**ชักจะยังไงกันซะแล้ว!! สำหรับคดีจับอาวุธสงครามล็อตใหญ่ระดับคลังแสงที่ จ.นครศรีอยุธยา หลังจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค1 สามารถบุกค้นและตรวจยึดเอาไว้ได้จนกระทั่งสาวไส้ล้วงลึกไปพบว่า เกี่ยวข้องกับเหตุป่วนบ้านป่วนเมืองหลายครั้งหลายครา
โดยเฉพาะในช่วงการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลผีหัวขาด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ แต่เหตุไฉนยังไม่มีการชี้แจงสักทีว่า อาวุธร้ายแรงเหล่านั้นมันมีต้นตอ ที่มาที่ไป อย่างไร
ตอนนี้มีคนฉงนงงงวยกันเยอะว่า สุดท้ายแล้วคลังแสงเหล่านี้ต้นธารมันอยู่ที่ไหนกันแน่ ระหว่างขนมาจากเพื่อนบ้านของไทย ที่มีความสนิทชิดเชื้อกับอดีตนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างกัมพูชา หรือที่แท้จริงมันถูกขโมยออกมาจากจุดที่อยู่ใกล้ๆ ตัวอย่างกองทัพไทย ที่มีเหล่าทหารแตงโมอยู่จำนวนไม่น้อย
ประเด็นนี้อย่ามองข้ามจนคิดว่าไม่สำคัญอะไร เพราะผู้ต้องหาที่ถูกเจ้าหน้าที่ลากคอมาได้นั้นเป็น คนที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยโดยตรง อีกทั้งช่วงที่สะสมอาวุธยังเป็นยุคที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โอกาสฉกฉวยมาใช้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
**ดังนั้นเรื่องดังกล่าว ผู้ดูแลคดีนี้ต้องแถลงชี้แจงออกมาให้ชัด ใครเป็นใคร เอาออกมาได้อย่างไร ขั้นตอนทำกันแบบไหน ตัวบงการตั้งแต่ระดับกระจอกงอกง่อยจนกระทั่งตัวเป้ง ต้องเปิดโปงมาประจานสังคมให้หมด ไม่มีรักพี่เสียดายน้องไว้หน้าใครทั้งสิ้น
เพราะเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเกี่ยวพันกับชีวิตคนบริสุทธิ์หลายคนที่ต้องสูญเสียสังเวยไปกับพวกโหดเหี้ยมอำมหิตในช่วงการชุมนุมขับไล่รัฐบาลทรราช เรื่องของเรื่องเพราะมีกลิ่นตุๆ ออกมาว่าหลักการทำคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจชักจะผิดเพี้ยนกันเสียแล้ว โดยเฉพาะการตัดตอนตัวละครในคดีดังกล่าวออกถึง 2 ราย ซึ่งเป็นตัวละครที่สำคัญเสียด้วย ว่ากันว่า รายหนึ่งก็คือ
**น.ช.ทักษิณ กับอีกรายหนึ่งก็คือ อดีตบิ๊กข้าราชการผู้เฟื่องฟูในยุคระบอบทักษิณเรืองอำนาจ รู้จักกันดีในรหัส “เสธ.มอ ม้า”
ในขณะที่เจ้าหน้าที่กลับไปจะเล่นงานแค่ตัวละครประเภทหมากเบี้ย อาทิ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแทนเท่านั้น
จนมีคนนินทาหมาดูถูกว่า สรุปคดีนี้ที่ไล่บี้ไล่เช็ดกันมา ตกลงจะเอาแค่หน้าเพื่อลากคอบุคคลที่สังคมอยากให้นำตัวมาลงโทษเท่านั้นไม่คิดจะแฉขบวนการทำร้ายประชาชนแบบหมดไส้หมดเปลือกหรืออย่างไร เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีหน้าเหลี่ยมรายนี้ สร้างเวรสร้างกรรมไว้กับประเทศไทยนานับไม่ถ้วน แต่กลับยังมีคนคิดจะพลิก คิดจะปกป้องกันไปเพื่ออะไร
