสู่อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ ต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงจำเป็นที่ กกต.จะต้องมองกลไกการทำงานของตัวเองว่าสิ่งใดเป็นปัญหาอุปสรรค ไม่เอื้อให้เกิดกระบวนการเข้าสู่อำนาจฯ ที่สุจริต และเที่ยงธรรม หากเป็นกฎ ระเบียบ ประกาศ ก็เป็นเรื่องที่สำนักงานสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง แต่หากเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย ก็ให้มีการเสนอต่อสภาปฎิรูป
** ตั้ง 3 อนุฯ ถก 3 โจทย์ระบบเลือกตั้ง
ดังนั้นการจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ จึงควรจัดกลุ่มของปัญหาตามภารกิจ ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. ในเชิงระบบเลือกตั้ง กกต. เห็นว่าควรเป็นอย่างไร เช่น จะยังคงเป็นสภาคู่ หรือมี ส.ส. และ ส.ว. หรือเป็นสภาเดี่ยว คือมี ส.ส.อย่างเดียว คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครควรเป็นอย่างไร จำนวนส.ส.- ส.ว. ควรมีกี่คน
2. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในการเลือกตั้ง การหาเสียง การทุจริตเลือกตั้ง การดำเนิน การของ กกต. จะมีการปรับปรุง และปราบปรามอย่างไร ไม่ให้มีการทุจริต ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องทั้งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่กกต. พรรคการเมือง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้สมัคร
3. ประสิทธิภาพในการทำงานของ กกต. ทั้งการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง การสั่งเลือกตั้งใหม่ จะใช้เวลากี่วัน หากตรวจสอบพบ หรือการปราบปรามการทุจริตที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ควรเป็นอย่างไร
ทำให้ที่ประชุมคณะผู้บริหารสำนักงานในวันนี้เห็นว่า จำเป็นที่จะต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาในการทำการสังเคราะห์และตอบโจทย์ทั้ง 3 ข้อ จึงได้ตั้งเป็นอนุกรรมการ 3 ชุด เพื่อพิจารณาปัญหาและจัดทำแนวทางเสนอในแต่ละข้อ โดยมีรองเลขาธิการด้านบริหารงานเลือกตั้ง ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย และด้านกิจการพรรคการเมือง เป็นประธานในแต่ละชุด ตามลำดับ ซึ่งอนุกรรมการทั้ง 3 ชุด จะเริ่มประชุมตั้งแต่วันนี้ ( 16 ก.ค.) เป็นต้นไป เพื่อเร่งรัดให้แล้วเสร็จ เสนอต่อที่ประชุมคณะผู้บริหารสำนักงาน ที่ประชุมกกต. และ ที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายที่มีนัดหมายจะประชุมครั้งต่อไป ในวันที่ 1 ส.ค. ก่อนที่จะจัดทำเป็นข้อเสนอของ กกต.ไปยังสภาปฏิรูปที่คสช. จะจัดตั้งขึ้น
**เสนอแก้กม.ปราบโกง 3 ฉบับ
เมื่อเวลา 16.30 น. วานนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ ว่า ป.ป.ช.ได้มีการส่งกฎหมายไปยัง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเตรียมให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่กำลังจะเกิดขึ้นพิจารณาจำนวน 3 ฉบับ คือ
1. การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ในนิยามของเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศ ซึ่งต่อไปหากเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศมาร่วมกระทำความผิดกับเจ้าหน้าที่ของไทย ป.ป.ช.สามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศได้ด้วย
2. การแก้ไขอายุความในคดีทุจริต มี 2 ส่วน คือ กรณีผู้กระทำความผิดหลบหนีระหว่างการพิจารณาคดีของ ป.ป.ช. อายุความจะต้องสะดุดหยุดลง กับกรณีขยายอายุความในคดีทุจริต จากปกติ จะมีอายุความ 10 –15 ปี จะขยายไปเป็น 30 ปี
3. การแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลและเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการติดตามผู้กระทำความผิดที่หลบหนีไปต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังจะมีการเสนอให้ปรับแก้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญบางส่วนของป.ป.ช. ด้วย ทั้งนี้ หลังจากนี้ สนช. คงมีการจัดลำดับความสำคัญว่าจะพิจารณากฎหมายฉบับใดก่อน –หลังตามความเร่งด่วน เชื่อว่ากฎหมายที่จะต้องแก้ไขให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติฯ จะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ได้พิจารณาก่อน เนื่องจากผ่านการพิจารณาของคณะกรรมกฤษฎีกามาแล้ว ดังนั้น หากสนช.พิจารณาเสร็จ สามารถประกาศใช้ได้ทันที