เพราะดูจากข้อมูลเชิงลึกที่หลุดรอดกระเด็นกระดอนออกมา จิ๊กซอว์สามารถชี้ถึงตัวการใหญ่ และตัวการย่อย พรึ่บพรั่บเต็มไปหมดเริ่มตั้งแต่ตัวละครแรกที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบไว้ได้ จนกระทั่งสาวไส้มาถึงคนในพรรคเพื่อไทย อย่าง จ.ส.อ.ภคภูมิ โกศินานนท์ หรือ“จ่าโก” อดีตนายสิบการข่าว สังกัดกรมทหารม้าที่ 1 ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ผู้ต้องหา ที่ถูกศาลทหารจังหวัดสระบุรีออกหมายจับ
วงในระบุว่า“จ่าโก”รายนี้ พัวพันมากับพรรคเพื่อไทยโดยรับสารภาพว่า ที่ผ่านมารับงานฝึกกองกำลังติดอาวุธอยู่แถวพื้นที่ จ.นครราชสีมา และยังเป็นคนฝึกกองกำลังชุดดำ เพื่อเตรียมไว้ให้พรรคการเมืองสีแดง และน.ช.ทักษิณ ทว่า ในสำนวนบันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลับเขียนว่า เมื่อ“จ่าโก”วางบิลกับ น.ช.ทักษิณ แต่น.ช.ทักษิณ ปฏิเสธกลับไปว่า ไม่มีนโยบายในแนวทางนี้
**ดังนั้น บันทึกถ้อยคำดังกล่าวจึงส่งผลดีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อไปโดยปริยาย เสมือนเป็นการตัดตอนออก ทั้งที่การสืบสวนของเจ้าหน้าที่ในเชิงลึกพบว่า ขบวนการดังกล่าวมีที่มาที่ไปค่อนข้างชัดเจน
ไล่เรียงตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำในพรรคเพื่อไทย ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งสุมหัวประเมินสถานการณ์การเมืองไทยกันมาโดยตลอดตั้งแต่เมื่อครั้งวิกฤติการณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนถึงต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ.2557 หลังจากมีการทำรัฐประหารแล้ว ซึ่งวงประชุมดังกล่าวจัดขึ้นบ่อยมาก
**โดยใช้เซฟเฮาส์ของหน่วยราชการเกี่ยวกับความมั่นคงแผ่นดินหน่วยหนึ่ง ตั้งอยู่ภายในซอยรัชดาภิเษก 22
ผู้ต้องหาที่ทางทหารและตำรวจจับกุมมาได้ ทั้งในสาย “จ่าโก”และสายอื่นๆ ขณะนี้หลายคนอุ่นใจและสมัครใจที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ เพราะรู้สึกปลอดภัยกว่าอยู่ข้างนอก โดยมีรายหนึ่งที่เป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมอาวุธ และรับใช้นักการเมืองกลุ่มนี้มานานหลายปี คายความลับในชั้นสอบสวนออกมาหมดเปลือกเลยว่า
การประชุมวางแผนร้ายในเซฟเฮาส์ของหน่วยงานข่าวระดับชาติ จะมีประธานคนสำคัญคือ อดีตหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงแผ่นดิน ซึ่งยังเป็นใหญ่ใน“หน่วยความมั่นคงแผ่นดิน”จะมาเป็นประธานที่ประชุมแทบทุกครั้ง เพราะจะได้เสนอหน้ากับนายใหญ่ที่จะโฟนอินเข้ามาจากแดนไกล
**ขณะที่วงประชุม ยังมีคีย์แมนสายฮาร์ดคอร์ เพื่อนน.ช.ทักษิณ นั่งวางแผนอยู่ด้วย อาทิ พล.ท.มนัส เปาริก นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) ซึ่งถูกหมายจับอยู่ในขณะนี้เป็นขาประจำ ส่วนคนอื่นๆ จะสลับสับเปลี่ยนแวะเวียนกันมาเป็นครั้งคราว
การประชุมแต่ละครั้ง จะมีคนโฟนอินต่อสายเข้ามาร่วมประชุม 3 คน คือ น.ช.ทักษิณ–นายจารุพงศ์–เจ๊เพ็ญ ส่วนเนื้อหาการหารือนั้นมีสารพัด ตั้งแต่การเตรียมการรับมือหากมีการทำรัฐประหาร ซึ่งมีครั้งหนึ่งนายจารุพงศ์ เคยเสนอแนวคิดแบบสุดโต่งด้วยการให้จัดตั้งกองกำลังขึ้นมาต่อต้าน พร้อมกับสั่งให้มีการจัดหาอาวุธให้พร้อม