**เสนอคสช. เลิกวุฒิสภา
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวรู้สึกพอใจที่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย และสนับสนุนข้อเสนอของกกต. เกี่ยวกับการปฏิรูปเลือกตั้ง ที่ กกต.เสนอต่อคณะทำงานด้านการปฏิรูปของ คสช. โดยหลังจากนี้ กกต.ก็จะเดินหน้าแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกกต. เพื่อพัฒนาระบบเลือกตั้งให้มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อเสนอในการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ กกต.ได้เสนอไปยัง คณะทำงานด้านการปฎิรูปของคสช. โดยเป็นการตอบโจทย์ 6 ข้อ ที่ คสช.ให้มานั้น นอกจากมี ประเด็นในเรื่องการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของส.ส.ที่ต้องไม่เกิน 2 วาระ หรือ 8 ปี แล้ว ยังพบว่ามีข้อเสนอที่น่าสนใจ ในเรื่องของสมาชิกวุฒิสภา กกต.เสนอปัญหาว่า การมีส.ว.มาจากเลือกตั้ง และจากการสรรหา ทำให้เกิดความขัดแย้งกันในการปฏิบัติหน้าที่ ส.ว.เลือกตั้งหนีไม่พ้นการถูกครอบงำจากพรรคการเมือง นักการเมือง เพราะมีฐานที่มาเดียวกันจาก ส.ส. ขณะที่ ส.ว.สรรหา ขาดความยึดโยงกับประชาชน ดังนั้น ควรจะมีการยกเลิกส.ว. แล้วมีสภาเดียวหรือไม่ หรือหากจะคงไว้ ก็ต้องมีการแก้ไขในเรื่องของคุณสมบัติ ที่มา
** ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง
รวมทั้งกรณีที่มีการเสนอให้เปลี่ยนเขตเลือกตั้งจากเขตเดียว บอร์เดียวปัจจุบัน มาเป็นเขตใหญ่นั้น กกต.ให้เขตใหญ่นั้นหมายถึง ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในแต่ละจังหวัด ก็ใช้จำนวนคะแนนที่ได้เป็นตัวกำหนด ซึ่งจะไล่เรียงไปจนครบตามจำนวน ส.ส.ที่พึงมีของจังหวัดนั้นๆ ซึ่งจะเหมือนกับการเลือกตั้ง ส.ว.เมื่อปี 2543 ขณะเดียวกันในส่วนคุณสมบัติของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส. ที่นอกจากเสนอว่าต้องสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 1 ปี ห้ามต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีทุจริตซื้อเสียง คดียาเสพติด คดีหมิ่นสถาบันฯแล้ว ยังพบว่าเสนอกำหนดให้ผู้สมัครส.ส. ต้องจบปริญญาตรี เพื่อให้ได้คนที่มีคุณวุฒิเพียงพอที่จะมาพัฒนาประเทศ รวมทั้งยังกำหนดว่า ต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่สมัครไม่น้อยกว่า 5 ปี เพียงอย่างเดียวอีกด้วย ขณะเดียวกันในเรื่องการเลือกตั้งล่วงหน้า และการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร กกต.เสนอโดยให้น้ำหนักว่าควรจะยกเลิกเนื่องจาก ไม่คุ้มค่ากับงบประมาณ หากจะคงไว้ก็ต้องมีการแก้ไขกระบวนการ เพื่อให้เกิดการใช้สิทธิมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ นายภุชงค์ ยังได้เป็นประธานประชุมผู้บริหารสำนักงานเพื่อหารือเกี่ยวกับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญรวม 5 ฉบับ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต.โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาโจทย์ 3 ข้อที่คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายของกกต. ซึ่งประกอบไปด้วยนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ได้มีความเห็นเสนอที่ประชุม กกต. เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา
โดยคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายเห็นว่า ข้อเสนอที่สำนักงาน กกต.ได้จัดทำเกี่ยวกับการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 5 ฉบับนั้น เป็นการเสนอแบบกระจายประเด็น ทำให้ขาดความชัดเจน และมองว่าเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญให้ กกต. มีหน้าที่ในการดำเนินกระบวนการเข้าสู่อำนาจบริหาร นิติบัญญัติ ต้องเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จึงจำเป็นที่ กกต.จะต้องมองกลไกการทำงานของตัวเองว่าสิ่งใดเป็นปัญหาอุปสรรค ไม่เอื้อให้เกิดกระบวนการเข้าสู่อำนาจฯ ที่สุจริต และเที่ยงธรรม หากเป็นกฎ ระเบียบ ประกาศ ก็เป็นเรื่องที่สำนักงานสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง แต่หากเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย ก็ให้มีการเสนอต่อสภาปฎิรูป