ในขณะที่เจ๊เพ็ญ กลับเสนอให้สู้โดยใช้วิธีทางการเมือง โดยการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น แต่อย่างไรก็ดี มีท่อนหนึ่งที่ เจ๊เพ็ญ เสนอถึงช่องทางในการเสาะหาอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยระบุว่า ประเทศกัมพูชาเป็นแหล่งที่มีความสะดวกสบาย อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับคนในระบอบทักษิณ
ซึ่งตรงนี้สอดคล้องอย่างมาก และมีความเป็นไปได้ไม่น้อย เพราะการจับอาวุธสงครามล็อตใหญ่ครั้งที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มีการพบว่า ลังบรรจุอาวุธปืนลังหนึ่ง เขียนด้วยภาษาอังกฤษและระบุผู้รับมอบเป็นประเทศกัมพูชา
โดยประเด็นดังกล่าว จึงทำให้นายตำรวจใหญ่บางคนเชื่อมโยง สถาปนาให้เจ๊เพ็ญ เป็นหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธ จนเป็นข่าวครึกโครม ตัวละครสำคัญ 2 คน ถูกเป่าออกไป
จึงแสดงให้เห็นถึงลูกมั่ว ไปทางจ้องแต่จะเอาหน้า เอาผลงานเพื่อหวังความดีความชอบ มียศมีตำแหน่ง และยังมีความจงรักภักดีต่อทักษิณเหมือนเดิม หรือยุคนี้กำลังจะมีตำรวจบางคนทำตัวเป็น"ธาริต 2" ?
**หรือคนใหญ่คนโตในยุคนี้เล่นอะไรอยู่ ขนาดมีพยานหลักฐานชัดเจนอยู่ในมือ รู้ทั้งรู้ยังไม่กล้าแตะต้อง“ทักษิณ”!!
โดยเฉพาะในช่วงการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลผีหัวขาด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ แต่เหตุไฉนยังไม่มีการชี้แจงสักทีว่า อาวุธร้ายแรงเหล่านั้นมันมีต้นตอ ที่มาที่ไป อย่างไร
ตอนนี้มีคนฉงนงงงวยกันเยอะว่า สุดท้ายแล้วคลังแสงเหล่านี้ต้นธารมันอยู่ที่ไหนกันแน่ ระหว่างขนมาจากเพื่อนบ้านของไทย ที่มีความสนิทชิดเชื้อกับอดีตนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างกัมพูชา หรือที่แท้จริงมันถูกขโมยออกมาจากจุดที่อยู่ใกล้ๆ ตัวอย่างกองทัพไทย ที่มีเหล่าทหารแตงโมอยู่จำนวนไม่น้อย
ประเด็นนี้อย่ามองข้ามจนคิดว่าไม่สำคัญอะไร เพราะผู้ต้องหาที่ถูกเจ้าหน้าที่ลากคอมาได้นั้นเป็น คนที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยโดยตรง อีกทั้งช่วงที่สะสมอาวุธยังเป็นยุคที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โอกาสฉกฉวยมาใช้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