** ตั้ง 3 อนุฯ ถก 3 โจทย์ระบบเลือกตั้ง
ดังนั้นการจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ จึงควรจัดกลุ่มของปัญหาตามภารกิจ ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
1. ในเชิงระบบเลือกตั้ง กกต. เห็นว่าควรเป็นอย่างไร เช่น จะยังคงเป็นสภาคู่ หรือมี ส.ส. และ ส.ว. หรือเป็นสภาเดี่ยว คือมี ส.ส.อย่างเดียว คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครควรเป็นอย่างไร จำนวนส.ส.- ส.ว. ควรมีกี่คน
2. การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในการเลือกตั้ง การหาเสียง การทุจริตเลือกตั้ง การดำเนิน การของ กกต. จะมีการปรับปรุง และปราบปรามอย่างไร ไม่ให้มีการทุจริต ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องทั้งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่กกต. พรรคการเมือง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้สมัคร
3. ประสิทธิภาพในการทำงานของ กกต. ทั้งการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง การสั่งเลือกตั้งใหม่ จะใช้เวลากี่วัน หากตรวจสอบพบ หรือการปราบปรามการทุจริตที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ควรเป็นอย่างไร
ทำให้ที่ประชุมคณะผู้บริหารสำนักงานในวันนี้เห็นว่า จำเป็นที่จะต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาในการทำการสังเคราะห์และตอบโจทย์ทั้ง 3 ข้อ จึงได้ตั้งเป็นอนุกรรมการ 3 ชุด เพื่อพิจารณาปัญหาและจัดทำแนวทางเสนอในแต่ละข้อ โดยมีรองเลขาธิการด้านบริหารงานเลือกตั้ง ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย และด้านกิจการพรรคการเมือง เป็นประธานในแต่ละชุด ตามลำดับ ซึ่งอนุกรรมการทั้ง 3 ชุด จะเริ่มประชุมตั้งแต่วันนี้ ( 16 ก.ค.) เป็นต้นไป เพื่อเร่งรัดให้แล้วเสร็จ เสนอต่อที่ประชุมคณะผู้บริหารสำนักงาน ที่ประชุมกกต. และ ที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายที่มีนัดหมายจะประชุมครั้งต่อไป ในวันที่ 1 ส.ค. ก่อนที่จะจัดทำเป็นข้อเสนอของ กกต.ไปยังสภาปฏิรูปที่คสช. จะจัดตั้งขึ้น
**เสนอแก้กม.ปราบโกง 3 ฉบับ
เมื่อเวลา 16.30 น. วานนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ ว่า ป.ป.ช.ได้มีการส่งกฎหมายไปยัง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเตรียมให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่กำลังจะเกิดขึ้นพิจารณาจำนวน 3 ฉบับ คือ
1. การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ในนิยามของเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศ ซึ่งต่อไปหากเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศมาร่วมกระทำความผิดกับเจ้าหน้าที่ของไทย ป.ป.ช.สามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศได้ด้วย
2. การแก้ไขอายุความในคดีทุจริต มี 2 ส่วน คือ กรณีผู้กระทำความผิดหลบหนีระหว่างการพิจารณาคดีของ ป.ป.ช. อายุความจะต้องสะดุดหยุดลง กับกรณีขยายอายุความในคดีทุจริต จากปกติ จะมีอายุความ 10 –15 ปี จะขยายไปเป็น 30 ปี
3. การแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากลและเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการติดตามผู้กระทำความผิดที่หลบหนีไปต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังจะมีการเสนอให้ปรับแก้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญบางส่วนของป.ป.ช. ด้วย ทั้งนี้ หลังจากนี้ สนช. คงมีการจัดลำดับความสำคัญว่าจะพิจารณากฎหมายฉบับใดก่อน –หลังตามความเร่งด่วน เชื่อว่ากฎหมายที่จะต้องแก้ไขให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติฯ จะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ได้พิจารณาก่อน เนื่องจากผ่านการพิจารณาของคณะกรรมกฤษฎีกามาแล้ว ดังนั้น หากสนช.พิจารณาเสร็จ สามารถประกาศใช้ได้ทันที