**ดังนั้นเรื่องดังกล่าว ผู้ดูแลคดีนี้ต้องแถลงชี้แจงออกมาให้ชัด ใครเป็นใคร เอาออกมาได้อย่างไร ขั้นตอนทำกันแบบไหน ตัวบงการตั้งแต่ระดับกระจอกงอกง่อยจนกระทั่งตัวเป้ง ต้องเปิดโปงมาประจานสังคมให้หมด ไม่มีรักพี่เสียดายน้องไว้หน้าใครทั้งสิ้น
เพราะเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเกี่ยวพันกับชีวิตคนบริสุทธิ์หลายคนที่ต้องสูญเสียสังเวยไปกับพวกโหดเหี้ยมอำมหิตในช่วงการชุมนุมขับไล่รัฐบาลทรราช เรื่องของเรื่องเพราะมีกลิ่นตุๆ ออกมาว่าหลักการทำคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจชักจะผิดเพี้ยนกันเสียแล้ว โดยเฉพาะการตัดตอนตัวละครในคดีดังกล่าวออกถึง 2 ราย ซึ่งเป็นตัวละครที่สำคัญเสียด้วย ว่ากันว่า รายหนึ่งก็คือ
**น.ช.ทักษิณ กับอีกรายหนึ่งก็คือ อดีตบิ๊กข้าราชการผู้เฟื่องฟูในยุคระบอบทักษิณเรืองอำนาจ รู้จักกันดีในรหัส “เสธ.มอ ม้า”
ในขณะที่เจ้าหน้าที่กลับไปจะเล่นงานแค่ตัวละครประเภทหมากเบี้ย อาทิ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตรมว.มหาดไทย นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแทนเท่านั้น
จนมีคนนินทาหมาดูถูกว่า สรุปคดีนี้ที่ไล่บี้ไล่เช็ดกันมา ตกลงจะเอาแค่หน้าเพื่อลากคอบุคคลที่สังคมอยากให้นำตัวมาลงโทษเท่านั้นไม่คิดจะแฉขบวนการทำร้ายประชาชนแบบหมดไส้หมดเปลือกหรืออย่างไร เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีหน้าเหลี่ยมรายนี้ สร้างเวรสร้างกรรมไว้กับประเทศไทยนานับไม่ถ้วน แต่กลับยังมีคนคิดจะพลิก คิดจะปกป้องกันไปเพื่ออะไร
เพราะดูจากข้อมูลเชิงลึกที่หลุดรอดกระเด็นกระดอนออกมา จิ๊กซอว์สามารถชี้ถึงตัวการใหญ่ และตัวการย่อย พรึ่บพรั่บเต็มไปหมดเริ่มตั้งแต่ตัวละครแรกที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบไว้ได้ จนกระทั่งสาวไส้มาถึงคนในพรรคเพื่อไทย อย่าง จ.ส.อ.ภคภูมิ โกศินานนท์ หรือ“จ่าโก” อดีตนายสิบการข่าว สังกัดกรมทหารม้าที่ 1 ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ผู้ต้องหา ที่ถูกศาลทหารจังหวัดสระบุรีออกหมายจับ
วงในระบุว่า“จ่าโก”รายนี้ พัวพันมากับพรรคเพื่อไทยโดยรับสารภาพว่า ที่ผ่านมารับงานฝึกกองกำลังติดอาวุธอยู่แถวพื้นที่ จ.นครราชสีมา และยังเป็นคนฝึกกองกำลังชุดดำ เพื่อเตรียมไว้ให้พรรคการเมืองสีแดง และน.ช.ทักษิณ ทว่า ในสำนวนบันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลับเขียนว่า เมื่อ“จ่าโก”วางบิลกับ น.ช.ทักษิณ แต่น.ช.ทักษิณ ปฏิเสธกลับไปว่า ไม่มีนโยบายในแนวทางนี้
**ดังนั้น บันทึกถ้อยคำดังกล่าวจึงส่งผลดีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อไปโดยปริยาย เสมือนเป็นการตัดตอนออก ทั้งที่การสืบสวนของเจ้าหน้าที่ในเชิงลึกพบว่า ขบวนการดังกล่าวมีที่มาที่ไปค่อนข้างชัดเจน
ไล่เรียงตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำในพรรคเพื่อไทย ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งสุมหัวประเมินสถานการณ์การเมืองไทยกันมาโดยตลอดตั้งแต่เมื่อครั้งวิกฤติการณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนถึงต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ.2557 หลังจากมีการทำรัฐประหารแล้ว ซึ่งวงประชุมดังกล่าวจัดขึ้นบ่อยมาก
**โดยใช้เซฟเฮาส์ของหน่วยราชการเกี่ยวกับความมั่นคงแผ่นดินหน่วยหนึ่ง ตั้งอยู่ภายในซอยรัชดาภิเษก 22
ผู้ต้องหาที่ทางทหารและตำรวจจับกุมมาได้ ทั้งในสาย “จ่าโก”และสายอื่นๆ ขณะนี้หลายคนอุ่นใจและสมัครใจที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ เพราะรู้สึกปลอดภัยกว่าอยู่ข้างนอก โดยมีรายหนึ่งที่เป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมอาวุธ และรับใช้นักการเมืองกลุ่มนี้มานานหลายปี คายความลับในชั้นสอบสวนออกมาหมดเปลือกเลยว่า
การประชุมวางแผนร้ายในเซฟเฮาส์ของหน่วยงานข่าวระดับชาติ จะมีประธานคนสำคัญคือ อดีตหัวหน้าหน่วยงานความมั่นคงแผ่นดิน ซึ่งยังเป็นใหญ่ใน“หน่วยความมั่นคงแผ่นดิน”จะมาเป็นประธานที่ประชุมแทบทุกครั้ง เพราะจะได้เสนอหน้ากับนายใหญ่ที่จะโฟนอินเข้ามาจากแดนไกล
**ขณะที่วงประชุม ยังมีคีย์แมนสายฮาร์ดคอร์ เพื่อนน.ช.ทักษิณ นั่งวางแผนอยู่ด้วย อาทิ พล.ท.มนัส เปาริก นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) ซึ่งถูกหมายจับอยู่ในขณะนี้เป็นขาประจำ ส่วนคนอื่นๆ จะสลับสับเปลี่ยนแวะเวียนกันมาเป็นครั้งคราว
การประชุมแต่ละครั้ง จะมีคนโฟนอินต่อสายเข้ามาร่วมประชุม 3 คน คือ น.ช.ทักษิณ–นายจารุพงศ์–เจ๊เพ็ญ ส่วนเนื้อหาการหารือนั้นมีสารพัด ตั้งแต่การเตรียมการรับมือหากมีการทำรัฐประหาร ซึ่งมีครั้งหนึ่งนายจารุพงศ์ เคยเสนอแนวคิดแบบสุดโต่งด้วยการให้จัดตั้งกองกำลังขึ้นมาต่อต้าน พร้อมกับสั่งให้มีการจัดหาอาวุธให้พร้อม
ในขณะที่เจ๊เพ็ญ กลับเสนอให้สู้โดยใช้วิธีทางการเมือง โดยการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น แต่อย่างไรก็ดี มีท่อนหนึ่งที่ เจ๊เพ็ญ เสนอถึงช่องทางในการเสาะหาอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยระบุว่า ประเทศกัมพูชาเป็นแหล่งที่มีความสะดวกสบาย อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับคนในระบอบทักษิณ
ซึ่งตรงนี้สอดคล้องอย่างมาก และมีความเป็นไปได้ไม่น้อย เพราะการจับอาวุธสงครามล็อตใหญ่ครั้งที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มีการพบว่า ลังบรรจุอาวุธปืนลังหนึ่ง เขียนด้วยภาษาอังกฤษและระบุผู้รับมอบเป็นประเทศกัมพูชา
โดยประเด็นดังกล่าว จึงทำให้นายตำรวจใหญ่บางคนเชื่อมโยง สถาปนาให้เจ๊เพ็ญ เป็นหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธ จนเป็นข่าวครึกโครม ตัวละครสำคัญ 2 คน ถูกเป่าออกไป
จึงแสดงให้เห็นถึงลูกมั่ว ไปทางจ้องแต่จะเอาหน้า เอาผลงานเพื่อหวังความดีความชอบ มียศมีตำแหน่ง และยังมีความจงรักภักดีต่อทักษิณเหมือนเดิม หรือยุคนี้กำลังจะมีตำรวจบางคนทำตัวเป็น"ธาริต 2" ?
**หรือคนใหญ่คนโตในยุคนี้เล่นอะไรอยู่ ขนาดมีพยานหลักฐานชัดเจนอยู่ในมือ รู้ทั้งรู้ยังไม่กล้าแตะต้อง“ทักษิณ”!!